รีวิว Luna Nera Netflix คำสาปคืนเดือนดับ ซีรีส์ล่าแม่มดของอิตาลี แนวดาร์กแฟนตาซี
Luna Nera
สรุป
นิยามคือ แม่มดโต้กลับ เป็นซีรีส์อิตาลี ที่เล่าเรื่องในยุค ล่าแม่มด จิกกัดสังคมยุโรป คริสตจักร ผสมโรมานซ์แฟนตาซีรักวัยรุ่นแบบโรมิโอและจูเลียต เปิดเรื่องแบบโคตรดาร์กและเรียล แต่ดำเนินเรื่องแบบแฟนตาซีมากขึ้นเรื่อยๆ จบแบบไปต่อซีซันสองได้ น่าเสียดายที่ทิ้งประเด็นวิทยาศาสตร์ไป
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่นดี เพลงประกอบเพราะมาก
- ปมเรื่องฉีกแนวจากเรื่องแนวนี้ เป็นการโต้กลับของแม่มด
- เหมาะสำหรับคนชอบดาร์กแฟนตาซีผสมโรมานซ์วัยรุ่น
Cons
- ทิ้งประเด็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่อุตสาห์เปิดเรื่องไว้อย่างน่าเสียดายมาก
- บทบางอย่างไม่สมูทเท่าไหร่ เข้าใจว่าเพราะตอนน้อย
- พระเอกนางเอกรักกันเร็วมากจนไม่อิน แต่อาจเพราะสไตล์อิตาลีเป็นแนวนี้
Luna Nera Netflix คำสาปคืนเดือนดับ รีวิว สปอยล์ ซีรีส์อิตาลี เล่าเรื่องในยุคล่าแม่มด จิกกัดสังคมยุโรป คริสตจักร ผสมโรมานซ์แฟนตาซีรักวัยรุ่น ฟีลโรมิโอและจูเลียต
เป็นซีรีส์ดาร์กแฟนตาซีปนโรมานซ์ของอิตาลี ที่น่าสนใจมาก และฉายแล้วใน Netflix ครับ มีทั้งหมด 6 ตอนจบในซีซันแรก
Luna Nera Trailer คำสาปคืนเดือนดับ ตัวอย่าง
คำสาปเดือนดับ เรื่องย่อ
ในชุมชนแชร์รา แถบชนบทของอิตาลีในสมัยศตวรรษที่ 17 ยุคสมัยที่การล่าแม่มดยังคงเฟื่องฟู อำนาจของโบสถ์และคริสตจักรยังมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คน อาเด หญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยยายของเธอในการเป็นหมอยาและหมอตำแย ช่วยผู้คนทำคลอด ถูกเรียกตัวไปช่วยทำคลอดให้กับภรรยาของขุนนางประจำเมือง แต่แล้วด้วยเหตุผิดพลาด ทำให้อาเดและยายถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด กองกำลังล่าแม่มดของเมืองจึงเข้าไปจับยายของเธอไปเผา ในขณะที่ตัวของอาเดกลับพบว่า เธอมีพรสวรรค์ลี้ลับ ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้ และเธอก็ได้พบว่า กลุ่มแม่มด หรือเหล่าผู้หญิงที่มีพลังพิเศษ ก็มีอยู่จริงเสียด้วย และเธอคือความหวังของพวกเขาในการลุกขึ้นมาต่อสู้ทวงความยุติธรรมกลับมา
Luna Nera คำสาปคืนเดือนดับ สนุกไหม
เป็นเรื่องที่มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย แต่ถือว่าเป็นซีรีส์ที่มีอนาคต หากพิจารณาว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์ทุนสูงอะไรนัก และยังสามารถทำได้ดีกว่านี้อีก
จุดหนึ่งที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับทีมสร้างของซีรีส์อิตาลีชุดนี้คือ มีผู้กำกับ ทีมเขียนบท ทีมสร้าง เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากสำหรับซีรีส์สัญชาติอิตาลี
โดยซีรีส์เรื่องนี้ได้เลือกจะนำเสนอความพยายามที่จะ “โต้กลับของเหล่าแม่มด” ที่เป็นกลุ่มผู้หญิงที่มักถูกล่ามาตลอดในหน้าประวัติศาสตร์ยุโรป ซึ่งถือว่าฉีกแนวมากจากเรื่องแนวนี้ ที่ส่วนมากจะนำเสนอความโหดร้ายของการล่าแม่มดในยุโรปยุคกลาง หรือไม่ก็เป็นฉากและเซตติ้งประกอบในเรื่องราว นี่จึงเป็นซีรีส์เรื่องแรกที่เราอาจจะเรียกได้ว่ามันคือ ผู้หญิงและแม่มด Strike’s Back
เรื่องนี้ยังจงใจแฝงนัยยะที่สะท้อนสังคมชายเป็นใหญ่ของยุโรป รวมถึงจิกกัดคริสตจักรและโบสถ์ในยุคอดีตที่ใช้พระเจ้าเป็นข้ออ้างในการกดขี่ผู้คนที่เห็นต่างจากพวกตน แล้วยังมีประเด็นการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี การกดขี่เพศชายที่ครอบงำสังคมยุคเก่า และการนำเสนอเรื่องที่ในสังคมโลกยุคโบราณที่เก่าแก่กว่านั้น ผู้หญิงคือผู้รักษาภูมิปัญญาโบราณเก่าแก่ของแทบทุกสังคมเอาไว้
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ นี่เป็นการนำ ภูมิปัญญาใน “วิทยาศาสตร์” ให้เป็นอีกขั้วหนึ่งนอกเหนือจากความขัดแย้งระหว่าง แม่มด vs โบสถ์และผู้คนที่หวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ โดยขั้ววิทยาศาสตร์ ถูกนำเสนอผ่านตัวละคร ปีเอร์โตร ซึ่งเป็นตัวเอกชายในเรื่องนี้ ในฐานะที่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่กรุงโรม แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็เป็นบุตรชายของหัวหน้ากองกำลังล่าแม่มดมอย่างกองกำลังเบนันดาติด้วย นี่จึงเป็นเส้นทางที่เขาต้องเลือกว่า ระหว่างความรู้ในวิทยาศาสตร์ที่เขาได้รับมา กับพื้นเพและครอบครัวของตนเอง เขาจะเลือกเส้นทางไหน
แต่ในมุมของ วิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าในซีซันแรกก็ยังไม่ได้นำเสนอในด้านนี้ออกมาได้ถึงขีดสุดเท่าไรนัก เพราะจำนวนตอนที่มีแค่ 6 ตอน อีกทั้งภาพรวมของเรื่องไม่ได้เน้นมุมนี้เท่ากับการโต้กลับของเหล่าแม่มด และปมปริศนาในเรื่อง ความขัดแย้งและปมดราม่าของกลุ่มแม่มด กับมุมมองจากฝั่งของพวกล่าแม่มดที่ก็มีความเชื่อในแบบของตนเอง ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ผิดในสายตาของคนยุคก่อนจำนวนมากที่ถูกคริสตจักรครอบงำไว้
แล้วที่ซีรีส์เลือกเล่นได้ตลกร้ายอีกอย่างคือ ภูมิปัญญาหรือความรู้ใดๆที่ฝ่ายผู้ชายหรือโบสถ์และบาทหลวงใช้ จะถูกมองว่าเป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้า แต่พอฝั่งผู้หญิงใช้ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เป็นพวกนอกรีตไปเสียอย่างนั้น ตรงนี้ก็อาจสะท้อนภาพความจริงของสังคมยุโรปและตะวันตกยุคเก่า ที่พอมีอะไรก็กล่าวโทษผู้หญิงที่ใช้ภูมิปัญญาโบราณเอาไว้ก่อน
แล้วจุดหนึ่งที่ซีรีส์ทำออกมาได้น่าสนใจ คือความ Contrast ระหว่าง การเล่าเรื่องแบบสมจริง ดิบ ดาร์ก ผสมผสานกับแฟนตาซีที่โคตรจะแฟนตาซีจ๋าแบบสุดๆไปเลยครับ เรียกว่าถ้าขยายสเกลอีกนิดเดียว นี่จะเป็นการตั้งทีมแบบจอมเวทย์แบบแฮรี่พอตเตอร์ในยุคโบราณมาใช้พลังต่อสู้กันแล้ว
มีข้อด้อยอยู่บ้าง ในแง่ที่ว่าการพัฒนาความสัมพันธ์ของ พระเอกและนางอย่าง อาเด และ ปีเอโตร ก็ไปไวมาไวมาก รักกันเร็วสุดๆ หรือนี่อาจเป็นวัฒนธรรมของคนอิตาลียุคเก่าก็ได้ คือพอเห็นไม่กี่ครั้ง ถ้าถูกใจกันแล้วก็ปิ๊งแล้วสปาร์กกันเลย เพราะสังคมยุคเก่าไม่มีเวลาให้จีบกันนานมากนัก วัยรุ่นพออายุถึงวัยหนึ่งก็ต้องออกเรือนแต่งงานกันเลย ซึ่งตรงนี้ตัวเรื่องก็มีความเป็น โรมิโอและจูเลียต เข้ามาผสมด้วย
อีกจุดคือ เรื่องความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่ตอนแรกถูกปูมาอย่างดี เสมือนว่าจะมาเป็นขั้วที่สามที่จะต่อต้านเรื่องการล่าแม่มด แต่ทำไปทำมากลายเป็นว่าเรื่องนี้ถูกทิ้งไปกลางทางเอาเฉยๆอย่างน่าเสียดายมาก
ส่วนปริศนาเรื่องคืนเดือนดับที่เป็นชื่อเรื่องในภาษาอังกฤษว่า Black Moon ก็ไม่ได้โฟกัสอะไรนักหนา เพิ่งจะมาเน้นเอาในตอนจบ แล้วก็คลายปมแบบหักมุม แต่ค่อนข้างจะรีบเร่งเกินไปหน่อย
มีอีกจุดเล็กๆที่ทำได้ดีคือ เพลงประกอบ OST ที่มีเอกลักษณ์ติดหูมากครับ
Luna Nera ตอนจบ สปอยล์
ตอนจบ เป็นการเฉลยปริศนาเรื่องวันคืนเดือนดับ ที่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้เน้นเรื่องนี้เท่าไรนัก
ด้านนางเอกอย่างอาเด มีพัฒนาการของตัวละครไปตามลำดับ แต่หลังจากพบความจริงในตอนสุดท้ายที่ว่าแท้จริงแล้ว คนที่เป็นผู้ถูกเลือก คือน้องของเธอ ในขณะที่ตัวเธอเหมือนเป็นคนที่ถูกกำหนดมาให้ปกป้องน้องของเธอไว้จนกว่าจะถึงเหตุการณ์คืนจันทรุปราคาในเรื่อง ก็ทำให้อาเดซึ่งสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดสินใจละทิ้งกลุ่มแม่มด แล้วเลือกเส้นทางอิสระเป็นของตนเอง ซึ่งก็คงต้องรอดูว่าในซีซันสอง จะเล่าเรื่องราวยังไงต่อ
ส่วนตัวเอกอย่างปีเอโตรที่ตอนแรกเป็นตัวแทนในเรื่องความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก็เลือกที่จะละทิ้งแล้วกลายมาเป็นหัวหน้ากองกำลังล่าแม่มดเองในตอนจบ
สรุปภาพรวมแล้ว เป็นซีรีส์อิตาลีแนวดาร์กแฟนตาซีย้อนยุค ที่มีหลากหลายอารมณ์มาก แต่ก็ไปไม่ค่อยสุดเท่าไร แนวคิดเรื่องเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาในเรื่องก็ใช้ไม่คุ้มนัก แต่ในฝั่งเวทมนต์ยังสามารถขยายเรื่องออกไปได้เยอะมาก รวมถึงฝั่งกองกำลังล่าแม่มดด้วย เรื่องยังมีธีมแบบความรักวัยรุ่นที่ผสมเข้ามา ทำให้ดูย่อยง่ายขึ้น น่าสนใจว่าจะได้มีซีซันสองต่อหรือไม่ แล้วเรื่องจะไปทางไหน
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website
https://www.imdb.com/title/tt8403622/