รีวิว The Man in the High Castle SS1-4 เมื่อนาซีกับญี่ปุ่นชนะสงครามและจับมือกันครองโลก อะไรจะเกิดขึ้น?
The Man in the High Castle
สรุป
ซีรีส์ที่คงคุณภาพสูงได้ตามแนวทางของเรื่องแทบไม่ตกหล่นเลยในแต่ละซีซั่น เดินเรื่องโดยมีเส้นเรื่องหลักเรื่องโลกคู่ขนานได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเขวออกนอกทาง อารมณ์ของเรื่องจะออกแนวดราม่าผสมแอ็กชั่นบางครั้ง แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ไม่ถึงกับช้ามาก ผสมกับอารมณ์กดดันหดหู่ไปกับความโหดร้ายแบบหนังสงครามนาซีรวมกับญี่ปุ่น มีส่วนผสมของไซไฟอยู่จางๆ ในตอนแรก ก่อนไปเน้นหนักในช่วงหลัง ถ้าใครชอบหนังแนวประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีนาซีกับญี่ปุ่นเป็นตัวหลักกับรายละเอียดโปรดักชั่นคุณภาพสูงก็ไม่ควรพลาดครับ
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- จำลองโลกนาซีกับญี่ปุ่นต่อเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างสมจริงมาก
- งานโปรดักชั่นดีไซน์อลังการสมบูรณ์แบบ
- นางเอกมีเสน่ห์สวยคมโดดเด่นเตะตา
- นักแสดงทุกคนเข้าขั้นคุณภาพลงตัวหมด
- ตัวละครมีมิติลงลึกทุกตัว มีทั้งด้านดีด้านร้ายรวมกัน
- ให้อารมณ์หดหู่ไปกับความโหดร้ายของนาซีกับทหารญี่ปุ่นรวมกัน
- เรื่องราวเต็มไปด้วยการหักหลังลับลวงพรางตลอดเวลา คาดเดายาก
- เรื่องราวไซไฟเจือปนอยู่แบบไม่หวือหวา แต่เหมาะสมเข้ากับยุคสมัย
- หยิบยกเรื่องการเหยียดเชื้อชาติสีผิวจากยุคสมัยนั้นมาครบถ้วน ไม่เว้นแม้แต่อเมริกาที่มีกฏหมายกีดกันคนผิวดำ
Cons
- เดินเรื่องแนวดราม่าเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป แม้จะไม่อืด แต่ก็อาจจะไม่ทันใจคนดูนัก
- แนวไซไฟที่เจือปนอยู่ในช่วง 2 ซีซั่นแรกน้อยฉาก อาจจะทำให้คนดูที่คาดหวังตรงนี้เยอะผิดหวัง (ไปเน้นเอาตอนซีซั่น 3-4)
- ตอนจบไม่มีบทส่งท้ายให้เห็นเรื่องราวแบบเคลียร์ทั้งหมด
- เรื่องโฟกัสแค่ที่อเมริกา เยอรมันกับญี่ปุ่นเป็นหลัก ไม่ค่อยได้เห็นสถานการณ์โลกที่อื่น (แต่มีพูดถึง)
The Man in the High Castle บุรุษเหนือฟ้า ในปราสาทสูง ซีรีส์ของ Amazon Prime Video สร้างจากนิยายระดับรางวัลของ “ฟิลิป เค ดิค” และอำนวยการสร้างโดย “ริดลีย์ สกอตต์” (เบลด รันเนอร์ / Prometheus) และแฟรงก์ สปอตนิตซ์ (The X-File แฟ้มลับคดีพิศวง) ว่าด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์สมมุติ ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดอะไรขึ้น
ตัวอย่าง The Man in the High Castle
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ
ซีรีส์แนวประวัติศาสตร์สมมุติ ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า “What if” มีความหมายว่า “ถ้ามีจุดเปลี่ยนเป็นแบบนั้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” ในกรณีนี้คือ ในปี 1962 โลกที่นาซีชนะสงครามด้วยการหย่อนระเบิดปรมาณูลงที่ วอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาแทนที่ประวัติศาสตร์ปกติในโลกเราที่อเมริกาหย่อนลงที่ นางาซากิ ฮิโรชิม่า ของญี่ปุ่น จนจักรพรรดิญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ ในโลกคู่ขนานที่แตกต่างออกไป หลังอเมริกาแพ้สงครามก็ถูกนาซีเข้าปกครอง ฝั่งตะวันออกเป็นอาณาจักรนาซีไรช์ ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นรัฐแปซิฟิกของญี่ปุ่น มีพื้นที่โซนกลางเป็นเขตไร้การปกครองคั่นไว้อีกที แต่สถานการณ์ในโลกที่อื่นตัวเรื่องไม่ได้ให้เห็น นอกจากเอ่ยถึงประกอบบางช่วง (ญี่ปุ่นยังรบกับจีนอยู่)
เรื่องราวเริ่มที่ Juliana Crain ตัวเอกของเรื่องได้พบกับ “ม้วนหนัง” ที่ฉายภาพ “โลกที่ต่างออกไป” เป็นโลกที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายอักษะ (เยอรมัน ญี่ปุ่น) จากน้องสาวของเธอที่ถูก Kido หัวหน้าหน่วย “เคมเปไต” หน่วยสารวัตรทหารของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในรัฐแปซิฟิกสังหาร เพื่อแย่งชิงหนังม้วนนี้มาจากเธอ และก็ตามหาบุคคลลึกลับที่อยู่เบื้องหลังม้วนหนังในชื่อ The Man in the High Castle หรือ บุรุษเหนือฟ้า ในปราสาทสูง ที่เป็นชื่อเรื่องนี้นั่นเอง และไม่ใช่แค่ฝ่ายญี่ปุ่นที่ตามล่า แต่ฮิตเลอร์เองก็ส่งคนมาตามล่าหาตัวบุรุษลึกลับนี้เช่นกัน ผ่าน John Smith นายทหารอเมริกันที่แปรพักต์ไปเข้ากับนาซีจนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นหัวหน้าหน่วย SS คอยดูแลสอดส่องภัยคุกคามต่างๆ ของอาณาจักรนาซีไรช์ในอเมริกา และหาทางจัดการกับกลุ่มต่อต้านที่ซ่องสุมกำลังกันอยู่หลายที่ในขณะนี้
จุดเด่นของเรื่องนี้คือ การสมมุติประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แตกต่างออกไปได้อย่างสมจริง พร้อมกับการสร้างโลกคู่ขนานที่มีโปรดักชั่นดีไซน์ คอสตูม ทุกอย่างเนี๊ยบ “สมจริงแบบสมมุติ” แบบไร้ที่ติ โดยที่ยังคงมีประวัติศาสตร์ในโลกปกติโผล่มาในรูปแบบของหนังฟุตเทจจากของจริงผสมกัน เป็นแนวหนังประวัติศาสตร์สงครามที่มีส่วนของไซไฟผสมเจือปนอยู่จางๆ (แต่สำคัญ) โดยช่วงแรกเรื่องจะไปเดินไปแบบเรื่อยๆ ค่อยๆ ปูพื้นโลกคู่ขนานนี้ให้คนดูได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้างหลังจากนาซีกับญี่ปุ่นเข้ายึดครองอเมริกา โดยให้น้ำหนักเรื่องราวทั้ง 2 ฝ่ายถือว่าเท่าเทียมกัน มีการสานต่อหน่วย SS กับ เคมเปไต ให้มาอยู่ในอเมริกา และก็ทำหน้าที่คล้ายกัน แต่แนวทางแตกต่างกัน ที่เหมือนกันคือความโหดเหี้ยมที่ยังคงสืบต่อมาจากช่วงสงครามโลกแบบที่เราเคยได้รับรู้มาเช่นเดิม และหนังก็ให้อารมณ์สิ้นหวังแบบโหดร้ายกับตัวละครที่ถูกฝ่ายนาซีกับญี่ปุ่นกระทำตลอดเวลา ไม่ต่างอะไรกับแนวหนังนาซีเข่นฆ่าชาวยิวในค่ายกักกันเรื่องอื่นๆ เลย ภาพที่ออกมาจึงมีความรุนแรงมากตลอดเรื่องไม่เว้นแม้แต่เด็ก รวมถึงมีฟุตเทจนาซีโหดๆ จากโลกปกติรวมด้วย ใครที่ใจไม่แข็งพอหรือไม่ได้ชอบหนังที่มีภาพโหดร้ายหดหู่ก็คงต้องแนะนำให้ข้ามเรื่องนี้ไปครับ
และไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์นาซีกับญี่ปุ่นที่ถูกสมมุติต่อเติมขึ้นมา แต่ตัวเรื่องก็มีส่วนของประวัติศาสตร์ในโลกปกติให้เห็นในแบบเปรียบเทียบว่า จริงๆ แล้วอเมริกาก็มีเรื่องการเข่นฆ่าชาวอินเดียนแดงกับการเหยียดรังเกียจเชื้อชาติอื่น โดยเฉพาะคนผิวดำ ที่ฝังลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาเดียวกันกับในเรื่อง รวมถึงปมปัญหาของแนวคิดการคัดเชื้อชาติบริสุทธิ์ของนาซีที่ผิดธรรมชาติความจริงที่มนุษย์ทุกคนต่างต้องมียีนส์ด้อยอยู่ในตัว ก็ถูกใส่มาเป็นปมขัดแย้งในจิตใจกับตัวละครฝั่งนาซีที่ต้องตกอยู่ในชะตากรรมนี้เองเช่นกัน เรื่องจึงไม่ได้นำเสนอแค่ความโหดร้ายของนาซีหรือญี่ปุ่นเพียงเท่านั้น แต่เป็นการชี้ให้เห็นความผิดพลาดของมนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ มากกว่าจะซ้ำเติมฝ่ายไหนมากขึ้นไปอีก แม้จะเป็นเรื่องสมมุติก็ตาม
จุดเด่นอีกอย่างคือตัวละครในเรื่องนี้แม้จะมีฝักฝ่ายชัดเจน แต่ก็มีการกระทำที่ไม่ได้ตรงไปมาเสมอไป ตัวเรื่องคาดเดาได้ยากกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เพราะตัวละครมีการหักหลังทรยศเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่การวางบทแบบตั้งใจหักมุมคนดูแบบแถๆ ตัวละครมีการปูพื้นมาก่อนให้เห็นเหตุผลรองรับการตัดสินใจที่น่าเชื่อถือได้ทุกครั้ง ทั้งนี้ตัวละครเกือบทุกตัวต่างติดอยู่ในวังวนของความโหดร้ายทารุณ ไม่ได้มีฝ่ายไหนถูกมองว่าดูดีหรือทำถูกต้องเสมอไป แม้ว่าเรื่องจะกำหนดชัดเจนว่านาซีกับญี่ปุ่นเป็นตัวร้ายหลัก แต่หลายครั้งตัวละครหลักหรือรองของทั้งสองฝ่ายนี้ ต่างก็มีเหตุผลของการกระทำให้เราเห็นใจหรือเข้าใจในบทบาทของเขาได้ ในขณะที่กลุ่มต่อต้านหรือแม้แต่ตัวบุรุษเหนือฟ้าเองก็ไม่ได้ทำถูกต้องหรือทำดีเสมอไป ซึ่งนางเอก Juliana Crain (รับบทโดย Alexa Davalos) จะเป็นตัวละครกลางๆ ที่ได้สัมผัสคลุกคลีลงลึกกับทุกฝ่ายในเรื่อง หนังสร้างให้เธอเป็นสาวสวยสะดดุตาใครต่อใคร และมาพร้อมความแกร่งกล้าเอาตัวรอดได้เสมอ แม้ว่าจะต้องพลิกเกมเข้ากับฝ่ายไหนก็ตาม ซึ่งเธอก็รับบทได้อย่างลงตัวมาก เธอเป็นตัวแปรของเรี่องราวทั้งหมดตั้งแต่ซีซั่น 1-4 ร่วมกับตัว John Smith (รับบทโดย Rufus Sewell) ที่แม้จะเป็นอเมริกันนาซีโหดเหี้ยม แต่ก็มีแง่มุมหลายอย่างให้เรารู้สึกเห็นใจและน่าสงสาร ซึ่งเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่สร้างเรื่องราวมิติของตัวละครในมุมของความเป็นมนุษย์ตามแต่สถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ได้อย่างลึกซึ้ง คนดูจะไม่รู้สึกเกลียดชังตัวละครไหนหมดใจได้เลยจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแต่ละคน
ในส่วนของซีซั่นแรกจะค่อยๆ เผยให้เห็นเรื่องราวของม้วนหนังที่เป็นเหมือนพลังปลุกใจให้แก่ทุกคนที่ได้ดูว่ามีโลกที่ต่างออกไป อาณาจักรนาซีที่เกรียงไกรก็ล่มสลายได้เหมือนกัน ในขณะที่ตัวแปร บุรุษเหนือฟ้า ในปราสาทสูง ที่ทุกฝ่ายตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน จะถูกเฉลยออกมาในตอนจบซีซั่นแรก และก็ยังทิ้งประเด็นไซไฟชวนอึ้งไว้นิดๆ ในท้ายซีซั่นแรก ก่อนที่ซีซั่น 2 จะเริ่มเรื่องราวของความขัดแย้งของทุกฝ่ายในเรื่อง มีประเด็นหลักคือ อายุขัยของฮิตเลอร์ที่ใกล้หมดลมหายใจ ที่ทุกฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงความได้เปรียบจากช่วงเวลานี้ โดยไม่มีใครเป็นพันธมิตรถาวรกับใคร เรื่องราวเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สลับซับซ้อนตลอดเวลา ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสองซีซั่นนี้ถ้าใครคาดหวังว่าเรื่องจะมีส่วนของไซไฟมากจากโลกคู่ขนานปกติที่เผยให้เห็นจากม้วนหนัง อาจจะต้องผิดหวังเยอะ เพราะเรื่องมีส่วนของไซไฟเพียงน้อยนิด แต่เน้นเดินเรื่องด้วยแนวดราม่าให้อารมณ์ระทึกกดดันไปกับการเอาตัวรอดของตัวละครหลักในเรื่องที่มีเพิ่มมาเรื่อยๆ นอกจากตัวนางเอก Juliana Crain ที่เป็นตัวหลักของเรื่องราวทั้งหมด
ซีซั่น 3 จะเป็นการเริ่มยุคสมัยใหม่ของนาซีในอเมริกา เรื่องราวเริ่มเข้าสู่แนวไซไฟมากกว่า 2 ซีซั่นแรก มีเทคโนโลยีอากาศยานใหม่ๆ ของนาซีให้เห็น มีทฤษฏีวิทยาศาสตร์ควอนตัมเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าโลกคู่ขนานปกติที่เผยไว้ตอนแรก รวมถึงพลังความสามารถลี้ลับในตัวละครมนุษย์ปกติจะปรากฎขึ้นมาชัดเจนกว่าที่เปิดให้เห็นแค่ผิวๆ ใน 2 ซีซั่นแรก รวมถึงคำตอบของปริศนาที่มาม้วนหนังที่ค้างไว้ ก็จะถูกเฉลยในซีซั่นนี้ทั้งหมด เป็นซีซั่นที่เรียกว่ามีส่วนผสมของแนวดราม่าไซไฟเข้มข้นลงตัวที่สุด และก็เชื่อมต่อไปถึงซีซั่น 4 ที่เป็นบทสรุปของเรื่อง หนังยังคงอารมณ์ไซไฟต่อเนื่องมาพอสมควร แต่ด้วยความที่เฉลยหลายอย่างไปมากแล้ว ในซีซั่นนี้จึงเน้นเรื่องราวเดินหน้าไวไปสู่บทสรุปสุดท้ายเป็นหลัก เป็นซีซั่นที่เดินเรื่องไวที่สุด จนบางทีแอบรวบรัดบางอย่างมากไปเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าจบลงได้สวยงาม แม้จะไม่มีส่วนของบทสรุปสุดท้ายทั้งหมดหลังสงครามก็ตามที (ผู้ชมส่วนใหญ่อยากให้มีต่ออีกสักตอน)
The Man in the High Castle เป็นซีรีส์ที่คงคุณภาพสูงได้ตามแนวทางของเรื่องแทบไม่ตกหล่นเลยในแต่ละซีซั่น เดินเรื่องโดยมีเส้นเรื่องหลักเรื่องโลกคู่ขนานได้ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีเขวออกนอกทาง อารมณ์ของเรื่องจะออกแนวดราม่าผสมแอ็กชั่นบางครั้ง แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ไม่ถึงกับช้ามาก ผสมกับอารมณ์กดดันหดหู่ไปกับความโหดร้ายแบบหนังสงครามนาซี+ญี่ปุ่น มีส่วนผสมของไซไฟอยู่จางๆ ในตอนแรก ก่อนไปเน้นหนักในช่วงหลัง ถ้าใครชอบหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีนาซีกับญี่ปุ่นเป็นตัวหลักกับรายละเอียดโปรดักชั่นคุณภาพสูงก็ไม่ควรพลาดครับ เพราะเรื่องนี้น่าจะเรียกว่าที่สุดของการครีเอทโลกสมมุตินาซีที่สุดแล้วครับ