The Politician นักกวนเมือง
-
คะแนน SS1 - 8.5/10
8.5/10
-
คะแนน SS2 - 7.5/10
7.5/10
สรุป
หนังตลกเสียดสีการเมืองได้ฉลาดและสนุกมากๆ แต่กลับมีช่วงออกทะเลไปเยอะในซีซั่นแรก ซึ่งน่าเสียดายว่าเป็นเหมือนช่วงทดลองของผู้สร้าง ก่อนจะตบกลับเข้าเรื่องราวได้ดีในตอนจบ และเรื่องต่อกับซีซั่น 2 ทันที ซึ่งยังคงอารมณ์ของซีซั่นแรกไว้ได้ไม่เปลี่ยน แต่แค่มีบทไม่สมเหตุผลถูกยัดเข้ามาแล้วไม่มีคำอธิบายบางจุดจนทำให้ซีซั่น 2 ดูดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ยังดูสนุกได้เช่นเดิมครับ
**นี่เป็นหนังการเมืองสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากแนะนำให้ดู ได้ทั้งจุดไฟชีวิต ได้ทั้งความรู้ มุมมอง เทคนิคต่างๆ ที่อาจจะมาใช้กับประเทศไทยได้เช่นกัน**
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- บทฉลาด สนุก แตกต่าง และมีสีสัน
- หนังเล่นแรงกับทุกประเด็น แต่อาจจะแฝงด้วยมุกเบาสมอง
- นักแสดงมีเอกลักษณ์เด่นชัดเจนเหมาะทุกบท
- ได้ชมชีวิตไฮโซเว่อร์วังอลังการ
- SS2 ข้อมูลการเมืองระดับท้องถิ่นของอเมริกาที่ซีรีส์ใส่มาน่าสนใจ
- SS2 การปะทะกันทางความคิดของคน Gen เก่ากับใหม่
Cons
- ซีซั่น 1 มีช่วงออกทะเลตอน 6-7
- ซับพล็อตชีวิตครอบครัวพระเอกเยอะมากไป
- SS2 เรื่องรวบรัดกระโดดไปแต่ละช่วงไวมากจนขาดรายละเอียด
- SS2 มีจุดไม่สมเหตุผลในข้อเท็จจริงของการเลือกตั้งที่ไม่มีคำอธิบาย
รีวิว The Politician นักกวนเมือง (กดรับชมผ่าน Netflix ได้ที่นี่) เล่าเรื่องราวของ เพย์ตัน โฮบาร์ต นักเรียนมัธยมปลายลูกทายาทเศรษฐีติดอันดับ 1 ใน 10 ของอเมริกา เพย์ตันวางแผนออกแบบชีวิตตัวเองมาตั้งแต่เด็กกับกลุ่มเพื่อนและแฟนสาว เพื่อความฝันก้าวไปถึงทำเนียบขาว และเขาต้องได้เป็นประธานาธิบดีสักวัน แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันเลือกตั้งประธานนักเรียนให้ได้ซะก่อน ที่กลายมาเป็นการแข่งขันดุเดือดเกินกว่าที่เขาคาดคิด
ตัวอย่าง The Politician SS1 นักกวนเมือง
อ่านก่อนเพื่อเข้าใจบริบทหลักของซีรีส์ The Politician
รีวิว The Politician SS1
ก่อนเข้าเรื่องราวทาง Netflix ขึ้นคำเตือนมาก่อนเลยว่า นี่เป็นเรื่องราว “เบาสมอง” และย้ำสำหรับผู้มีปัญหาสุขภาพจิต “เนื้อหาอาจจะรบกวนจิตใจได้” ซึ่งอาจจะดูเหมือนแปะป้ายคำเตือนแบบล้อกันเล่นให้อยากดูมากขึ้นไปอีก ซึ่งหนังก็มีเนื้อหาที่ตลกเบาสมองเยอะจริงๆ และก็สนุกมากด้วย แต่ก็มีส่วนที่รบกวนจิตใจมากด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเสียดสีแบบรุนแรงหยาบคายไปถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทางการเมือง อย่างเรื่องสิทธิทางเพศ หรือการผิดศีลธรรมอย่างไม่แคร์ ซึ่งในอเมริกาคงเห็นจากซีรีส์กันจนเป็นเรื่องปกติเฉยๆ แต่ในไทยแค่คิดสร้างอะไรแบบนี้มาก็ไม่ผ่านตั้งแต่ตอนเขียนบทแล้วแน่นอน เพราะหลายประเด็นในเรื่องก็แรงพอตัวทีเดียว
ตัวเรื่องเสียดสีการเมืองได้อย่าง “ฉลาด แสบสันมากๆ” กับการให้พระเอกมีความพร้อมทุกอย่างกับการเป็นนักการเมืองที่จะก้าวสู่เส้นทางการเมืองสู่ประธานาธิบดีสหรัฐ แต่กลับสอบตกความเป็นมนุษย์สุดกู่ เราจะเห็นตั้งแต่ไตเติลเลยว่าเป็นการประกอบยัดสิ่งสำคัญของประธานาธิบดีรุ่นก่อนๆ ลงในหุ่นไม้ที่ภายหลังประกอบแล้วมีชีวิตขึ้นมาเป็นเพย์ตัน ซึ่งหนังเจ๋งตั้งแต่ไตเติลแล้ว เป็นไตเติลที่ดูไม่เบื่อเลยจริงๆ (เป็นเรื่องแรกใน Netflix ที่ผมไม่กดข้ามเลย) หนังวางให้เพย์ตันออกแบบชีวิตตั้งแต่เด็กด้วยตัวของเขาเอง แถมมีเพื่อนๆ ที่โตมาด้วยกันสนับสนุนเป็นมันสมองทีมเวิร์คที่ดูดีอีกต่างหาก แต่ปัญหาก็คือ การออกแบบเส้นทางชีวิตตัวเองมากไปนี่แหละ ทำให้เพย์ตันกลายเป็นคนที่หมกหมุ่นคิดแต่การหาทางให้ได้รับชัยชนะ ทุกอย่างต้องไม่พลาดเพื่อไม่ให้มีจุดด่างพร้อยกลับมาหาเขาได้ตอนที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคต ซึ่งหลักการต่างๆ ก็ได้มาจากตำรากับการอ่านชีวประวัติประธานาธิบดีคนก่อนๆ มาเป็นวางเป็นโร๊ดแมพในชีวิต แต่พอลงสนามจริงทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด
หนังทำให้พระเอกดูเหมือนไม่น่าจะเป็นคนที่ใช่กับเส้นทางการเมืองในตอนแรก ด้วยกลับขาดอารมณ์ความเป็นมนุษย์ พูดจาดูไร้ความจริงใจ แบบคนดูเองก็ต้องรู้สึกขัดใจกับตัวพระเอก ซึ่งตรงนี้เป็นการให้พระเอกค่อยๆ ได้เรียนรู้และเติบโตในแบบ Coming of Age กับชีวิตที่อยู่นอกรางรถไฟเกินจากแผนการชีวิตที่วางไว้ ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าพล็อตพื้นๆ แต่ขอบอกเลยว่าหนังมีเซอร์ไพรส์มาเป็นชุดๆ ติดกันไม่หยุดตั้งแต่ตอนแรก แบบท้าให้ดูเลยว่ายังไงก็เดาไม่ได้ แถมมีประเด็นสดใหม่คาดไม่ถึง รวมถึงตัวละครที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับพระเอกโดดเด่นน่าสนใจทุกคน
เริ่มตั้งแต่ “อินฟินิตี้” สาวน้อยที่เป็นโรคมะเร็ง แล้วต้องมารับบทลงคู่เป็นรองประธานกับพระเอก ที่ดูไปดูมาเกือบๆ จะกลายมาเป็นตัวเอกอีกคนของเรื่องไปเลย เพราะบทเธอเด่นและลากยาวไปจนจบเรื่อง เป็นตัวแปรและตัวหลักทำให้เกิดเหตุการณ์อื่นๆ ตามมาอีกมากมาย อินฟินิตี้เป็นบทที่เรียกว่าเหมือนการไถ่บาปให้พระเอก แต่เธอเองก็มีเรื่องราวซับพล็อตครอบครัวที่ใช้เรื่องการเป็นมะเร็งของเธอหากินกับผู้คน หนังทำให้อินฟินิตี้เหมือนเป็นอีกภาคของนักการเมืองที่มักเอาเรื่องราวดราม่าสะเทือนใจของคนตกทุกข์ได้ยาก มาหาเสียงสร้างภาพให้กับประชาชน
“อลิซ” แฟนสาวของพระเอกที่หมายมั่นปั้นมือจะเป็น “สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของอเมริกา” ซึ่งเธอดูภายนอกเรียบๆ แต่แสบ เหมือนเป็นช้างเท้าหลังที่คอยส่งให้เพย์ตันก้าวต่อไปในเส้นทางนี้ให้ได้ (และเพื่ออนาคตของตัวเธอเองด้วย) ยิ่งรวมกับทีมมันสมองซ้ายขวา “เจมส์กับแมคอาฟี่” (ซ้ายขวาในรูปบน) ที่มีกึ๋นไปคนละอย่าง แต่ก็กลายเป็นปมปัญหามาให้เพย์ตันเพิ่มเข้ามา กลายเป็นศึกนอกศึกในซ้อนกัน หนังจำลองชีวิตนักการเมืองที่การจะก้าวขึ้นมีอำนาจไม่อาจไปได้ด้วยคนเดียว แต่ต้องมีทีมที่ดีและไว้ใจ ซึ่งนั่นหาได้ยากยิ่งแม้จะเป็นเพื่อนสนิทเติบโตมาด้วยกันก็ตาม เพราะทุกความลับของชีวิตอยู่กับกุนซือเหล่านี้เช่นกัน
ไม่ใช่แค่เน้นไปที่ทีมของเพย์ตันเท่านั้น แต่ฝ่ายคู่แข่งก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นเพื่อนรักไฮโซของพระเอกนั่นเอง “ริเวอร์” ผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์เหลือล้น เป็นนักแสดงที่วางให้เป็นจุดหักเหสำคัญของเรื่องแต่แรก และก็เป็นคนที่มีคาริสม่าสูงมากๆ ทั้งในเรื่องและกับคนดูเองยังหลงรักไปด้วย แนะนำให้ดูแบบเสียง ENG เป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ได้ตามบทตรงเป๊ะจริงๆ ซึ่งริเวอร์จะมาคู่กับ “แอสทริด” สาวไฮโซสุดสวยแฟนของริเวอร์ ซึ่งบทนี้ไม่ใช่แค่ใช้หน้าตาสวยๆ แต่มีพัฒนาการซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็น 1 ในตัวละครที่สุดท้ายผู้ชมต้องรักเธอจนได้ แม้ว่าตอนแรกจะดูเป็นคุณหนูสมองกลวงก็ตามที อีกคนในทีมก็คือ “สกาย” สาวผิวสีข้ามเพศชัดเจนโดดเด่นคนเดียวในเรื่อง แม้จะบทน้อยแต่ก็จะกลายเป็นคนสำคัญในภายหลังต่อไป
นอกจากนี้ก็ยังมีดาราดังที่หลายคนคุ้นหน้าตากันอย่างดี กวินเนท พาลโทรว (Gwyneth Paltrow) มารับบทแม่สุดที่รักของพระเอกที่พร้อมจะสละทุกอย่างให้เขาบรรลุความฝันให้ได้ ซึ่งเธอก็มาในบทที่มีเสน่ห์ตามวัย และก็มีบทหลักสำคัญกับเรื่องปัญหามรดกของพระเอกไปจนจบเรื่อง ซึ่งตรงนี้เป็นซับพล็อตเสริมมาให้เรื่องราวของเพย์ตันน่าเชื่อถือมากขึ้นว่า ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงคิดออกแบบชีวิตตัวเองให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐได้
ซีรีส์เริ่มต้นได้สวยมากๆ ในตอนแรกและตอนต่อๆ มา เรียกว่าถ้าให้คะแนนแค่จากตอนแรกๆ นี่ 9-10 เต็มได้อย่างไม่ลังเล แต่เหมือนหนังจะโหมใช้พลังช่วงแรกมากไปจนแทบหมดก๊อก พอหลังจากตอนที่ 4 ไปหนังเริ่มอืด และไม่ค่อยมีประเด็นสดใหม่ แถมยังออกนอกแนวการเมืองไปถึงเรื่องคดีฆาตกรรมที่มาพัวพันกับเพย์ตันได้แบบงงๆ ซึ่งเรื่องพยายามจำลองว่านี่เป็นอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างเล่นการเมือง และยิ่งคนที่หวังเป็นประธานาธิบดียิ่งต้องไม่มีรอยด่างพร้อยอะไรแบบนี้ แต่ก็ยังคิดว่าพาออกทะเลมากไปจนทำให้ลดความสนุกลงแบบวูบหลับได้เลย แถมยังใส่ตัวละครไร้สมองเพิ่มมาอย่างจงใจให้ตลก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีผลกับเรื่องราวเนื้อหาหลักทางการเมืองนัก เรียกว่าเป็นช่วงที่ยืดเยื้อน่าเบื่อสุดของซีรีส์เลยก็ว่าได้ (ตอน 5-6-7)
สปอยล์เนื้อหาแยกจากส่วนหลักของเรื่อง
แต่ก็ยังดีที่ซีรีส์กลับมาเข้าที่เข้าทางได้ในตอนสุดท้าย และเป็นตอนที่ทำให้ผู้ชมได้รับทราบว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตพระเอกนั่นเป็นแค่โหมโรงเพื่อให้ทุกคนได้เติบโตขึ้นในแบบ Coming of Age ก่อนจะมารวมทีมเจอเรื่องราวของจริงการเมืองระดับชาติ กับคู่แข่งระดับเกินจินตนาการของพระเอก ซึ่งเป็นอะไรที่น่าจะเข้มข้นกว่าซีซั่น 1 มาก เพราะไม่มีเวลามานอกเรื่องออกทะเลใดๆ อีกแล้ว และผู้สร้างก็น่าจะได้รับฟีดแบ็คบทเรียนว่าส่วนนั้นฉุดให้คะแนนของเรื่องนี้ตกต่ำลงมาก ทั้งๆ ที่เป็นซีรีส์ที่เนื้อหาหลักการเมืองสนุกเข้มข้นและน่าติดตามมาก แม้จะวางตัวเองเป็นหนังตลกเบาสมองก็ตามที แต่กลยุทธ์ต่างๆ รวมถึงวิธีการทำงานเป็นทีมในเรื่องก็เป็นอะไรที่มาจากเรื่องจริง และเป็นการเมืองในแบบคนรุ่นใหม่สนใจต้องดูเลยก็ว่าได้
รีวิว The Politician SS2
เนื้อหามีสปอยล์บางส่วน
ตัวเรื่องทำต่อจากตอนจบซีซั่นแรกที่ค้างไว้ทันที เรื่องของการลงเลือกตั้งแข่งกับ “ดีดี” อดีต สว. นิวยอร์คหลายสมัย ที่ถูกวางตัวไว้ว่าจะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐต่อไปด้วย เรื่องรวบรัดเวลาให้เหลือแค่เดือนสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ตัดข้ามขั้นช่วงแรกของการหาเสียงของทีมเพย์ตันไปทั้งหมด และก็บอกว่าเขายังมีคะแนนตามหลังอยู่มาก แม้จะพยายามทำทุกอย่างแทบหมดก๊อกแล้ว เรื่องจึงเป็นช่วงโค้งสุดท้ายเดือนเดียวที่สุดวุ่นวายว่าทีมพระเอกจะพลิกกลับมาได้อย่างไร และเพย์ตันเองก็ไม่อยากเล่นเกมการเมืองสกปรกอีกต่อไปแล้ว (จากตอนจบซีซั่นแรกที่รู้ว่าดีดีมีสัมพันธ์สามคนผัวเมีย)
ตัวเรื่องยังได้อารมณ์ซีซั่นแรกไม่เปลี่ยน มีความสนุกจิกกัดการเมืองกับศีลธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ ในมุมสถานะของนักการเมืองกับในมุมของมนุษย์ปกติว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่ เพย์ตันเองก็เหมือนถูกด้านมืดค่อยๆ เข้าครอบงำหลังรู้ว่าตัวเองมีคะแนนตามหลัง แต่เรื่องก็ไม่ถึงกับดาร์คไปเลยอย่าง House of Cards ซีรีส์การเมืองรุ่นพี่ใน Netflix ตัวเรื่องยังออกแนวตลกเสียดสีกับทุกอย่างที่ตัวละครทุ่มเททำเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง และก็เป็นเรื่องของการปะทะทางความคิดระหว่างคน 2 Gen ที่ดุเดือด เหมือนการเมืองในปัจุบันของหลายประเทศตอนนี้ (อย่าง ฮ่องกง)
แม้ว่าภาพรวมของตัวเรื่องซีซั่น 2 จะดูสนุกไม่เปลี่ยนไปเลย แต่ปัญหาที่เห็นเลยคือบทค่อนข้างรวบรัด จำนวนตอนก็น้อยลง 1 ตอน ตัวเรื่องเล่าเร็วรวบรัดตัดตอนหลายอย่างไปแบบไม่ต้องคิดจะให้สมเหตุผล และมีความย้อนแย้งของการกระทำความคิดตัวเอกเพย์ตันไปมา แถมยังเขียนบทให้หาทางออกง่ายๆ ตัวละครไม่ได้รับบทเรียนหรือมีความรับผิดชอบแบบที่ซีซั่นแรกทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลกรรม แต่มา ss2 กลายเป็นทำเลวก็ได้ดี แล้วก็ละเลยเหตุผลข้อเท็จจริงของการเลือกตั้งบางจุดไปอย่างไม่สมเหตุผล อย่างหีบบัตรเลือกตั้งโดนขโมย แต่ไม่มีการตามหาตรวจสอบอะไรในเรื่องเลย ทั้งๆ ที่รายชื่อคนลงคะแนนกับจำนวนบัตรไม่ตรงกันก็ต้องมีพิรุธแล้ว ซึ่งเรื่องข้ามการอธิบายให้สมเหตุผลไปเลย แถมด้วยวันเวลาการลงเลือกตั้งกับเวลาที่เกิดเรื่องราวในซีซั่นนี้ไม่ค่อยสัมพันธ์กันตามจริง อย่างการให้แฟนนางเอกท้อง ทั้งๆ ที่เรื่องมีเวลาแค่เดือนเดียว และความสัมพันธ์ของตัวละครหลายตัวในช่วงเวลาเดือนเดียวก็ไม่น่าเป็นไปได้ เรื่องจึงมีช่องโหว่บาดแผลของการพยายามยัดอะไรพวกนี้เข้ามาหลายจุด
แต่ข้อดีคือเรื่องยังคงอารมณ์ของซีซั่น 1 ไว้หมด ตัวละครทุกตัวกลับมาครบ และก็เพิ่มบทฝั่งแม่ของพระเอกว่าลงเลือกตั้งเหมือนกันที่รัฐอื่น และตัวบทของทีมคู่แข่งพระเอกเองก็มีเรื่องราวน่าสนใจเยอะพอๆ กับทางทีมพระเอกเช่นกัน รวมถึงยังใส่ตอนพิเศษเป็นมุมมองของคนที่ลงคะแนนแบบในซีซั่นแรกมาเหมือนเดิม โดยคราวนี้ใส่มา 2 Gen เป็นแม่กับลูกที่มีมุมมองต่างกันทางการเมือง ซึ่งก็ไม่ต่างจากไทยที่สุดท้ายก็ทะเลาะกันครอบครัวแทบแตกแยก
ตัวเรื่องยังไม่ได้รับไฟเขียวให้ทำ SS3 ต่อ แต่ซีรีส์ก็วางเรื่องไว้ซีซั่นต่อไปแล้วกับการเมืองระดับชาติในตอนจบครับ