รีวิว Mystic Pop-up Bar แฟนตาซีสายฮา ดราม่า ซึ้งประทับใจไปกับบาร์เหล้าลับแลในฝัน (อัพเดทจบ EP12)
Mystic Pop-up Bar
สรุป
เป็นซีรีส์น้ำดีแห่งปีที่มีความแตกต่างจากเกาหลีสูตรเดิมๆ แทบทั้งหมด ตัวเรื่องครบรสมีทุกอย่าง เน้นตลกนำฮาท้องคัดท้องแข็งได้จริงๆ กับแทบทุกมุกที่ปล่อยออกมา ตามมาด้วยดราม่าซึ้งๆ มีแง่คิดดีๆ ทุกตอน ตัวละครโอเวอร์แอ็กติ้งน่ารัก มีเรื่องโรแมนติกข้ามภพกับความรักใสๆ ในโลกปัจจุบัน เรื่องราวแฟนตาซีหลายโลก บทผูกปมลึกลับซับซ้อนน่าติดตามตั้งแต่แรก และความสนุกทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกตอน จนไปถึงตอนจบของเรื่องที่ซึ้งอินไปกับมิตรภาพของตัวเอก 3 คนที่ผูกพันกันแน่นแฟ้น และจบได้อย่างน่าประทับใจลงตัว แนะนำเลยว่าห้ามพลาดครับ!
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- มิตรภาพของ 3 ตัวเอกที่ค่อยๆ ลึกซึ้งกินใจขึ้นเรื่อยๆ
- เรื่องราวโลกในฝันถูกวางไว้ให้มีปมรายละเอียดลึกซึ้ง
- มีหลายโลกแฟนตาซีมากกว่าแค่โลกในความฝัน
- มีภารกิจในโลกจริงคู่กับในฝันที่ทีมต้องร่วมมือกัน
- พระเอกไม่หล่อแต่ดูเข้ากับบท ซื่อๆ บ๊องๆ น่ารัก
- นางเอกวอลจูสวยคมแต่งตัวในชุดสวยหลากหลายแบบงามตามาก
- การแสดงแบบโอเว่อร์แอ็กติ้งเอาฮาของทุกตัวละคร
- ความสามารถพิเศษเปิดใจของพระเอกนำพาไปสู่เรื่องตลกได้ทุกครั้ง
- เรื่องถูกเล่าแบบปัจจุบันกับอดีตสมัยโบราณของนางเอกคู่กันเป็นปมปริศนาไปตลอดเรื่อง
- ความรักในเรื่องไม่เลี่ยน ออกแนวโรแมนติกคอมเมดี้ แต่ก็มีเนื้อหาดีๆ แฝงไว้ทุกครั้ง
- ฉากอาหารมีเรื่องราวดีๆ พร้อมชวนหิวไปพร้อมกัน
- CG ฉากแอ็กชั่นทำดีมากระดับหนังโรงเลย
- ดนตรีประกอบที่เข้าจังหวะกับอารมณ์ของเรื่องมาก
Cons
- ตัวเรื่องเล่าแบบข้ามการลงรายละเอียดในบางครั้ง จนดูรวบรัดเรื่องดูกระโดดๆ อยู่บ้าง
- CG ในตอน 1 ดูทุนต่ำคุณภาพแย่จนทำให้เปิดเรื่องมาไม่ประทับใจนัก (แต่หลังจากนั้นไปดีเลย)
- แพทเทิร์นการเล่าเรื่องในแต่ละตอนค่อนข้างเหมือนกันหมด จนเดาทางได้ง่าย แม้รายละเอียดเคสจะต่างกัน
Mystic Pop-up Bar มนต์มายา ณ ร้านลับแล ซีรีส์เกาหลีแนวตลกดราม่าแฟนตาซี เจ้าของร้านอาหารข้างทางกับพนักงานหนุ่มสุดซื่อที่มีความสามารถเข้าไปในความฝันของเหล่าลูกค้า เพื่อช่วยแก้ไขปมปัญหาต่างๆ ในจิตใจของพวกเขา
ตัวอย่าง Mystic Pop-up Bar (มนต์มายา ณ ร้านลับแล) Netflix
หมายเหตุ มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่ใช่จุดหักเหสำคัญของเรื่อง
ซีรีส์เกาหลี Original Netflix เรื่องราวของบาร์ลับแลที่ช่วยเหลือผู้คนที่มีปัญหาในใจโดยการเข้าไปในความฝัน สร้างจากการ์ตูนในเว็บตูนเกาหลีที่ชื่อ Ssanggap Pocha (ชื่อเกาหลี “쌍갑포차”) ดูผ่าน Netflix หลังสามทุ่มทุกวัน พุทธ-พฤหัส ความยาวของซีรีส์ตอนละชั่วโมง 12 ตอนจบ (จบ 25 มิถุนายน 2020)
เรื่องราวตอนแรกเริ่มขึ้นแบบย้อนยุคสมัยโบราณ เล่าย้อนไปถึงที่มาของนางเอก “วอลจู” ในสมัยเด็กที่มีแม่เป็นคนทรง ทำให้ได้รับพลังการเข้าไปในฝันของผู้อื่นติดตัวมา ซึ่งเธอก็ใช้ช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากจนชื่อเสียงเลื่องลือไปถึงในวัง ที่องค์รัชทายาทนอนหลับไม่ตื่น เธอจึงถูกตามตัวไปรักษา แต่กลับพลาดพลั้งบางอย่างไปจนทำให้บ้านของเธอถูกเผา แม่ถูกสังหารในขณะที่ส่งให้เธอหนีไป ด้วยความคับแค้นใจเธอจึงผูกคอตายใต้ต้นไม้ศักสิทธิ์ แต่กลายเป็นว่าเบื้องบนไม่ให้เธอตายสมใจ แต่ให้มาอยู่ในโลกมนุษย์ชดใช้ความผิดที่ไปผูกคอตายที่นั่นด้วยการให้ช่วยผู้คนที่ทุกข์ใจ 1 แสนคน ภายในเวลา 500 ปีให้ได้ และเรื่องก็เดินหน้ามาถึงปัจจุบันที่เธอเปิดธุรกิจบาร์เหล้าข้างทางแบบที่ผลุบๆ โผล่ๆ ให้คนเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง (ที่ตรงกับชื่อเรื่อง ป๊อปอัพบาร์) โดยเหลืออีกแค่ 10 คนก็จะเสร็จสิ้นภารกิจนี้แล้ว แต่ว่างานกลับยากขึ้น มนุษย์สมัยนี้เปิดปากเล่าความทุกข์ในใจได้ยาก จนเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น ไม่งั้นเธอก็ถูกตัดสินให้ตกนรกในทันที แต่แล้วเธอกลับได้พบชายหนุ่มที่ชื่อ “ฮันกังแบ” ผู้มีความสามารถพิเศษเปิดใจผู้คนให้ยอมเล่าเรื่องราวทุกข์ใจได้ด้วยการสัมผัสตัว ซึ่งความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กนี้กลับเป็นเหมือนคำสาปที่ทำให้เขาถูกตัวใครไม่ได้เลย กลายเป็นต้องได้ล่วงรู้ความในใจของอีกฝ่ายทั้งหมด ซึ่งก็มักจะไม่ใช่เรื่องดีซะด้วยสิ
ต้องบอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ในตอน 1 ค่อนข้างแย่ในหลายจุด ทั้ง CG ทุนต่ำ การเข้าไปโลกในฝันแบบดูทุนต่ำ ไม่ลงทุนสร้างฉากแฟนตาซีอะไรให้น่าสนใจเลยสักอย่าง ตัวเรื่องการแสดงออกของตัวละครดูล้นๆ แบบการ์ตูนมากเกินไป เข้าใจว่าทำจากการ์ตูน แต่มันล้นเกินบวก CG ที่ใส่มาให้ดูการ์ตูนเว่อร์ๆ อย่างการยกคนเขวี้ยงลอยไปไกลลิบๆ จนมองไม่เห็นอะไรแบบนี้ ประกอบกับเรื่องเน้นไปในทางโอเวอร์แอ็กติ้งตลอดเวลา ทุกอย่างจึงถูกทำให้เป็นเรื่องตลกไปหมด จนเหมือนเรื่องจะเน้นฮาอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ได้ถึงกับขำมากด้วย ประสบการณ์ที่ใครได้ดูตอนแรกอาจจะไม่ประทับใจอะไร เผลอๆ อาจจะเลิกดูต่อเลยก็ได้
แต่พอถึงตอนที่ 2 อะไรหลายอย่างที่ว่าแย่หายไปเกลี้ยงเกือบหมด แม้เรื่องราวจะมีแพทเทิร์นเดิมๆ อยู่คือ เปิดมาเป็นลูกค้าที่มีปัญหาทุกข์ใจมากินเหล้า พระเอกแตะตัวเพื่อใช้พลังเปิดใจให้ลูกค้าเล่าเรื่องทุกข์ใจออกมา ก่อนหาทางตัดเข้าโลกความฝันของคนนั้น แต่ว่าตัวเรื่องของตอน 2 นั้นกลับไม่ธรรมดา มีดราม่าเคสของเรื่องที่ลึกซึ้งกินใจ ย้อนวัยไปยังอดีตของเจ้าของเรื่อง โลกในฝันก็เปลี่ยนไปยังยุคสมัยนั้น แถมยังมีฉากแฟนตาซีในก้นบึ้งของจิตใจ ที่ทำ CG ออกมาได้ดีเลย รวมถึงเผยความสามารถใหม่ๆ ที่ตัวละครในทีมมีอย่างการเชื่อมเครือข่ายข้อมูลไปยังโลกวิญญาณได้ ต้องบอกเลยว่าจบตอน 2 นี่ดีผิดหูผิดตา แต่ก็ยังระแวงๆ ว่าอาจจะมีกลับไปแย่แบบตอนแรกอีกก็ได้
แต่หลังดูตอน 3 จบแทบจะฟันธงเลยว่านี่คือ “ซีรีส์น้ำดีที่ไม่ควรพลาดแห่งปีเรื่องหนึ่งแน่นอน” ด้วยการผูกเรื่องซับซ้อนข้ามภพ เล่าเรื่องอดีตโบราณผูกพันกับปัจจุบันได้อย่างแนบเนียน ไปพร้อมกับเรื่องแฟนตาซีในโลกยุคปัจจุบัน ที่เป็นเคสช่วยเหลือผู้คนช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิตนางเอก แต่กลับไม่ได้เดินตามสูตรเป๊ะๆ แบบที่คิด มีเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดของตัวละครในสมัยโบราณ ปั่นป่วนจิตใจของนางเอกแบบที่ทำให้ภารกิจไม่ได้อยู่แค่เพียงในฝัน แต่ยังมีการช่วยเหลือในโลกจริงปลอมตัวแบบพวกหนังสายลับเข้ามาอีก รวมถึงสกิลใหม่ๆ ของตัวละครในทีมที่ช่วยให้เรื่องราวแปลกมหัศจรรย์ขึ้นไปอีก และพอดูไปเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของ 3 ตัวเอกหลักจะค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เป็นมิตรภาพที่ทำให้คนดูอินได้ง่ายๆ เลย และกลายเป็นส่วนที่ดีสุดของเรื่องไปเลยครับ
ที่จริงค่อนข้างมั่นใจว่าคนเขียนเรื่องนี้ยืมไอเดียมาจากหนังดัง Inception แน่นอน เพราะพล็อตโครงเรื่องในฝันกับความสามารถต่างๆ ในเรื่องค่อนข้างตรงกับที่หนังใช้มาก่อน อย่างความสามารถออกแบบฝันได้ของนางเอก หรือการเลียนแบบเป็นใครก็ได้ของตัวละครในทีมที่ต้องใช้สกิลพิเศษของทุกคนช่วยกันเจาะลงลึกไปในความฝัน เคลียร์ปมที่ค้างอยู่ในใจ แต่เรื่องก็ไม่ได้ถือว่าลอกเลียนอะไร เพราะปรับมาใช้ในเป็นแนวแฟนตาซีเอเชียได้ดีมาก มีความกลมกล่อมผสานกับความเชื่อที่เราคุ้นเคย ต่างกับ Inception ที่เป็นแนวไซไฟจริงจังไม่มีเรื่องความเชื่อใดๆ มาเกี่ยวข้องเลย จึงทำให้ Mystic Pop-up Bar เรียกว่าเป็นงานรีครีเอทใหม่อย่างแท้จริง
ตัวเรื่องแฟนตาซีนอกจากโลกในฝันแล้ว ยังมีส่วนของฉากตัดสินโทษในนรกกับการเดินทางระหว่างความตายเพิ่มเข้ามา และเรื่องราวก็ค่อยๆ ต่อเติมช่วงเวลาที่หายไปก่อนนางเอกผูกคอตายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งเรียกว่าซับซ้อนแบบคาดเดาไม่ได้เลย เพราะหลังจากนั้นนางเอกต้องมารับภารกิจช่วยคนแสนคนที่หนักหนาสาหัสมาก
ตลกนำหน้า ฮาได้ทุกอย่าง ครอบจักรวาล
จุดขายสุดของเรื่องคือความตลกแบบไม่บันยะบันยังของตัวละครในเรื่อง แบบมีจังหวะนี่เล่นกันทุกนาที เอากันทุกฉาก เชื่อว่าเผลอๆ นักแสดงใส่มาเองด้วย อย่างบทวอลจูเจ้าของร้านนี่แหละตัวดี เจ๊แกเล่นใหญ่ใส่ทุกท่า แม้แต่แค่การเดินก็ยังเอาฮาได้ พวกนี้คืออินเนอร์ของนักแสดงที่บทไม่ได้ลงไว้ แต่เจ๊ขอจัดให้เองแน่นอน แถมบทยังเอื้อให้กับการเล่นตลกได้สารพัด ด้วยความหลากหลายของเคสในแต่ละตอนที่ต่างกัน ก็ทำให้เรื่องมีความแปลกใหม่ใส่เข้ามาให้ฮาๆ ได้ไม่ซ้ำกันเลย อย่างตอน 4 ที่มีฉากไปที่เขตราชการโลกวิญญาณ ก็มีมุกจิกกัดเรื่องระบบราชการแบบใช้คอมหมดแล้ว แถมคนที่มาปฏิวัติระบบทะเบียนราชก็เป็น “สตีฟจ๊อบ” ชัดๆ เรียกว่าฮากันแน่นอนกับฉากนี้ ตัวเรื่องแอบจิกกัดอะไรครอบจักรวาลมาก ถ้าใครตามทันพวกนี้ยิ่งฮาทวีคูณขึ้นไปอีก
รวมมิตรทุกแนวมาไว้ด้วยกัน
ถึงบอกว่าเรื่องนี้ตลกนำหน้า ดราม่าซึ้งๆ ตามมา แต่เอาจริงๆ เรื่องก็ไม่ได้มีแค่ 2 แนวหลักนี้ เพราะแทบจะยำรวมทุกอย่างมาไว้ด้วยกันหมดแล้ว ในส่วนของแนวราชวงศ์ก็มีแฟลชแบ็คกลับมาเรื่อยๆ แล้วก็ออกแนวดราม่ารันทดหดหู่เศร้าๆ กับโศกนาฎกรรมของตัวนางเอกในยุคนั้นกับองค์ชายตอนต้นของเรื่อง พร้อมกับคดีลึกลับว่าใครฆ่าแม่นางเอก และยังมีตัวคนร้ายลึกลับข้ามยุคตามมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
แนวรักโรแมนติกตามสูตรเกาหลีก็ยังมีครบถ้วน ทั้งจากในอดีตของวอลจูกับองค์ชาย รวมถึงความรักในโลกปัจจุบันของตัวละครในเรื่องที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิด แต่ก็มีอุปสรรคจากความที่ตัวเอกของเรื่องทั้งวอลจูและฮันกังแบไม่ได้เป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป เรื่องจึงคาดเดาไม่ได้ว่าอย่างพระเอกจะลบปมด้อยที่มาจากพลังของตัวเองได้ยังไง หรือวอลจูที่จริงๆ แล้วมาโลกแค่ทำภารกิจนี้ให้เสร็จ กลับเริ่มมีความรักขึ้นมาอีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้น? และก็เหมือนองค์ชายจะกลับชาติมาเกิดในยุคนี้ด้วยเหมือนกันด้วยสิ
ความรักในเรื่องนี้ไม่ได้หวานเลี่ยน แต่ออกแนวโรแมนติกชวนขำไปกับความเปิ่นๆ ของพระเอกกับคังยอริน ที่มีความลับบางอย่างติดตัวเธออยู่เช่นกัน เรื่องยังแทรกความรู้สึกโดดเดี่ยวของทั้งคู่ อารมณ์คนโสดเหงามาตลอดชีวิตมาเจอกัน ซึ่งดูแล้วน่ารักมีลุ้นทุกตอนแบบกำลังดี ดูไปยิ้มไปพร้อมกับแทรกแง่มุมความรักในแบบที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไปอีกด้วย อย่างฉากในภาพด้านบนที่ทั้งคู่ดูหนังตลกแต่กลับเศร้าสะเทือนใจเพราะตัวเอกในเรื่องแตะตัวกันไม่ได้เพราะเป็นเกาต์ ซึ่งหนังก็ตั้งใจทำให้คนดูตลก แต่เรากลับได้เห็นแง่มุมสุดรันทดผ่านความคิดของพระเอกกับคังยอรินไปพร้อมกัน
ถึงแนวเรื่องออกจะตลกกับดราม่ามากๆ แต่ตัวเรื่องก็ยังยัดแนวแอ็กชั่นเข้ามาได้อีก ใน EP4 จะเริ่มมีฉากบู๊ชัดเจนปรากฎขึ้นมา ตัวหัวหน้าพ่อครัวผู้ช่วยวอลจูเป็นสายบู๊นักสืบจากโลกวิญญาณ ที่ต้องมาตามล่าวิญญาณร้ายในโลกมนุษย์พร้อมกับทำงานในบาร์ไปพร้อมกัน ซึ่งช่วงกลางเรื่องไปตัวเรื่องจะเริ่มจริงจังกับการใส่บทแอ็กชั่น เป็นแนวปราบผีวิญญาณร้ายร่วมกับการใช้ CG ที่ดีไม่แพ้หนังโรงเลย และฉากแอ็กชั่นยังมีเพิ่มมาเรื่อยๆ ในช่วงท้าย ที่แม้เรื่องจะเป็นแนวตลก แต่ก็ทำส่วนนี้ออกมาได้สนุก มีคิวบู้พอประมาณไม่ขี้เหร่เลย โดยเฉพาะสองตอนก่อนจบก็จัดมาเป็นแนวแอ็กชั่นจริงจังที่ลุ้นสนุก แถมซึ้งอีกต่างหากครับ
ตีแผ่ความฉ้อฉลอยุติธรรมของสังคม
ตัวเคสในแต่ละตอนมักจะมีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งก็คือ การที่ตัวละครเหยื่อในเคสนั้นต้องเจอกับความอยุติธรรมของสังคมในรูปแบบต่างๆ ที่ทั่วโลกก็เจอเหมือนกันหมดไม่ใช่แค่สังคมเกาหลีในเรื่องนี้ ตั้งแต่การกดขี่ข่มเหงของหัวหน้าต่อลูกน้อง การลวนลามในที่ทำงาน ปัญหาไม่มีเส้นสายก็ไม่ได้งานดีๆ ที่ฝันไว้ ความฉ้อฉลของนักการเมืองและผู้มีอำนาจ การแบ่งรังเกียจเหยียดชนชั้นคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่หมดสิ้นไป ซึ่งตัวเรื่องออกแบบแต่ละเคสให้ไปเจอกับสิ่งพวกนี้ แล้วถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี แม้อาจจะไม่ถึงกับบีบหรือขยี้ให้สุดๆ เพราะต้องจบในตอนมีเวลาไม่มากนัก แต่ก็ตัดกระชากอารมณ์คนดูที่กำลังตลกกับเรื่องมาตลอดให้สลดเศร้าใจไปกับเรื่องพวกนี้ได้ทันทีเหมือนกัน
อาหารทุกจานมีเรื่องราวลึกซึ้งพร้อมชวนหิวไปด้วยกัน
ด้วยความที่เรื่องราวเกิดในบาร์ที่มีลูกค้าเข้ามากินอาหาร ในแต่ละเคสจึงมีการบรรจงใส่ขั้นตอนการทำอาหารกับวิธีกินที่ถูกต้องเข้ามาด้วย อาหารแต่ละจานก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องราวของลูกค้าแต่ละคน หลายครั้งเลยที่เป็นความผูกพันลึกซึ้งกับอาหาร กลายเป็นอาหารคือส่วนช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คน แถมหน้าตาอาหารในเรื่องก็น่ากินทุกจาน ระหว่างที่ดูนี่ชวนหิวอยากกินตามได้เลย
ตัวละครสำคัญในเรื่อง
ตัวนักแสดงในเรื่องเอง “วอลจู” ที่แสดงโดย “ฮวังจองอึม” (Hwang Jung Eum) สวยทรงเสน่ห์มากจริงๆ กับชุดด้วยชุดสวยๆ หลากหลายแบบ (อารมณ์คล้าย Hotel Del Luna ที่ IU เล่นเลย) มีสถานะกึ่งคนเป็นคนตายแบบได้รับอภิสิทธิ์ลงมาในโลกตามหน้าที่จากโลกวิญญาณ บวกกับนิสัยห้าวๆ หัวร้อนง่ายที่เธอแสดงออกมาได้ตลกดี แต่บทในตอนเด็กกับตอนโตมีนิสัยต่างกันมาก ซีรีส์จะค่อยๆ เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น
ส่วนตัวพระเอกของเรื่อง “ฮันกังแบ” ที่แสดงโดย “ยุกซองแจ” (Yook Sung Jae) เป็นพระเอกเกาหลีที่ไม่จำเป็นต้องหล่อ แต่กลับดูซื่อๆ บ๊องๆ มีเสน่ห์เข้ากับบทได้เป็นอย่างดี (แอบเหมือนนักแสดงซีรีส์ญี่ปุ่นด้วยดูไม่เหมือนเกาหลีเลย) ซึ่งเขาต้องเล่นเข้าคู่กับ “ฮวังจองอึม” แทบตลอดเวลาเพราะตัวเรื่องทั้งคู่ต้องพึ่งพาสกิลพิเศษของกันและกัน แต่เธอไม่ใช่นางเอกของฮันกังแบหรอกนะ ในตอน 3 จะเปิดตัวละครใหม่ “คังยอริน” ที่เป็นนางเอกตัวจริงคู่กับเขา ที่มีความสามารถต้านทานพลังเปิดใจของพระเอกได้ และบทก็เล่นกับปมด้อยที่พระเอกไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับสาวๆ ที่ไหนเลยสักนิด ในขณะที่คังยอรินเองก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน และก็เป็นสาวแกร่งรักความยุติธรรม บุคลิกมีเสน่ห์มากๆ ต่างคนต่างเห็นข้อดีของกันทีละนิดๆ ออกแนวโรแมนติกเบาๆ น่าติดตาม เรื่องจึงทั้งฮาและน่ารักไปพร้อมกัน
ส่วนผู้ช่วยวอลจูอีกคน “หัวหน้ากวี” ที่แสดงโดย ชอยวอนยอง (Choi Won Young) ก็เล่นเข้าขากับทั้งสองวอลจูกับกังเบได้เป็นอย่างดี เป็นผู้จัดการร้านมีหน้าที่คอยช่วยเหลือวอลจู และก็เปิดเผยว่าเขาคืออดีตตำรวจโลกวิญญาณ ที่ซึ่งมีเครือข่ายไว้ช่วยเหลืองานของบาร์ลับแลแห่งนี้ได้ และก็มีสกิลเลียนแบบเป็นใครก็ได้ ไว้ใช้ในภารกิจของโลกจริงแนวสายลับสืบสวน ที่ยังคงความฮาและเชื่อมต่อกับโลกในฝันที่วอลจูสร้างไว้ตลอดเวลา (เป็นภารกิจคู่กันแบบล้วงความลับในฝันเพื่อมาใช้ในภารกิจโลกจริง) และตัวเขายังมีความลับของชาติก่อนที่เป็นปมสำคัญของเรื่องราวช่วงหลังมาก
ตัวบทสมทบหัวหน้ายมฑูตที่มักมาที่ร้านกินอาหารฟรี คอยช่วยวอลจูและหางานมาให้ แรกๆ อาจจะดูไม่สำคัญกับเรื่องเท่าไหร่ แต่พอครึ่งหลังไปจะเริ่มมีบทสำคัญย้อนหลังไปถึงอดีตชาติภพเก่าของวอลจู ที่เขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ถูกปิดไว้อย่างคาดไม่ถึง…
สปอยล์ปมปริศนาของวอลจูในตอนจบ