รีวิว Omniscient ฆาตกรรมล่องหน คนหรือระบบที่ผิดพลาด! (ไม่มีสปอยล์)
Omniscient
สรุป
หนังซีรีส์ไซไฟสเกลเล็กทุนต่ำ แต่ทำได้ดีเกินตัวอย่างน่าพอใจกับเรื่องราวการเจาะระบบแบบมิชชั่นอิมพอสซิเบิลขนาดเล็ก ที่ต้องวางแผน หลอกล่อโปรแกรมที่ถูกวางไว้ว่าสมบูรณ์แบบให้มีช่องโหว่ พร้อมนำเสนอปมจิตวิทยาล้ำๆ จากผลพวงของเทคโนโลยีสอดแนมในเรื่อง ซึ่งชวนให้คิดเป็นระยะๆ ว่าสิ่งนี้ถูกต้องแค่ไหน แต่หนังมีบทที่เล่นง่ายเกินไปหลายจุด จนทำให้ขาดความสมจริงและลดทอนความเข้มข้นของเรื่องราวไปมาก
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- การวางแผนเจาะระบบแบบหนังไซไฟล้ำๆ ในสเกลเล็กที่ออกมาดี
- ปมจิตวิทยาใหม่ๆ กับเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาในเรื่อง
- เทคโนโลยีความสามารถโดรนในเรื่องที่ล้ำแต่ไม่ไกลเกินจริง
- เรื่องราวเดินไว 6 ตอนจบ ตอนละ 40 นาที
Cons
- เคลียร์ปัญหาง่ายจนเกินไปหลายครั้ง
- ปมปัญหาบางอันถูกลืมไปจนจบเรื่อง
- จบแบบมีต่อซีซั่น 2 ที่ตอนท้ายยังไม่น่าติดตามสักเท่าไหร่
Omniscient ฆาตกรรมล่องหน ซีรีส์ Netflix จากบราซิลที่มาเงียบๆ แต่ทำได้ดีเกินคาด ด้วยเรื่องราวแนวไซไฟฆาตกรรมในเมืองแห่งหนึ่ง ที่ทุกคนถูกระบบสอดส่องด้วยโดรนตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อป้องกันการกระทำความผิดทางกฏหมาย แต่แล้วกลับมีคดีฆาตกรรมที่ระบบตรวจจับไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้
หนังมาในพล็อตล้ำแต่ไม่ไกลเกินจริงแนวทางเดียวกับซีรีส์แบล็คมิเรอร์ ที่พุ่งเป้าไปที่ด้านมืดภัยร้ายของเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้มนุษย์ หรืออีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายกันก็คือหนังดังของทอมครู๊ซ Minority Report (หน่วยสกัดอาชญากรรมล่าอนาคต) ที่พล็อตเรื่องคล้ายกันมากในส่วนของบริษัทที่สร้างระบบป้องกันอาชญากรรม ตั้งต้นเป็นผู้หยั่งรู้ล่วงหน้าและหยุดยั้งอาชญากรรมในเมือง แต่แล้วกลับมีคดีฆาตกรรมที่ระบบตรวจจับไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นพล็อตเรื่องแบบเดียวกันเลยเป๊ะๆ (ชื่อหนังก็แปลว่าหยั่งรู้ รอบรู้ ตรัสรู้) แต่จุดแตกต่างของสองเรื่องนี้คงเป็นที่ทุนสร้าง แล้วก็ไอเดียตั้งต้นระบบหยุดยั้งอาชญากรรมที่ไม่เหมือนกัน
ซีรีส์นี้วางเรื่องราวไว้แค่ที่เมืองสมมุติเมืองหนึ่งในอนาคตไม่ไกลนัก มีบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อ Omniscient ที่ตั้งต้นมาจากสตาร์ทอัพนำเสนอระบบป้องกันอาชญากรรมโดยใช้โดรนขนาดจิ๋วเท่าผึ้งตัวหนึ่งติดตามทุกคนในเมืองตั้งแต่เกิด แล้ววิเคราะห์บันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนๆ นั้นตลอดเวลา โดยมี AI.ประมวลผลจากการตรวจจับร่างกายด้วยว่ามีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรมหรือไม่ แล้วเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้รับแบบเรียลไทม์เข้ากับเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งถ้าเกิดอาชญากรรมขึ้นมาก็จะรายงานขึ้นจอไปทั่วเมืองว่ามีคนทำผิดมาตราไหน ทำให้หน่วยตำรวจนักสืบในเมืองถูกลดบทบาทและงบประมาณลงมาเทให้กับบริษัทนี้แทน ซึ่งระบบก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่มีที่ติ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดคดีฆาตกรรมขึ้นกับชายคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานที่บริษัทนี้ และ “นีน่า” ลูกสาวของเขากำลังเข้าฝึกงานเพื่อประเมิณเข้าเป็นพนักงานประจำ บริษัทกลับไม่ยอมรับว่าระบบผิดพลาด และไม่สามารถให้วิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากนโยบายบริษัทที่ต้องป้องกันมนุษย์เข้าถึงข้อมูล หันไปใช้คอมพิวเตอร์ตรวจจับทุกอย่างแทน นั่นทำให้เธอต้องหาทางสืบคดีนี้เพียงลำพัง โดยพยายามเจาะระบบป้องกันของบริษัทเพื่อเข้าถึงข้อมูลสุดยอดนี้ให้ได้
หนังเดินเรื่องไวเปิดมาก็ไม่ต้องท้าวความเล่าเรื่องราวโลกสมมุตินี้มาก โดยปูพื้นผ่านกิจวัตรประจำวันของนางเอกถ่ายทอดให้เห็นความสามารถของระบบป้องกันนี้ไปพร้อมเดินเรื่องไปเรื่อยๆ แล้วก็เปิดฉากคดีฆาตกรรมพ่อของเธอตั้งแต่ 10 นาทีแรกเลย จากนั้นเราจะค่อยๆ ได้เห็นรายละเอียดปลีกย่อยของระบบการทำงานของเทคโนโลยีที่เกี่ยวพันกันทั้งเมือง ซึ่งหนังสร้างความน่าเชื่อถือได้เลยว่าระบบนี้ทำงานได้แบบที่ว่าจริงๆ และประชาชนในเมืองก็ยินยอมพร้อมใจเลือกให้ระบบปกป้อง แม้จะต้องแลกมากับความรู้สึกว่าถูกจับตาดูพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน หนังก็ยังคิดรายละเอียดลึกไปถึงแนวคิดทางจิตวิทยาว่าถ้าเกิดมีระบบแบบนี้ขึ้้นมาจริงๆ ผู้คนในสังคมจะมีมุมมองการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง รวมถึงความรู้สึกผิดหรือการเป็นอาชญากรในยุคนี้มีผลกับจิตใจอย่างไร (ในเรื่องแทบไม่มีคนทำผิดกฏหมายแม้แต่เรื่องเล็กๆ) ซึ่งถือว่าทีมงานทำการบ้านมาดีมาก หลายๆ ประเด็นสามารถต่อยอดไปได้ไกลไม่ต่างอะไรจากที่ซีรีส์แบล็คมิเรอร์ทำไว้เลย
ถึงเรื่องราวจะเป็นคดีฆาตกรรมไร้ร่องรอยก็จริง แต่ก็ไม่ได้เดินเรื่องด้วยการเดินหน้าสืบคดีโดยตรง หนังกลับมาในแนว “มิชชั่นอิมพอสซิเบิล” สเกลเล็ก ซึ่งนางเอกถูกวางตัวไว้ว่าเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งเกินวัย เธอจึงหาทางเจาะระบบป้อมปราการหลายชั้นของบริษัทเธอเอง โดยที่ต้องหลบการกระทำที่จะถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมจากโดรนประจำตัว โดยมีทีมช่วยเหลือนิดหน่อยเป็นคนของหน่วยงานราชการที่เข้ามาสืบคดีนี้ หนังเดินเรื่องด้วยการคิดวางแผนเจาะระบบและหลบหลีกโดรนแทบทั้งเรื่อง ซึ่งสนุกและมีลุ้นเป็นระยะๆ แทบไม่มีช่วงเว้นว่างออกนอกเรื่องเลย แถมยังทำออกมาดูดีในระดับสเกลซีรีส์ แม้ไม่ได้มีฉากแอ็กชั่น แต่ก็มีความน่าติดตามลุ้นไปกับภารกิจลับของนางเอกไปได้จนจบ แถมมีโชว์ฉากสวยๆ เหมือนห้วงอวกาศ (ในภาพปกบทควานี้) แอบล้ำ+ดราม่าซึ้งเล็กๆ กับความสัมพันธ์พ่อลูกในแบบไม่คิดว่าจะนำมาใช้เป็นทางออกในเรื่องด้วย ต้องชมเลยว่าคนเขียนบทเรื่องนี้ผสมผสานหลายอย่างทั้งไซไฟ ดราม่า สืบสวน ได้เกือบจะลงตัวดีทั้งหมด
แต่ถึงโดยรวมหนังจะออกมาดี แต่ว่าหลายจุดในหนังกลับเป็นสิ่งกวนใจเล็กๆ ตลอดเวลา อย่างความสมจริงในการหลบการตรวจจับอาชญากรรมของนาเอก ซึ่งบางครั้งดูแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อว่าวิธีการแค่นี้จะหลอกระบบได้ รวมถึงบางเรื่องที่ถูกทิ้งหายไประหว่างทาง อย่างค่าปรับอาชญากรรมของนางเอกที่ตอนแรกเป็นเรื่องราวที่ต้องหาเงินมาจ่าย แต่หนังเปิดแล้วกลับลืมปิดจุดสำคัญตรงนี้ไป รวมถึงความง่ายในการเจอตัวคนร้ายที่เธอตามหา ซึ่งพอหนังเฉลยกับฝ่าด่านบางจุดง่ายไป นอกจากจะขาดความสมจริงแล้ว ยังทำให้เรื่องดูบีบคั้นในตอนแรกดูเบาลงไปเลย แม้ว่าจุดจบท้ายเรื่องจะดูมีความยิ่งใหญ่ แต่ก็เหมือนทิ้งไว้เรียบๆ ไม่ค่อยน่าติดตามมากนัก ส่วนตัวคิดว่าถ้ายอมปิดปมทั้งหมดจบในซีซั่นแรกเลยอาจจะดีกว่านี้ครับ แต่ยังดีที่หนังก็ปิดปมหลักเรื่องคนร้ายตัวจริงว่าคือใครไว้ในซีซั่นนี้เลยทำให้ไม่ค้างคาใจอะไรถ้าจะไม่ได้ทำซีซั่นต่อไป
ส่วนของนักแสดงแทบทั้งเรื่องเป็นนางเอกที่ออกมาโชว์สกิลไหวพริบด้านเจาะระบบ และส่งผลรบกวนจิตใจของเธอว่ากำลังก่ออาชญากรรมแบบไร้ร่องรอยอยู่เช่นกัน แม้ระบบตรวจจับไม่ได้ ไม่มีใครเห็น แต่มันก็เป็นความผิดอยู่ดี โดยการกระทำของเธอส่งผลกระทบไปยังตัวละครอื่นๆ รอบตัวเธอทุกคน อย่างหัวหน้าผิวสีของนางเอกที่แอบมีใจให้ เพื่อนฝึกงานของนางเอกที่ดูเหมือนจะไม่ได้มีบทอะไร แต่ตอนจบเราจะได้เห็นว่ากลายเป็นตัวละครสำคัญมากในซีซั่นต่อไปเช่นกัน แต่ตัวพี่ชายของนางเอกเองกลับไม่มีสกิลหรือความสามารถเลย นอกจากรับบทหนุ่มตกงานไม่มีอนาคต ก็เลยไม่มีประเด็นอะไรให้น่าติดตาม นอกจากเป็นคนหาเรื่องให้นางเอกปวดหัวเท่านั้น
สรุป Omniscient
หนังซีรีส์ไซไฟสเกลเล็กทุนต่ำ แต่ทำได้ดีเกินตัวอย่างน่าพอใจกับเรื่องราวการเจาะระบบแบบมิชชั่นอิมพอสซิเบิลขนาดเล็ก ที่ต้องวางแผน หลอกล่อโปรแกรมที่ถูกวางไว้ว่าสมบูรณ์แบบให้มีช่องโหว่ พร้อมนำเสนอปมจิตวิทยาล้ำๆ จากผลพวงของเทคโนโลยีสอดแนมในเรื่อง ซึ่งชวนให้คิดเป็นระยะๆ ว่าสิ่งนี้ถูกต้องแค่ไหน แต่หนังมีบทที่เล่นง่ายเกินไปหลายจุด จนทำให้ขาดความสมจริงและลดทอนความเข้มข้นของเรื่องราวไปมาก แล้วก็ยังไม่จบในซีซั่นแรกนี้ แม้จะเคลียร์ว่าคนร้ายเป็นใคร แต่กลับเปิดเรื่องราวใหม่ต่อไปอีกครับ