ฮาวทูทิ้ง
สรุป
เต๋อ บอกว่านี้เป็นหนังรัก “โรแมนติกพอสมควร” ผมอยากจะถามว่าตรงไหน? โดยหลักการกว้างๆ หนังมีความ “เรียล” อยู่เหมือนกันเรื่องตัวอย่างความรักในแบบต่างๆ แต่การปรับให้นักแสดงเดินเรื่องให้เป็นสไตล์ เต๋อ นั้น ผมว่ามันก็อาร์ตดี แต่ก็น่าเบื่อไปในตัวเพราะ ตัวละครต้องพยายามทำให้ภาพหนังมันราบเรียบจนเกินไป ยิ่งตอนที่ในหนังบอกว่า อย่าอีโมฯ มากเกินไป ผมยังงงว่านี่ อีโมฯ แล้วหรอ? อู้หู… แล้วฉากฉบที่ทิ้งไว้เพื่อให้คนเถียงกันอย่างตั้งใจนี่นิสัยไม่ดีเลยครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- แสดงมุมมองความรักในแบบต่างๆ ได้ดี
- นักแสดง(บางคน)เล่นดีมาก อารมณ์มาเต็ม ถึง สุดๆ
- การวางจุดหักมุมทำได้ดี
- แบบบ้านสวยดี
Cons
- หนังอาร์ตเกินไป
- เล่าเรื่องน่าเบื่อ ทุกอย่างดูแบน
- มีของเกินความจำเป็นมากไป จนดูเว่อร์
- ใช้ตัวละครเปลือง ไปมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
- บุคลิกนางเอกในปัจจุบัน ดูไม่สมเหตุสมผลกับในอดีต(ในเรื่องนะ)
- ฉากจบทิ้งปมไว้ไม่ยอมสรุป
ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรให้ไม่เหลือเธอ ผลงานการกำกับภาพยนต์ลำดับที่ 7 ของ เต๋อ, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ นักทำหนังสั้นและเขียนบทมือดีที่มี “แนว” ทางการกำกับหนังใหญ่เป็นของตัวเองแบบสูงปรี๊ด เป็นหนังส่งท้ายปี 2019 ที่เปิดตัวได้ “แนว” ไม่น้อย โดยยิงตรงสู่กลุ่มแฟนคลับของเต๋ออย่างแม่นยำและชัดเจน (สำหรับคนที่ไม่สนใจผู้กำกับ หรือไม่รู้จักเต๋อ อาจจะไม่รู้ว่ามีหนังเรื่องนี้เช้าโรงเลยด้วยซ้ำ) ซึ่งแน่นอนว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่สนใจ ฮาวทูทิ้ง อยู่ไม่น้อย เพราะประเด็นที่หนังตัวอย่างทิ้งไว้นั้นเรียกว่าดูดีมากจริงๆ
หนังตัวอย่างฮาวทูทิ้ง GDH
เกริ่นนำ
ฮาวทูทิ้ง เป็นเรื่องราวรอบตัวของ จีน (แสดงโดย: “ออกแบบ” ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง) สาวรุ่นซึ่งเพิ่งกลับมาจากการเรียนต่อที่ประเทศสวีเดน เธอต้องการจะปรับภูมิทัศน์ของบ้านเธอเสียใหม่ให้เป็นแบบ “มินิมอล” เพื่อทำเป็นออฟฟิศ (เข้าใจว่าให้เช่าเป็นเวิร์คสเปซอะไรทำนองนั้น) เธอจึงจำเป็นที่จะต้องเก็บกวาดบ้านเสียใหม่เพราะของเก่าเก็บในบ้านที่อยู่มากว่า 30 ปีนั้นเรียกได้ว่าทำให้บ้านแทบไม่มีที่อยู่เลยแหละ
ในระหว่างการเก็บกวาดบ้านในสไตล์ไม่สนใจสิ่งใดๆ ในโลกและพร้อมจะสลับทุกอย่างทิ้งไปจนหมดอยู่นั่นเอง พิ้ง เพื่อนสนิทของจีน และ เจย์ พี่ชายของจีน ก็เป็นคนที่กระตุ้นให้เธอเริ่มเห็นคุณค่าของคำว่า “ความทรงจำ” ในของสิ่งต่างๆ ขึ้นมา และ จีน ก็เริ่มกลับไปสนใจ ”อดีต” ของของต่างๆ ที่ได้มาจากเพื่อนของเธอ และเมื่อเธอได้เริ่มให้ความสำคัญกับคุณค่าของของที่ได้มาเหล่านั้น เธอก็เริ่มได้สิ่งตอบแทนเป็นความสุขใจอย่างคาดไม่ถึง จนมาถึงของชิ้นหนึ่งที่เป็นของ “พี่เอ็ม” (แสดงโดย: ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) อดีตแฟนหนุ่มที่เธอเคยตั้งใจทิ้งเขาไปแบบไม่ยินดียินร้ายใดๆ ทิ้งสิ้น อยู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ผลุดขึ้นมาในใจการเอาของไปคืนในครั้งนี้ยากกว่าทุกครั้ง จีน ยังทิ้งพี่แม็กไม่ขาด แล้วเรื่องราวของหนัง “โรแมนติดพอสมควร” ที่พี่เต๋อเคยพูดไว้ก็เกิดขึ้น
ฮาวทู..ดูหนังของเต๋อ
“เต๋อก็คือเต๋อ …แต่เต๋อไม่ใช่คนของคนทุกคน” ฮาวทูทิ้ง นั้นมีลายเซ็นของเต๋อ อยู่เต็มหนังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ ฟอนต์(ตัวหนังสือ) ยุคเก่าอย่าง Angsana แถมมีการพิมพ์ “สระลอย” หลังพิมพ์ตัวยกด้วย, การเลือกนำเสนอหนังในอัตราส่วนภาพ 4:3, ภาพในหนังสีหม่นๆ, หน้าตาตัวแสดงที่เหมือนจะอมทุกข์มากกว่าคนปกติอยู่ตลอดเวลา, การเปลี่ยนฉากแบบเปลี่ยนทันทีเหมือนหนังสั้น, การใช้คำพูดเฉพาะแบบติสๆ อาร์ตๆ ฉากเดดแอร์เพื่อให้นักแสดงทิ้งอารมณ์เป็นระยะๆ ซึ่งสำหรับแฟนคลับเต๋อ ก็คงรู้สึกว่าว่าแนวดี หนังเต๋อก็แบบนี้แหละ แต่สำหรับคนดูทั่วไปอาจจะรู้สึกว่า “นี่มันใช่หนังที่เราตั้งใจเสียเงินมาดูรึเปล่า?” ถ้าคุณอยากดูหนังเต๋ออย่างมีความสุขน่าจะต้องทำการบ้านมาก่อน แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันเป็นลูกค้า แค่คนเสียเงินเพื่อจะเข้าไปดูหนัง ทำไมต้องทำการบ้านศึกษาแนวทางของผู้กำกับเข้าไปก่อนด้วย ผมแนะนำให้ผ่านไปเลยครับ และมันไม่ใช่ความผิดของใครเลยที่จะไม่ชอบดูหนังแบบนี้ (ผมเองค่อนข้างจะเป็นแฟนคลับเต๋อ ผมยังคิดว่าเรื่องนี้พี่เต๋ออาจจะสนองนี้ดตัวเองมากไปหน่อยเลย)
ฮาวทู..เป็นฮาวทูทิ้ง
ค่อนข้างชัดเจนว่า ฮาวทูทิ้ง ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ “ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว” ของคุณ “มาริเอะ คนโด” ผู้ให้กำเนิด Konmari Method ที่โด่งดังไปทั่วโลก ขนาด Netflix ยังทำรายการให้เธอ แม้แต่คำว่า Sparks Joy ที่พูดกันบ่อยๆ ในหนังก็มาจากคุณมาริเอะ นี่แหละ ห้องในฝันของนางเอกเองก็เหมือนกัน สไตล์ก็จะออก เซ็นๆ (Zen) หน่อย ขาวๆ เรียบๆ แบบ “อีเกีย” ไม่รู้ว่าเพราะ นางเอกจบมาจากสวีเดน(ประเทศแม่ของอีเกีย) รึเปล่า? (หรือเพราะได้สปอนเซอร์กันแน่ )
เอามารวมเข้ากับประเด็นความรักของคนที่ทิ้งเขา และถูกเขาทิ้ง ซึ่งจริงๆ ประเด็นตรงนี้มันสั้นมาก หนังค่อนข้างให้เวลากับการแสดงอารมณ์ของตัวละครค่อนข้างเยอะ เลยมีการปูเรื่อง และเสริมมุมมองอื่นๆ เข้ามาเพื่อเป็นการชักนำตัวละครให้ไปถึงจุดที่หนังอยากจะให้เป็นได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลขึ้น เลยทำให้เกิดประเด็นย่อยๆ ตามมาเช่น การให้ความสำคัญของอดีต ความสัมพันธ์ การเลือก ความจำเป็น และอื่นๆ
ฮาวทู ถาม-ตอบ
ตรงส่วนนี้เป็นมุมมองของผมที่มีต่อหนัง ซึ่งผมจะทำเป็นถามตอบนะครับ เพราะถ้าจะให้เล่ายาวๆ อาจจะอ่านแล้วคลุมเครือเพราะหนังมันติสๆ หน่อย บางเรื่องมันอธิบายยากครับ อธิบายเยอะก็กลัวจะไปแตะสปอยเพราะเนื้อหนังจริงๆ ไม่เยอะเท่าไหร่ (ให้เล่าก็คิดว่าไม่เกิน 2 นาทีจบ)
Q: หนังดีไหม?
A: หนังโอเคนะ ค่อนไปทางดี รายละเอียดค่อนข้างครบ มีการทิ้งอะไรไว้เพื่อให้เกิดเหตุการณ์หนังมุมที่เป็นเหตุเป็นผลได้ดี ผลสะท้องของการกระทำต่างๆ ก็ค่อนข้างดี ดูสมจริงซะส่วนมาก ส่วนเว่อร์ๆ ก็มีบ้างแต่ก็พอมองข้ามได้
Q: แล้วหนังสนุกไหม?
A: ถ้าด้วยนิยามของคำความว่า “สนุก” แบบปกติแล้ว คิดว่าหนังเรื่องนี้ “ไม่สนุก” ครับ เป็นหนังที่ใช้คำว่า มินิมอล บ่อยมากแต่ตัวหนังใช้ของ แม็กซิโม่ สุดๆ ใช้ทิ้งใช้ขว้างใช้พร่ำเพรื่อ ใช้ไปแบบไร้ประโยชน์ การเล่าเรื่องของหนังก็ทำได้น่าเบื่อไร้ความตื่นเต้น เพราะตัวละครเกือบทั้งหมดไม่รู้ไปโดนอะไรมา พูดเหมือนคนเบื่อโลกอยู่ตลอดเวลา ไร้เรี่ยวแรง ว่ากันที่ตัวละครหลักเลย “จีน” ภาพจีนสมัยเรียนอยู่ที่ไทยก็เฮฮาดี แต่หลังจากไปเรียนเมืองนอกมา 3 ปี กลับมาก็หน้าตายตลอด แบบไม่มีสาเหตุ แน่นอนว่าเป็นตั้งแต่ก่อนไปเจอ พี่เอ็ม แล้วตอนที่ทิ้งพี่เอ็มไปทีแรกก็คือไม่รู้สึกอะไร ตั้งใจทิ้งเลย หายไป 3 ปี ไม่ได้ติดต่อกัน เพราะฉะนั้นตัดประเด็นเรื่องรู้สึกผิดหรืออะไรพวกนั้นไปได้เลย…
Q: บทดีไหม?
A: สำหรับเรื่องบท ผมคิดว่าเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี การวางไทม์ไลน์ กับบทพูดค่อนข้างใช้ได้ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่เกือบจะเป๊ะกับหนังเลย มีทั้งที่ผมหายตัวไปเลยแล้วก็ไม่เจอกันอีก และเขาก็หายตัวไปเลยแต่ดันต้องกลับมาเจอกันอีก ผมก็ยังรู้สึกว่าอารมณ์ คำพูด หน้าตา ของตัวละครมันดาวน์เว่อร์ไปหน่อยอยู่ดี
Q: นักแสดงเล่นดีไหม?
A: ถ้าบนพื้นฐานที่ผู้กำกับสั่ง ผมว่าดี แต่มันจืดๆ หน่อยไง คนอะไรจะดาวน์ตลอดเวลาขนาดนั้น ถ้าจะถามว่าใครเล่นดีสุด ผมว่า “แม่ของจีน” (อาภาศิริ นิติพน) คนนี้อารมณ์มาเต็ม ชัดเจน แต่งหน้าก็ดี เล่นได้ต่างจากตัวเขาและรู้สึกว่าเข้ากับตัวละครได้ดี แต่สุดท้ายก็โดนทิ้งให้หายไปเฉยๆ คนอื่นส่วนใหญ่เป็นนายแบบนางแบบ ก็เล่นเหมือนเป็นนายแบบนางแบบตอนถ่ายแบบอะ หน้านิ่งๆ ไม่รู้จะนิ่งอะไรนักหนา
Q: จุดที่ชอบ?
A: จุดที่ผมชอบของหนังเรื่องนี้คือ “นิสัย” ในเรื่องความรัก ของตัวละคร คือในหนังมีคนที่พูดหรือคิดถึงความรักในมุมต่างๆ ของตัวเอง ซึ่งอันนี้ผมว่าค่อนข้าง”จริง” อย่างเช่น ผมคิดว่าเราทุกคนก็ต้องเคยเจอ “คนอยากมีแฟน” คือบางครั้งไม่ได้ชอบหรอก แต่คิดว่าเขาก็โอเค ไม่ได้แย่อะไรก็จีบๆ คบๆ กันไปก่อนเพราะไม่อยากเป็นโสดอะไรแบบนี้ วันดีคืนดีต้องไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่าก็เลยหมดความสนใจไปก็เลยอยากเลิก แต่บ้างก็บอกตรงๆ บ้างก็เลือกที่จะหายไป บ้างก็ยังมีเยื่อใย บ้างก็โนสนโนแคร์ ก็ว่ากันไป ผมยอมรับว่าในหนังแสดงเรื่องพวกนี้ได้ค่อนข้างหลากหลาย และมีความเป็นไปได้สูง
Q: จุดที่ไม่ชอบ
A: ก็คงเป็นการเล่าเรื่อง หรือการดำเนินเรื่อง แล้วก็ตอนจบ ผมว่าการเล่าเรื่องมันติสไปหน่อย แต่ติสแบบราบเรียบนะ เอื่อยๆ เรื่อยๆ มาก จัดว่าน่าเบื่อเลยแหละ ตอนจบเองก็ไม่เคาะให้ขาดจะทิ้งก็ทิ้ง จะเก็บก็เก็บ กั๊กไปไม่ชอบเลย แถมลงท้ายทั้งเรื่องเหมือนเจอแต่เรื่องที่ “จำใจทิ้ง” ซะเยอะ เลยไม่รู้ว่ามัน “ฮาวทูทิ้ง” ยังไง
อ่อ..อีกเรื่องเป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอในหนังของเต๋อ นั่นก็คือความรับผิดชอบต่อสังคมครับ คือผมเห็นว่าในหนังมีฉากๆ หนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีก็ไม่น่าจะมีผลกับหนังเท่าไหร่ คือไม่มีก็ได้ แต่ในหนังก็ยังมีมา ฉากนั้นก็คือ ฉากที่จีนถ่ายรูปหน้าหนังสือที่ตัวเองชอบออกมา แทนที่จะซื้อหนังสือเล่มนั้น โดยที่พิ้งก็ทักแล้วว่ามันไม่ดีไม่ควรทำ น่าจะซื้อไปเลย แถมชั้นหนังสือตรงนั้นยังมีป้ายห้ามถ่ายรูปอยู่อีกด้วย มันชัดเจนว่า จีน ตั้งใจทำผิด และหนังก็ไม่ได้ให้เธอรับผลที่ไม่ดีแต่อย่างใด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย คือตั้งใจทำผิด แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมฉากนี้ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนไปเลย ไม่มีก็ได้ ก็ยังมีอีก จะหาว่าผมเว่อร์ไปเองก็ได้แต่นี่ถือเป็นการแสดงแบบอย่างที่ไม่ดีให้สังคมได้เห็นโดยไม่จำเป็นแน่นอน…
สรุป
แบบง่ายๆ ก็คือ แฟนหนังพี่เต๋อไปดูเลยครับ คนธรรมดาไปเสียตังค์กับเรื่องอื่นดีกว่า ถ้าอยากหาความบันเทิงใจจากโรงภาพยนตร์แบบปถุชนคนธรรมดา “ทิ้ง” หนังเรื่องนี้ไปได้เลย
ผู้อ่านท่านใดอยากพูดคุยเรื่องหนังเรื่องนี้ เชิญที่คอมเม้นต์ด้านล่างเลยครับ
อ่านรีวิวหนังอื่นๆได้ที่นี่