รีวิว Hunters ทีมล่านาซีโหดแฝงกายในอเมริกา (ไม่มีสปอยล์)
Hunters
สรุป
หนังมีความมันส์ในความดิบเถื่อนกับฉากโหดกันตั้งแต่เปิดเรื่อง แต่อาจจะไม่ได้เน้นหนักไปทางแอ็กชั่นมาก เรื่องราวเป็นแนวสืบสวนตามล่าหาตัวนาซีที่ซ่อนอยู่ในอเมริกา เน้นบทสนทนาเยอะ แล้วก็มีการตัดสลับเล่าเรื่องความโหดร้ายของนาซีแต่ละคนในสมัยสงครามประกอบเรื่องไปเรื่อยๆ จนจบ ซึ่งดูโหดร้ายเกินกว่าหนังนาซีเรื่องอื่นๆ ซะอีกครับ ส่วนโทนเรื่องในปัจจุบันมาในแนวอ้างอิงการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่อง มีความเป็นเรียลไลฟ์ฮีโร่สูง มีการตัดสลับอธิบายเหมือนการ์ตูนเว่อร์ๆ ทำให้เรื่องไม่เครียดจนดิ่งลึกมาก แม้ตัวเรื่องจะเต็มไปด้วยความรุนแรงกับหดหู่ตลอดก็ตาม
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากโหดดิบเถื่อนทั้งฝ่ายนาซีกับนักล่า
- ปมเรื่องราวซับซ้อนก่อนเฉลยเรื่องสุดอึ้ง
- ตัวละครอเมริกันคลั่งนาซีโรคจิตสมบาทบาท
- สมาชิกในทีมล่ามีบทเด่นกันทุกคน
- ทฤษฎีสมคบคิดในเรื่องที่อ้างอิงจากเรื่องจริง
- ได้ดารายอดฝีมืออัลปาชิโนมาเล่นเป็นตัวหลักของเรื่อง
- ฉากย้อนดีตไปสมัยสงครามดูความโหดร้ายของนาซีทำได้สมจริง และโหดร้ายเกินหน้าหนังนาซีหลายเรื่อง
Cons
- บทสนทนาเยอะจนเรื่องดูวนเวียนกับบางประเด็นมากไป
- ประเด็น LGTB ที่ใส่มาไม่ค่อยรู้สึกว่าสำคัญกับเรื่องหลัก
- มีความไม่สมเหตุผลอยู่หลายจุดในเรื่อง
- ซีรีส์มีความยาวแต่ละตอนเยอะมาก (1 ชั่วโมงขึ้นทั้งหมด)
Hunters ซีรีส์ออริจินอลของ Amazon Prime Video เรื่องราวของกลุ่มคนที่ตั้งทีมล่านาซีที่ซ่อนเร้นแฝงกายอยู่ในสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นศาลเตี้ยพิพากษาแสวงหาความยุติธรรมด้วยตัวเอง
ตัวอย่าง Hunters (Amazon Prime Video)
ซีรีส์ที่สร้างโดยอิงจากเรื่องราวจริงบางส่วนของนาซีที่แฝงกายหลบซ่อนตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงราวๆ 30 ปี ที่ทุกคนคิดว่าสงครามกับนาซีจบแล้ว แต่ยิวจำนวนมากที่รอดชีวิตยังขวัญผวากับฝันร้ายในอดีตต่อมาไม่จบสิ้น และเมื่อยิวเหล่านั้นกลับมาพบนาซีที่เคยทรมานตนเองแฝงกายอยู่ดีมีสุขเป็นพลเมืองดีของสหรัฐอมเริกา อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อกฎหมายจัดการไม่ได้ และไม่มีใครเชื่อพวกเขา
เรื่องราวของเด็กหนุ่มวัยรุ่น “โจนาห์ ไฮเดลบาม” ที่ต้องเสียยายครอบครัวคนสุดท้ายไป จากเหตุมือปืนลึกลับบุกเข้ามายิงเธอในบ้าน ก่อนที่เขาจะรู้ว่าฆาตกรรายนี้เป็นนาซีที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในอเมริกา จึงหาทางแก้แค้นด้วยตัวเอง ผ่านความช่วยเหลือของ “ไม่เยอร์ ออฟเฟอร์แมน” (รับบทโดย อัล ปาชิโน) มหาเศรษฐียิวที่ตั้งศาลเตี้ยทำทีมล่านาซีพวกนี้
แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้คิดว่าเป็นการเอาหนังดัง Inglourios Basterds ของเควนติน ทาแรนติโน มาปั้นเป็นซีรีส์ แต่ตัวเรื่องจริงแล้วมีความแตกต่างกันมาก ที่คล้ายๆ ก็คงเป็นแค่พล็อตทีมล่านาซีกับอารมณ์แบดโจ๊กตลกเสียดสีแรงๆ เท่านั้น แต่การเดินเรื่องจริงรวมถึงอารมณ์ต่างๆ กลับให้ความรู้สึกคิดถึง Kick-Ass (เกรียนโคตร มหาประลัย) หนัง Super Hero แบบเรียลไลฟ์ในชีวิตจริงที่วัยรุ่นติดการ์ตูนขี้แพ้คนหนึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้กับวายร้ายในเมือง จนกลายเป็นฮีโร่ขึ้นมาจริงๆ
โดยพระเอก “โจนาห์” เป็นหนุ่มวัยรุ่นที่หมกหมุ่นการ์ตูนแนว Super Hero กับเพื่อนสนิทอีกสองคน ซึ่งสามเกลอนี้มักจะถกกันด้วยเรื่อง Super Hero ในการ์ตูนแบบเรียลๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นแบทแมน) ก่อนที่ตัวพระเอกเองจะต้องมาเจอกับวายร้ายในโลกจริงที่เป็นเหล่านาซีโหดกบดานซ่อนตัวอยู่ หนังเล่าเรื่องราวประหนึ่งคล้ายๆ การกำเนิดฮีโร่ในแบบเรียลๆ ที่เป็นไปได้ โดยบทหัวหน้าทีมนักล่านาซี “ไมเยอร์ ออฟเฟอร์แมน” ที่อัลปาชิโนเล่นก็เป็นเหมือนโปรเฟซเซอร์ X ผสมกับ บรูซ เวย์น มีการเรียกชื่อที่ซ่อนตัวว่าเป็น “ถ้ำค้างคาว” ซึ่งโทนของเรื่องนี้มีความเหมือนหนังแนว Super Hero มาก แต่แทนที่ด้วยตัวละครคนที่มีความสามารถพิเศษที่เป็นไปได้จริงคนละอย่าง อย่างนักปลอมแปลงตัวตนที่เป็นดาราตกอับ ทหารผ่านศึกเวียดนาม นักประดิษฐ์ จอมวางแผน อดีตสายลับเก่า Mi6 อีกทั้งยังมีการอ้างอิงพูดถึงการ์ตูนหลายเรื่องอยู่ตลอดเวลา โดยฝ่ายตัวร้ายก็เป็นนาซีที่หลบซ่อนตัว แล้วก็มีองค์กรร้ายขนาดใหญ่เป็นทฤษฎีสมคบคิดกันใหญ่โต จนเรื่องราวดูเว่อร์มากๆ แม้จะอยู่ในช่วงปี 1977 ที่ยังไม่มีพวกอุปกรณ์ทันสมัยอะไรเลยก็ตาม
แต่ Hunters ก็ไม่ได้เป็นหนังแอ็กชั่นโดยตรง เรื่องราวดำเนินไปแบบแนวสืบสวนวางแผนตามล่าหานาซีแต่ละคนในเรื่องเป็นหลัก ที่กว่าจะสืบสาวถึงตัวเป้งๆ เพื่อยืนยันว่าเป็นนาซีตัวจริงได้ก็หลายชั้นอยู่เหมือนกัน เรื่องราวทำออกมาสนุกน่าติดตามว่าพวกนี้หลบอยู่ในคราบคนปกติแบบไหน โดยระหว่างเรื่องจะมีฉากโหดๆ ทั้งของนาซีในปัจจุบันกับอดีตแทรกเข้ามาให้เห็นว่าแต่ละคนเคยทำอะไรกับยิวไว้บ้าง ซึ่งแต่ละอย่างนี่ชวนช็อคและดูวิปริตเอามากๆ อย่าง “หมากรุกคน” ที่ใช้ยิวเป็นตัวเดินฆ่ากันจริงๆ จนแอบคิดว่าเหมือนกันว่าเคยมีจริงหรือว่าแต่งเติมเพิ่มมา เพราะนาซีในเรื่องนี้โหดวิปริตกว่าเรื่องอื่นที่เคยดูมาทั้งหมดเลย แต่หนังก็มีฉากเอาคืนนาซีโหดๆ สะใจคนดูแลกกัน แล้วก็เป็นคนแก่ทั้งนั้น ทำให้เรื่องดูรุนแรงอาจจะเกินเรต 18+ ไปนิดๆ เสียด้วยซ้ำครับ นอกจากนาซีแล้วในเรื่องยังใส่ตัวละครอเมริกันที่คลั่งนาซีรวมอยู่ด้วย ซึ่งก็เป็นตัวเด่นสำคัญในเรื่องมาก นักแสดงก็เล่นได้โรคจิตน่ากลัวสมบาทบาทสุดๆ บรรยากาศตอนออกมาแต่ละครั้งดูโรคจิตน่ากลัวเกินหน้าพวกนาซีในเรื่องเสียด้วยซ้ำครับ
หนังมีตัวละครหลายตัวในทีม แต่หลักๆ จะเป็นเรื่องราวเจาะลึกถึงจิตใจและการกระทำของพระเอกโจนาห์เป็นหลัก จากเด็กวัยรุ่นแหยๆ บ้าการ์ตูนฮีโร่แต่สู้ใครจริงไม่ได้ อาศัยความแค้นผลักดันตัวเองฝึกสกิลต่อสู้ สืบสวนกับใช้ปืน และก็มีความสามารถถอดรหัสเป็นพรสวรรค์ติดตัวพ่วงมา จนกลายมาเป็นสมาชิกหลักของทีมล่านาซี โดยมีบททดสอบจิตใจเป็นเส้นแบ่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่หมิ่นแหม่อยู่ตลอดเวลา จากการได้เห็นสมาชิกในทีมทรมานฆ่านาซีแบบโหดๆ เอาคืนในแบบที่พวกนี้เคยทำกับยิว โดยอ้างว่าเพื่อให้ความยุติธรรมกับชาวยิวที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 6 ล้านคน หนังเล่นเรื่องประเด็นเส้นแบ่งรบกวนจิตใจของพระเอกตลอดเรื่อง โดยมีตัว “ไมเยอร์ ออฟเฟอร์แมน” ที่อัลปาชิโนเล่นบทเป็นทั้งครูและผู้ปกครองดูแลพระเอก ที่พยายามสอนพระเอกให้เดินทางในทางที่ถูกต้องแบบฮีโร่ที่ต้องกล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ กับอีกทางคือภาพความทรงจำยายที่ตายไป ที่ดูเหมือนไม่อยากให้พระเอกเลือกมาเส้นทางนี้ ซึ่งประเด็นตรงนี้เป็นบทสนทนาวนเวียนย้ำๆ กับการกระทำของพระเอกที่โลเลไปมาอาจจะน่าเบื่อสักนิด แต่ก็ถูกปูมาเพื่อนำไปใช้จบปิดท้ายเรื่องราวที่ชวนอึ้งเอามากๆ ซึ่งถ้าทนตรงนี้ได้ รับรองว่าไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้คุ้มค่าแน่นอนครับ
นอกจากด้านตัวทีมล่ากับนาซีแล้ว หนังใส่ตัวละคร FBI หญิงผิวสีไว้ในเรื่องเป็นตัวกลางของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเรื่องสูง แต่มีจุดที่น่าเบื่อคือการพยายามยัดเรื่อง LGTB ลงไปว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนในยุคสมัยก่อน ที่มีทั้งอันตรายกับการเปิดเผยเรื่อง และการที่สังคมวงกว้างยังไม่ยอมรับ แม้ว่าบทจะมีน้ำหนักและเข้ากับเรื่องการ “เหยียด” ที่นอกเหนือจากเชื้อชาติ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องมีฉากมาเจอแฟนแล้วมีปัญหากันอยู่เรื่อยๆ ทำให้เรื่องราวดูแกว่งออกจากการตามล่านาซีในเรื่องหลักไปพอสมควรครับ
ตัวเรื่องราวอ้างอิงมาจากเหตุการณ์จริงๆ ของค่ายกักกันเอาต์วิชเป็นหลัก กับเรื่องราวการค้นพบนาซีในอเมริกาของจริงที่มีมาเรื่อยๆ ผนวกกับทฤษฎีสมคบคิดที่มีส่วนจริงมาเป็นโครงเรื่องนี้ที่มีความสมจริงอยู่ระดับหนึ่ง แต่ก็มีส่วนแต่งเติมเพิ่มมาจนไม่สมเหตุผลนักกับการไม่รับรู้ถึงแผนการร้ายต่างๆ ของหน่วยงานรัฐที่ดูไม่ใส่ใจเกินจริง ขนาดที่ว่าครอบครัวตำรวจหายไปทั้งบ้านก็ยังดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกัน ซึ่งช่องโหว่ความไม่สมเหตุผลพวกนี้เป็นปัญหาทำให้เรื่องราวดูไม่ค่อยเมคเซนส์ในหลายๆ ครั้ง แต่ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรก็พอมองข้ามไปได้ อีกอย่างคือหนังมีการตัดฉากอธิบายบางประเด็นของเรื่อง อย่างเหตุผลของการเกลียดยิวทำออกมาเป็นเกมโชว์เสียดสีให้ดูเว่อร์ๆ ทำให้พอจะเข้าใจได้ว่าหนังไม่ได้ต้องการความสมจริงอะไรนัก แม้ว่าเรื่องราวจะซีเรียสเครียดจริงจังมากก็ตามที
ซีรีส์จบเรื่องราวซีซั่นแรกได้ค่อนข้างลงตัว แม้จะมีบางอย่างค้างๆ ไว้บ้างนิดหน่อย เพื่อไปซีซั่น 2 ที่เรื่องราวจะใหญ่โตขึ้นไปอีก แล้วก็ดูเหมือนจะไม่จบเอาง่ายๆ ถ้าดูจากตัวร้ายที่มีเพิ่มเข้ามาอีก แต่ก็เป็นการวางโครงเรื่องต่อไปที่น่าจะมันส์กว่าซีซั่นแรก ที่ยังเป็นเหมือนการปูเรื่องจุดเริ่มต้นของพระเอกท่ีเสียเวลาไปเยอะมากเหมือนกันครับ