playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Amazing Stories 5 เรื่องราวซีรีส์จาก ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (อัพเดทครบ 5 ตอนจบ)

  • ตอน 1 The Cellar - 8.5/10
    8.5/10
  • ตอน 2 The Heat - 4/10
    4/10
  • ตอน 3 Dynoman and the Volt! - 6/10
    6/10
  • ตอน 4 Signs of Life - 6/10
    6/10
  • ตอน 5 The Rift - 6.5/10
    6.5/10

สรุป

เรื่องราวตอนแรกสวยงามและอเมซิ่งสมชื่อ สมกับที่เป็นงานสร้างที่ปะชื่อ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ แต่ตอนต่อมาหลังจากนั้นมีความหายนะพังยับ แล้วก็อยู่ในระดับแค่พอดูได้ แต่ไม่ต้องดูก็ได้เพราะธรรมดามากทุกตอนหลังจากตอนแรกครับ

Overall
6.2/10
6.2/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เรื่องราวแฟนตาซีแบบคลาสสิคและทันสมัยไปพร้อมกัน

Cons

  • พล็อตแต่ละตอนค่อนข้างธรรมดามาก
  • หนังสั้นความยาว 52  นาทีทำให้เรื่องราวจบลงไวจนไม่มีจุดพีคให้รู้สึกได้

 

ซีรีส์ Amazing Stories (อเมซิ่งสตอรี่) จาก Apple TV+ รวม 5 เรื่องราวแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายความเป็น ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ อยู่อย่างเต็มเปี่ยม มีอัพเดทอาทิตย์ละตอนทุกวันศุกร์

 Amazing Stories (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง Amazing Stories Apple TV+

The Cellar (ห้องใต้ดิน) 

รีวิวไม่มีสปอยล์จุดหักเหสำคัญในเรื่อง

เรื่องราวตอนแรกสุดคลาสสิคกับการย้อนเวลาพบรักในอดีตของ ‘แซม’ ช่างไม้ที่ประกอบอาชีพรีโนเวทบ้านกับน้องชายที่ฝันอยากมีบ้านหลังใหญ่เป็นของตัวเองสักที ในขณะที่แซมมัวแต่ค้นหาความรักผ่านแอพทินเดอร์ไปวันๆ วันหนึ่งเขาได้งานเข้ามารีโนเวทบ้านเก่าแก่นับร้อยปีหลังหนึ่ง ในระหว่างพายุที่พัดโหมกระหน่ำ แซมพบความมหัศจรรย์ในห้องใต้ดินของที่นี่ ที่ย้อนเวลาเขากลับไปร้อยปีก่อน และได้พบกับ “เอเวอลีน” หญิงสาวผู้ดีที่กำลังเข้าพิธีหมั้นหมายกับชายที่แม่จับคู่ให้อย่างไม่เต็มใจนัก เรื่องราวการต่อสู้เพื่อความรักของแซมจึงเริ่มต้นขึ้นที่นี่…

จะเห็นว่าพล็อตเรื่องเชยมากๆ กับการท่องเวลาพบรักซึ่งมีมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ว่าเรื่องราวเชยๆ คลาสสิคแบบนี้แหละเป็นสไตล์ที่สปีลเบิร์กมักหยิบมาใช้ แล้วก็ร่ายมนต์ลงไปทำให้เรื่องเชยๆ นี้มีเสน่ห์ละเมียดละไมคลาสสิคแต่ทันสมัยไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าในงานนี้เขาจะได้กำกับเอง แต่นั่งแท่นผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งก็คงคุมงานกันทุกเม็ดก่อนปล่อยออกมาแบบปะชื่อเค้าหรากว่าผู้กำกับ Chris Long ในเรื่องซะอีก

หนังเดินเรื่องด้วยเรื่องราวตามสูตรสำเร็จ พระเอกย้อนเวลาเจอนางเอกในช่วงเวลาลำบาก ที่อุปสรรคก็ยังเป็นเรื่องคลุมถุงชน เรื่องเดิมๆ ที่มักหยิบมาใช้กันเป็นพล็อตที่ทำให้พระเอกเห็นใจสาวในยุคก่อนที่ไม่มีอิสระทางเลือกใดๆ ในชีวิตนอกจากแต่งงานเพื่อยกระดับฐานะทรัพย์สมบัติให้กับตระกูล แต่ในจุดที่เชยๆ นี้เองหนังใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาหลายอย่างแบบสำคัญทั้งหมดทุกจุดที่เชื่อมโยงไปเป็นคำตอบในตอนท้ายเรื่องได้อย่างสวยงาม พร้อมโปรดักชั่นงานสร้างที่สมจริงมากๆ เหมือนภาพยนตร์ย้อนยุคดีๆ เรื่องหนึ่งเลย

และหนังไม่ได้มีแค่ช่วงเวลาเดียวในปี คศ.1919 แต่มีการเดินทางไปหลายยุคสมัยกลับไปกลับมาเพื่อสร้างไทม์ไลน์ผูกพันกันตามแบบหนังท่องเวลาทั่วไป แต่ไม่ได้ผูกกันจนงง หนังเล่าแบบเข้าใจง่ายๆ พร้อมกับการเดินทางข้ามเวลาที่ไม่ได้ลำบากอะไรนัก แต่ก็มีความมหัศจรรย์อยู่ในตัวที่คิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้ ทั้งนี้เพื่อให้เรื่องราวถูกโฟกัสให้คนดูได้ลุ้นกับการผจญภัยของพระเอกเป็นหลัก ที่เขาเองตกหลุมรักนางเอกในอดีตแบบหมดใจ (ขนาดโงหัวไม่ขึ้นเลยดีกว่า) ซึ่งก็ออกจะขำๆ กับความเชยง่ายๆ นี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจได้เพราะตอนเริ่มมีการปูมาก่อนแล้วว่าเขาเฝ้าหารักจากทินเดอร์มาเยอะแล้ว และการที่นางเอก “เอเวอลีน” เล่นโดย วิคตอเรีย เปเดร็ตติ (Victoria Pedretti) ที่พึ่งทำให้หลายๆ คนตกหลุมรักเธอจากการเล่นเป็นนางเอกในซีรีส์ YOU ซีซั่น 2  ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเธอมีเสน่ห์ทั้งรูปร่างหน้าตาน้ำเสียงชวนฝันแบบทำให้คนดูตกหลุมรักหวานๆ แบบสาวคลาสสิคได้จริงๆ และมาในเรื่องนี้เธอก็ยังได้โชว์พลังร้องเพลงสดเสียงไพเราะมากๆ พร้อมกับการแสดงที่ออกฉากเมื่อไหร่ จับใจน้ำตาระรื้นรินไปกับความทุกข์ของเธอได้จริงๆ เธอจึงเป็นตัวเลือกที่ส่งพลังให้เรื่องเชยๆ นี้ดูมีพลังออร่าเปล่งประกายขึ้นมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์

หนังมาพร้อมกับบทสรุปจบเรื่องราวได้อย่างสวยงามมาก ทุกปมถูกเคลียร์หมดในตอนท้ายเรื่องแบบเก็บรายละเอียดมาดีมาก จนต้องย้อนกลับไปดูช่วงแรกใหม่อีกครั้งว่าสิ่งที่หนังใส่มาแบบนิดๆ หน่อยๆ นี่แหละคือตัวช่วยเรื่องราวตอนแรกนี้สวยงามมากจริงๆ จนแอบอยากให้เอาไปขยายทำเป็นหนังใหญ่อยู่เหมือนกันครับ จุดเสียของเรื่องตอนแรกนี้คงมีอย่างเดียวคือความเชยของพล็อตกับสูตรสำเร็จเส้นเรื่องราวการพบรักที่ไม่แปลกใหม่อะไรเลย แต่ถ้าเปิดใจดูแบบไม่ต้องสนใจตรงนี้ นี่เป็นหนังที่มีเสน่ห์ชวนฝันจนหลงรักได้ง่ายๆ เลยครับ

คะแนน 8.5


The Heat

รีวิวมีสปอยล์บางส่วน แต่ไม่มีจุดหักเหสำคัญของเรื่อง

ตอนที่ 2 ของอเมซิ่งสตอรี่ เรื่องราวของสองสาววัยรุ่นนักวิ่งที่คนหนึ่งประสบอุบัติเหตุรถชนตายจนกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน และต้องมาสืบคดีหาคนร้ายที่ชนด้วยตนเอง พร้อมกับหาทางช่วยเพื่อนสาวที่จิตใจแตกสลายให้ประสบความสำเร็จเป็นนักกีฬามืออาชีพให้ได้

นี่เป็นตอนที่น่าเบื่อและทำออกมาได้แย่มากเมื่อเทียบกับตอนแรก จนแปลกใจว่าทำไมคุณภาพของงานสร้างกับบทในตอนนี้อ่อนยวบยาบได้ขนาดนี้  ด้วยความที่เรื่องราวไม่ได้แปลกใหม่ไม่พอ ยังจืดชืดและขาดความน่าติดตาม ปมที่ตามหาคนร้ายก็ไม่ไปให้สุด พอมาทางช่วยเพื่อนรักให้กลายเป็นนักวิ่งมืออาชีพก็พาไปได้ครึ่งทาง แล้วก็มายัดเรื่อง LGTB ลงไป จนทำให้ตัวเรื่องไปไม่ถึงไหนสักทาง อีกทั้งนักแสดงก็ขาดเสน่ห์มีความล้นๆ ตลอดเรื่อง แถมการจบแบบพยายามทำให้เรื่องราวแฮปปี้เอนดิ้งง่ายๆ ทำให้เรื่องราวในตอนนี้ไม่มีอะไรที่น่าจดเลยสักนิด แนะนำว่าข้ามผ่านได้เลยไม่ต้องดูครับ

คะแนน 4/10


Dynoman and the Volt!!

รีวิวไม่มีสปอยล์จุดหักเหสำคัญในเรื่อง

ตอนที่ 3 เรื่องราวของคุณปู่ผู้ไม่ยอมเกษียณอายุแม้ขาจะเจ็บหนัก หลังเขาได้รับพลังจากแหวนลึกลับที่มีที่มาจากการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ในวัยเด็ก ซึ่งาเขาต้องหาทางใช้พลังนี้ช่วยสานสัมพันธ์กับหลานชายที่ห่างเหินไปในวันฮาโลวีนที่กำลังมาถึงนี้ให้ได้

 

เนื้อเรื่องแนวซูเปอร์ฮีโร่แบบครีเอทขึ้นมาใหม่ในคราบคุณปู่จอมพลัง ซึ่งเรื่องราวเป็นไปอย่างเบาๆ ออกแนวหนังเด็กที่สุดในกลุ่มของซีรีส์ชุดนี้ แม้ว่าจะพยายามทำให้เรื่องมีปมปัญหาครอบครัว แต่ก็เป็นไปแบบเบาบางเหลือเกินกับการช่วยหลานชายไล่เก็บขนมในงานฮาโลวีน ซึ่งสุดท้ายมีพลิกเรื่องราวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้อินไปกับเรื่องราวสักเท่าไหร่ เพราะพล็อตเรื่องและพลังต่างๆ จากแหวนก็ก็อปซูเปอร์แมน แฟลช มาทั้งนั้นครับ แถมเอฟเฟ็กต์ก็ไม่ได้ดูลงทุนทำดีๆ เลย แค่ระดับหนังทีวีฉายฟรีทั่วไปเท่านั้น เป็นตอนที่ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ ไม่ดีไม่แย่ แค่ธรรมดาเกินไป

คะแนน 6/10 


Signs of Life

รีวิวไม่มีสปอยล์จุดหักเหสำคัญในเรื่อง

ตอนที่ 4 ที่เป็นแนวไซไฟทริลเลอร์ เรื่องของแม่ที่โคม่าแล้วฟื้นกลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่เธอกลับกลายเป็นคนละคน ที่แปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของลูกสาวที่รอแม่มา 6 ปี

 

เนื้อเรื่องมาในแนวทริลเลอร์ระทึกขวัญนิดๆ ตั้งแต่แรก พร้อมกับการเดินเรื่องคุลมเคลือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับคนเป็นแม่ที่จู่ๆ ก็พูดภาษาแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ ไปไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ แต่เรื่องราวไม่ค่อยเปิดเผยอะไรนักมีความอึมครึมต่อเนื่องไปจนเกือบจบ ซึ่งตอนจบเรื่องเกือบจะใหญ่โตแบบพวกแนวทฤษฎีสมคบคิดกับรัฐบาล แต่สิ่งที่เรื่องนี้พลาดไปคือ ความสมเหตุสมผลที่พยายามพลิกเรื่องจากทริลเลอร์มาเป็นดราม่าซึ้งๆ ในตอนจบที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก ซึ่งทั้งเรื่องเสียเวลาไปกับการพยายามทำให้เรื่องอึมครึมมาตลอด ยิ่งทำให้ไม่มีช่วงเวลาปูให้เรื่องเปลี่ยนมาเป็นแนวดราม่าซึ้งๆ ให้คนรู้สึกอินได้เลยแม้แต่น้อย หนังจบแบบไม่เมคเซนส์กับเรื่องราว จนทำให้ที่ทำออกมาลึกลับตลอดเรื่องเกือบพังลงทั้งหมด

คะแนน 6/10


The Rift

รีวิวไม่มีสปอยล์จุดหักเหสำคัญในเรื่อง

ตอนที่ 5 ตอนสุดท้ายของซีรีส์แนวไซไฟเรื่องราวของนักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังรบที่เวียดนามกลับบินมาตกในยุคปัจจุบัน และได้พบเจอกับสองแม่ลูกที่กำลังย้ายบ้านไปอยู่ในที่ใหม่

ตัวหนังเปิดเรื่องมาปุ๊บปั๊บเข้าเรื่องทันทีไม่มีรีรออะไร เป็นตอนที่เดินเรื่องไวทันใจมาก ด้วยพล็อตการข้ามเวลามาอนาคตของนักบินหลงยุค ผ่านรอยแยกประตูมิติบนท้องฟ้า ตัวเรื่องมาในแบบแนวหนัง X-file นิดๆ ถ้าใครเคยดูคือมีหน่วยวานของรัฐบาลตามสืบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว และก็ออกมาตามหาชายลึกลับผู้นี้ ซึ่งก็บังเอิญไปเจอกับสองแม่ลูกที่กำลังมีปัญหากันอยู่พอดี ซึ่งก็เป็นปมดราม่าให้ทั้งสองฝ่ายได้เคลียร์กันสั้นๆ แบบไม่ต้องลุ้นอะไรมากเพราะเรื่องเป็นไปตามสูตรสำเร็จทุกอย่าง ไม่มีการเล่นเรื่องไทม์ไลน์เปลี่ยนอนาคตใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้หนังตอนนี้แทบจะเป็นเส้นตรงแน่ว มีผจญภัยหนีหน่วยงานรัฐบาลพอให้ลุ้นนิดๆ ถือว่าเป็นตอนที่ดีรองจากตอนแรก แต่ก็แย่ตรงที่บทขาดความลึกไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรทั้งสิ้น แถมจบแบบง่ายดายจนแทบไม่มีลุ้นอะไรเลยสักนิด

คะแนน 6.5/10


Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!