The Irishman ไอริชแมน
สรุป
ไม่เหมาะสำหรับทุกคน หนังออกแนวเนือยๆ ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีฉากหวือหวาใดๆ เป็นพิเศษ ภาพตัดไปตัดมาระหว่างอายุาชวนงง แต่รายระเอียดในหนังเยอะมาก หนังสมควรได้ชิงรางวัลใหญ่ และมันไม่ใช่แค่ภาพยนตร์สตรีมมิ่งธรรมดาๆ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- การ De-aged ที่สุดยอดมากๆ
- การสร้างความสัมพันธ์ในช่วงท้ายดีมาก
- นักแสดงระดับตำนานทุกคน
- หนังรายละเอียดเยอะเหมาะแก่คนชอบดูซ้ำ
Cons
- การตัดต่อที่ไม่สมูธในระหว่างเรื่อง
- หนังโทนเนือยๆ ทั้งเรื่อง
- หนังไม่มีการเล่าถึงประวัติศาสตร์และมาเฟียทำให้เข้าใจยาก
The Irishman ไอริชแมน เรื่องราวดัดแปลงจากนวนิยาย I Heard You Paint Houses ของ Charles Brandt อดีตนักสืบที่ได้ขอสัมภาษณ์ แฟรงค์ เชียแรน อดีตแก๊งมาเฟียอิตาลีในอเมริกา โดยเขาได้คำสารภาพว่าเป็นคนสังหารเพื่อนของเขา จิมมี่ ฮอฟฟา ผู้นำสหภาพแรงงานที่หายตัวไปอย่างปริศนาจนกระทั่งประกาศเป็นบุคคลที่เสียชีวิตแล้วในภายหลังอ่านเรื่องราวได้ต่อใน จิมมี่ ฮอฟฟ่า คดีอุ้มฆ่ามาเฟีย เรื่องจริงใน The Irishman โดย มาร์ติน สกอร์เซซี่
สำหรับเรื่องนี้ถือว่าเป็นการกลับมาของหนังแนวมาเฟียในรอบหลายปีของ มาติน สก็อตเซซี่ เลยทีเดียว ถือว่าเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของป๋าเลยก็ว่าได้ ที่ได้ทุนสร้างมากกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐจาก Netflix ถือว่าเป็นการลงที่สูงที่สุดของเน็ตฟลิกซ์เลยก็ว่าได้ เสียเยอะไปกับการทำ CG ย้อนวัยหรือ De-aged เพื่อลดอายุของนักแสดงในระหว่างทางของเรื่อง โดยได้สตูดิโอเดียวกันกับที่ทำงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์ต่างๆ ของ Lucasfilm นั้นคือ Industrial Light and Magic
ดิ ไอริชแมน ได้มีรอบฉายพิเศษที่จัดในงาน New York Film Festival และเปิดฉายแบบจำกัดโรงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้คนต่างให้คำวิจารณ์ต่อหนังว่าเป็นที่ยอดเยี่ยมมากอย่าง RottenTomatoes คะแนนอยู่ที่ 96% ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับคะแนนมะเขือเน่านี้ แต่ว่าหนังเรื่องนี้จะถูกใจใครคนทั่วไปเหมือนอย่างคำวิจารณ์ว่าไว้รึเปล่าเรามาลองดูกันได้
เรื่องนี้ด้านเนื้อเรื่องเป็นการเล่าถึงชีวิตของ แฟรงค์ เชียแรน ที่ ณ ตอนนี้กำลังทำอาชีพขับรถตู้อยู่หลังจากการที่ไปรบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จ เขาได้พบกับ รัส ที่ช่วยซ่อมรถบรรทุกระหว่างทางที่รถของเขาเสีย ใครจะไปรู้ว่านี้คือจุดเริ่มต้นของเขาที่จะเข้าสู่วงการมาเฟียอิตาลีในภายหลัง มันอาจจะทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิตเลยก็ได้หลังจากที่ต้องเข้ามาในวงการนี้
รับชมตัวอย่าง ดิ ไอริชแมน เน็ตฟลิกซ์ได้ที่นี้
สำหรับการเล่าเรื่องของ ดิ ไอริชแมน นั้นจะเป็นการเล่าแบบเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างตอนที่ยังหนุ่มกับตอนแก่แล้ว โดยตัวหนังจะไม่บอกวันเวลาที่แน่ชัดในระหว่างกันตัดภาพไปมา การที่จะเข้าใจประวัติศาสตร์ที่แทรกในหนังได้นั้น เราต้องรู้จักประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และสงครามที่คิวบา ก่อนถึงจะดูได้รู้เรื่องและเข้าใจแล้วจะเห็นว่าหนังเรื่องนี้สอดแทรกประวัติศาสตร์ได้อย่างแนบเนียนและขนานไปกับเนื้อเรื่องด้วย หรือดูเรื่อง Goodfellas (มีให้ชมในเน็ตฟลิกซ์สามารถคลิกได้ที่นี้เลย) ที่จะทำให้ผู้ชมได้เข้าใจถึงระบบมาเฟียอิตาลีมากขึ้นอีกด้วยโดยผลงานเรื่องนี้ก็ยังเป็นของ มาติน สก็อตเซซี่ เช่นกัน โดย Goodfellas มีธีมที่เฮฮา การเล่าเรื่องที่สนุกกว่า ดิ ไอริช แมน ถ้าคุณชอบ Goodfellas คุณอาจจะไม่ต้องชอบเรื่องนี้ก็ได้เพราะมันคนละโทนหนังกันเลย ส่วนเรื่องลำดับภาพอาจจะทำให้คนดูหลายๆ คนได้สับสนว่าเรื่องมันเป็นมายังไงถ้าไม่ได้สังเกตุให้ดีก่อนเพราะการตัดต่อค่อนข้างแย่มากสำหรับเรื่องการสลับฉากไปมา ถือว่าเป็นอีกจุดที่ผมอยากหักคะแนนเลย และช่วงกลางเรื่องถึงท้ายเรื่องเป็นส่วนที่ผมชอบมากที่สุดมันสร้างอารมณ์ที่เข้าถึงผู้ชมได้ดี การถ่ายแต่ละช็อตมันแสดงให้เห็นอีโมชั่นของตัวละครได้ชัดเจนเป็นส่วนที่ดีที่สุดอีกอย่างของเรื่อง ความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนต่อคนที่ไว้ใจ การแสดงของพวกเขาทำให้เชื่อเลยว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน
แม้จะเป็นหนังแนวแก๊งก็เถอะแต่อย่าหวังว่าจะมีฉากบู้หรือฉากดวลโหดๆ เลย ทั้งเรื่องเราจะเห็นแต่ความโหดดิบวงในของการเมืองและมาเฟีย เราจะได้เห็นการระบบภายในของมาเฟียอิตาลีว่าทำไมมันถึงได้มีอิทธิพลในสมัยนั้นมาก จะเรียกให้ถูกมันคือยุคหนึ่งสังคมเน่าเฟะเลยก็ว่าได้ ใครจะทำอะไรต่างจากที่กำหนดไว้ไม่ได้ เห็นต่าง เห็นมากไป เอ็งตาย!! รวมไปถึงปัญหาคอรัปชั่นที่มีให้เห็นในเรื่อง การฆ่าปิดปากไม่ได้เหมือนหนังทั่วไปที่จะมีฉากแอ็กชั่นเป็นนาที มันคือกระสุนหนึ่งนัดเท่ากับหนึ่งชีวิตเลยก็ว่าได้ และมันยังสะท้อนถึงปัญหาครอบครัวในชีวิตทั่วไปได้ดีอีกด้วยสำหรับการที่แฟรงค์ ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวมากนัก
เทคโนโลยีลดอายุใบหน้าหรือ De-aged คือสิ่งที่ดีที่สุด การที่ทำให้หน้าดูหนุ่มขึ้นจากการทำ CG ทำได้เนียนสุดๆ นี้ถือว่าอาจจะเป็นอีกบทพิสูจน์ในอนาคตเลยก็ได้ว่า นักแสดงไม่จำเป็นจะต้องคนแก่หรือคนวัยทำงาน ในเมื่อ CG มันสามารถปรับให้ดูสมจริงได้ขนาดนี้เลย และการแสดงอันไร้ที่ติของ Robert De Niro ที่รับบทเป็น Frank Sheeran, Al Pacino เป็น Jimmy Hoffa, Joe Pesci เป็น Russell Bufalino การแสดงของทั้งสามารถคว้าใจคนดูได้อยู่หมัดไม่ว่าจะเป็นมาดเข้ม สายตาที่ดุดัน ไม่ต้องแปลกใจเพราะทั้งสามคนนี้ได้รางวัลออสการ์มาแล้วจากการแสดงเรื่องเก่าๆ ที่เขาแสดงไว้ ถ้าใครอยากรู้จักพวกเขาลองคลิกเข้าไปดูผลงานของพวกเขาได้เลย
สรุปแล้วการที่จะดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างสนุกสนาน ควรรู้จักประวัติศาสตร์ของสหรัฐและวงการมาเฟียอิตาลีให้ดีซะก่อนที่จะมาดู เพื่อเพิ่มรสชาติของหนังให้ดียิ่งขึ้น หนังเรื่องนี้จึงไม่เหมาะสำหรับคนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าใครชอบแล้วจะได้เห็นว่าหนังมันรายละเอียดที่เยอะมาก มีเสน่ห์และกลิ่นอายเฉพาะตัว มันจะทำให้คุณหลงรักหนังเรื่องนี้เลย
- ความเห็นจากเรา: STREAM IT แต่ควรศึกษาก่อนแนวทางก่อนดูถ้า 20 นาทีแรกไม่ใช่แนวควรผ่านทันที
- รับชม The Irishman ผ่าน Netflix คลิกที่นี่