playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

Gemini Man เจมิไน แมน รีวิวการดูโรงฉาย 3D HFR 60 เฟรม คุ้มค่าหรือไม่?

Gemini Man เจมิไน แมน

สรุป

งานสร้างหนังเรื่องนี้เด่นกว่าเนื้อหาการแสดงหรือบทในเรื่อง ที่ค่อนข้างเชยและก็ธรรมดาไม่มีพลิกหักมุมอะไร ก็คงต้องแนะนำว่าให้ดูแบบ 3D HFR 60 เฟรม สูงสุดที่โรงหนังในไทยทำได้จะดีกว่า เพราะไม่งั้นความพิเศษของหนังเรื่องนี้คงหายไปเกือบหมดครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • งาน 3D แท้ๆ มีมิติชัดเจน
  • รายละเอียดนักแสดงคมกริบเหมือนเกม
  • นางเอกเก่งกว่าที่คิดมาก

Cons

  • เนื้อเรื่องธรรมดาเชยๆ ไม่มีพลิกหักมุมอะไร
  • สเกลภาพไม่กว้างสมกับเป็นหนังที่ถ่ายทำมาพิเศษ
  • 3D ไม่มีพุ่ง มีแต่ความลึกเป็นมิติเท่านั้น

ADBRO

Gemini Man เจมิไน แมน ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์สุดล้ำ นำแสดงโดย วิล สมิธ ซึ่งรับบทเป็น เฮนรี่ โบรแกน นักฆ่าฝีมือฉกาจซึ่งกลายเป็นเป้าหมายและถูกไล่ล่าโดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับที่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของเขาได้ทุกครั้ง ภาพยนตร์กำกับโดย อั้งลี่ ผู้กำกับรางวัลออสการ์ ร่วมอำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์

รีวิว Gemini Man 3D HFR 60 เฟรม
Gemini Man 3D HFR 60 เฟรม

อีกหนึ่งหนังแอ็กชั่นฟอร์มยักษ์ที่ได้วิลสมิธมาเล่น 2 บทนักฆ่าวัย 50 ปีเจอกับโคลนนิ่งของตัวเองที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งพล็อตแนวนี้ไม่ได้ใหม่และก็เรียกว่าเชยตกยุคแล้วก็ได้ แต่หนังเรื่องนี้มีจุดขายที่นอกเหนือจากการแสดงของวิลสมิธนั่นก็คือ งานภาพแบบ 120 เฟรมต่อวินาที หรือที่เรียกว่าไฮเฟรมเรต (HFR) แบบเกมนั่นแหละครับ ซึ่งภาพยนตร์ตั้งแต่มีมาในอดีตคือยึดมาตรฐาน 24 เฟรมตามสายตาธรรมชาติของมนุษย์ แล้วเฟรมเยอะดีกว่าตรงไหน หลักๆ เลยก็คือความคมชัดของรายละเอียดเวลาเคลื่อนไหว ถ้าสังเกตุดีๆ เราจะมองเห็นว่าในเกมเวลาตัวละครเคลื่อนไหวเร็วๆ ก็ยังเห็นรายละเอียดคมกริบอยู่เสมอ ซึ่งถ้าเป็น 24 เฟรมจะมีการเบลอมากน้อยตามความเร็วของการเคลื่อนไหว ถ้านึกไม่ออกลองเอามือกางนิ้วไว้หน้าสายตาเราแล้วโบกไปซ้ายขวาเร็วๆ จะเห็นช่วงเบลอระหว่างนิ้ว นั่นแหละครับการเบลอแบบ 24 เฟรมตามปกติที่ในภาพยนต์ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน ซึ่งผู้กำกับอั้งลี่ตั้งใจทำเฟรมเรตในเรื่องนี้สูงสุดที่เคยมีมาคือ 120 เฟรม แต่ว่าเครื่องฉายที่ทำได้ในเมืองไทยยังไม่มี สูงสุดตอนนี้คือ 60 เฟรมในแบบ 3D HFR ซึ่งถ้าอยากรับชมเรื่องนี้ให้ได้คุณภาพที่แท้จริงก็แนะนำให้เช็ครอบ 3D แล้วดูว่าเป็นแบบ HFR หรือไม่อีกทีด้วยครับ

ในรีวิวต่อจากนี้จะลงดีเทลในเรื่อง 3D HFR มากกว่าเนื้อหาหนังที่ขอละไว้ส่วนท้ายก็พอ เพราะเรื่องนี้รวมๆ ไม่ได้มีอะไรมากครับ จากที่ดูมา 3D HFR ของเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ภาพชัดมาก ชัดแบบคมกริบบาดตาคนดูได้เลย หนังเห็นรายละเอียดตัวละครมากที่สุดที่เคยมีมา ฉากเคลื่อนไหวแม้เร็วแค่ไหน ตัวละครก็ยังคมกริบลอยออกมาจากฉากเป็น 3D ชัดเจน ซึ่งฉากหลังในเรื่องจะมีมิติลึกตื้นตลอดเวลา ก็เรียกว่าเป็น 3D ที่แท้จริงแน่นอน ถอดแว่นนี่เบลอหนักเลยมากกว่าพวก 3D เทียม แต่ด้วยความที่หนังคงเน้นเรื่องไฮเฟรมเรตมากกว่าฉากพุ่งทะลุจอตามแนวทาง 3D ปกติที่มักจะต้องมีกัน ในเรื่องนี้เท่าที่ดูมาเลยไม่มีฉากพุ่งทะลุจอพวกนี้เลย แต่ด้วยความที่ตัวละครมีมิติตลอดเวลาแล้วก็คมชัดเนียนกริบ ก็เลยรู้สึกไม่ได้เป็นส่วนสำคัญอะไรนัก เพราะเอาจริงๆ เรื่องที่มีแบบนี้ก็มีแค่บางฉากอยู่ดี

Gemini Man เล่นเองทั้งสองบทบาท

ว่ากันในแง่ดีแล้ว ในแง่ลบของการรับชม 3D HFR ก็มีเช่นกัน สำหรับคนที่ไม่ชินกับภาพที่คมกริบทุกเฟรมแบบนี้ก็คงรู้สึกว่าภาพหลอกตา กลายเป็นตัวละครในเรื่องคมกริบกันเกินไปไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งตามหลักการก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ถ้าคนเล่นเกมมาอาจจะชอบแบบนี้มากกว่าก็ได้ เพราะชินกับการรับชมเฟรมเรตสูงมาอยู่แล้ว อีกทั้งการรับชมแบบนี้สายตาจะเกิดการล้าได้มากกว่าปกติ ซึ่งหนังมีความยาว 117 นาทีรวมเครดิต ก็ถือว่ายาวมากพอสมควร ก็อาจจะเป็นปัญหาได้ แต่จากที่ผู้เขียนรับชมมาเองไม่มีปัญหาอะไรตรงนี้

อีกจุดคือขนาดสัดส่วนของภาพไม่กว้างมาก ใช้แค่มาตรฐาน 1.85:1 ซึ่งพอเน้นที่เรื่องภาพแบบนี้รู้สึกยังไม่สุดสักเท่าไหร่ เพราะมุมมองการรับชมแคบไปนิดเมื่อต้องใส่แว่นที่กรอบสายตาไว้อีกชั้น ซึ่งพวกหนังที่อลังการงานสร้างหน่อยมักจะใช้ขนาด 2.39 : 1 ทำให้ดูอิ่มเต็มตากว่ามาก แถมโรง IMAX ของไทยก็ไม่รองรับ HFR โดยจะฉายเป็นแค่ระบบ IMAX 3D 24FPS เพียงเท่านั้น ซึ่งก็แนะนำให้ดูโรงธรรมดาแบบ 3D HFR 60 เฟรมดีกว่า

สำหรับตัวหนังเองก็ต้องบอกว่าพล็อตมันเชยจริงๆ คือมีแค่เรื่องโคลนนิ่งตามในตัวอย่าง ไม่ได้มีพลิกอะไรมากไปกว่านั้น ตัวพระเอกก็พยายามกล่อมให้โคลนเด็กของตัวเองกลับใจ แนวพ่อสอนลูกไม่ให้ผิดพลาดแบบตัวเองที่เข้ามารับใช้คนผิด กลายเป็นนักฆ่าที่ต้องมีชีวิตลับๆ ไปตลอดกาล แทนที่จะใช้ความสามารถที่มีเป็นได้มากกว่านั้น

หนังมีฉากแอ็กชั่นอยู่เป็นระยะตลอดเรื่อง แต่คิวบู๊ยังไม่ได้ดูเด่นอะไรมาก มีที่เด่นๆ เลยก็คือฉากซิ่งมอเตอร์ไซด์ตามที่เห็นในตัวอย่าง แต่ในหนังมียาวกว่านั้นและก็เป็นฉากผาดโผนที่เท่ที่สุดในเรื่องแล้วจริงๆ  ซึ่งฉากแอ็กชั่นกับโลเกชั่นในเรื่องที่มักสู้กันในที่ๆ มีสิ่งก่อสร้างหรือที่ปิด ก็ช่วยทำให้งาน 3D HFR แยกมิติตัวละครกับฉากพวกนี้ออกมาได้ชัดเจน เป็นอะไรที่ดูดีมาก โดยเฉพาะฉากในสุสานใต้ดินที่ดูแล้วใช้งาน 3D HFR ได้คุ้มที่สุดของเรื่องแล้ว

จากทั้งหมดที่ว่ามาก็กลายเป็นว่างานสร้างหนังเรื่องนี้เด่นกว่าเนื้อหาการแสดงหรือบทในเรื่อง ถ้าถามว่าคุ้มไหมที่จะไปดู ก็ต้องบอกว่าคงต้องดูแบบ 3D HFR 60 เฟรม สูงสุดที่โรงหนังในไทยทำได้จะดีกว่า เพราะไม่งั้นความพิเศษของหนังเรื่องนี้คงหายไปเกือบหมดครับ

ตัวอย่างหนัง Gemini Man เจมิไน แมน

 

Leave a comment
รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ