playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Babysitter 1-2 ขึ้นแท่นหนังคัลท์ตลกสยองขวัญขึ้นหิ้ง Netflix พร้อมมอบอารมณ์ซึ้งๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ!

  • คะแนนรีวิวภาค 1 - 8.5/10
    8.5/10
  • คะแนนรีวิวภาค 2 - 10/10
    10/10

สรุป

สรุปรีวิวภาคแรก: ตัวหนังครบรสทั้ง ตลก สยอง รัก พร้อม Coming of Age ปิดท้าย แบบถ้าใครถูกใจอะไรแบบนี้ก็น่าจะดูจบแบบโดนใจใช่เลยสุดๆ แต่ถ้าใครรับไม่ได้กับความมั่วซั่วเละเทะของเหตุผลในเรื่องที่มีน้อยนิด อันนี้ก็คงไม่ใช่กลุ่มทาเก็ตของผู้ชมเรื่องนี้ครับ

 

สรุปรีวิวภาคสอง:ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาด ถ้าใครชอบภาคแรกมาดูภาคนี้จะยิ่งหลงรักทั้งเรื่องและตัวละครเข้าไปอีก นี่เป็นหนึ่งในหนัง Netflix ไม่กี่เรื่องที่สดใหม่ในทุกแนวทาง และยังกล้าฉีกทั้งตัวเองและขนบหนังทุนต่ำไปได้แบบสุดๆ ขอให้ 10 เต็มกับความสดใหม่ในทุกแนวทางที่เรื่องมอบให้ โดยที่ยังไม่ทิ้งอารมณ์เดิมๆ ไปเลยแม้แต่น้อยครับ

Overall
9.3/10
9.3/10
Sending
User Review
5 (3 votes)

Pros

  • พี่เลี้ยงสุดสวยเซ็กซี่ที่รับบทโดย Samara Weaving ที่คนดูละสายตาจากเธอไม่ได้เลย แม้บทจะโหดเลือดสาดมากก็ตาม
  • ความแหวกแนวทางของเรื่องจนเป็นหนังคัลท์
  • บทฉลาดมีลูกล่อลูกชนไหวพริบให้เด็กสู้กับผู้ใหญ่ได้อย่างสนุกสนานและโหดเอามากๆ
  • มุกเนิร์ดๆ ที่แทรกในเรื่อง (ถ้าใครตามทันเข้าใจจะสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก)
  • นักแสดงสวยหล่อหน้าตาดีกันแทบทุกคน
  • เรื่องครบรสแถมซึ้งกับมิตรภาพและความรักได้อย่างเหลือเชื่อ
  • นักแสดงยกแก๊งต่อยอดมาภาคสองตามอายุจริงแบบเนียนๆ
  • มีเสียงพากษ์ไทยครบทั้ง 2 ภาค

 

Cons

  • หนังแทบไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
  • มุกตลกหลายอันเป็นแนวเด็กเนิร์ดเฉพาะกลุ่ม
  • ภาคแรกฉากวนเวียนอยู่แต่ในบ้านหลังเดียว 90%

ADBRO

The Babysitter หนังตลกสยองขวัญสุดเฮฮาบันเทิงของ Netflix ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่หลงรักพี่เลี้ยงสาวสุดเซ็กซี่ แต่กลายเป็นว่าเธอคือนางมารร้ายที่บูชาปีศาจ

 The Babysitter (2017) on IMDb

ตัวอย่าง The Babysitter

หนังตลกสยองขวัญที่มีสไตล์แปลกแบบแนวๆ หลายอย่างในตัวเอง จนจัดว่าเป็นหนังคัลท์เลยก็ว่าได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้เหมาะกับผู้ชมทั่วไปนัก เพราะหนังค่อนข้างเฉพาะกลุ่มคนดูอยู่เหมือนกัน ด้วยแนวทางการนำเสนอเรื่องด้วยไอเดียบ้าๆ เนิร์ดๆ ที่หลายคนอาจจะเข้าไม่ถึงมุกตลกพวกนี้ รวมถึงฉากเลือดสาดบ้าบอของเรื่องที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ได้ต้องการความสมเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

หนังภาคแรกเริ่มด้วยเรื่องราวของโคลหนุ่มน้อยวัย 12 ปีที่เป็นลูสเซอร์ของแท้ประจำโรงเรียน วันๆ โดนกลั่นแกล้งจากทั้งเด็กโตและรุ่นเดียวกันตลอดเวลา แต่เขามี Bee พี่เลี้ยงสุดเซ็กซี่ประจำตัวที่พ่อแม่จ้างมาให้ดูแลช่วงที่ตะลอนๆ ไปเที่ยวกันสองคน ซึ่งทั้งโคลกับ Bee เข้าขากันสุดๆ เล่นทุกมุกเนิร์ดๆ รับส่งกันได้หมด จนโคลแอบหลงรักพี่เลี้ยงสาวคนนี้อยู่ลึกๆ ก่อนที่จะพบว่าเบื้องหลังของ Bee เธอเป็นหัวหน้ากลุ่มบูชาปีศาจ ที่มีแก๊งเพื่อนอีก 4 คนที่วิกลจริตไม่แพ้กัน ซึ่งโคลต้องเอาชีวิตรอดจากแก๊งนี้ให้ได้ด้วยความสามารถของเด็กเนิร์ดขี้แพ้ในค่ำคืนแสนวิปริต ภายใต้พิธีกรรมบูชายัญที่ Bee จัดขึ้นมา

ถ้าใครเคยดู Home Alone โดดเดี่ยวผู้น่ารัก มาเรื่องนี้ก็เดินเรื่องไปแบบเดียวกัน คือเกมไล่จับระหว่างแก๊งตัวร้ายกับโคลในบ้านหลังเดียว (มีแวบออกไปนอกบ้านบ้างนิดหน่อย) แต่ต่างกันตรงที่ Home Alone เป็นหนังเด็ก แต่เรื่องนี้คือติดเรต 18+ เล่นกันถึงตายเลือดสาด ซึ่งแก๊งของ Bee แต่ละคนก็มีความจิตเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปเวลาไล่ฆ่า ซึ่งเรื่องก็ให้โคลจัดการแก๊งพวกนี้ได้แบบทั้งฟลุ๊คทั้งวางแผนทีละคน บททำออกมาได้ฉลาดมีลูกล่อลูกชนให้โคลตลอดเวลาแบบเดายากว่าจะจัดการแต่ละคนได้ยังไง โดยมีฉากโหดตายสยองแบบศพไม่สวยที่แฝงไว้ด้วยความฮาไปพร้อมกัน

แต่จุดเด่นสุดของเรื่องคือตัว Bee พี่เลี้ยงสุดเซ็กซี่ที่มีเสน่ห์เหลือล้นของเรื่อง ซึ่งบทนี้แสดงโดย Samara Weaving ที่หลายคนอาจจะคุ้นหน้าเธอจากหนังโรงเรื่อง Ready or Not เกมพร้อมตาย มากกว่าเรื่องนี้ แต่ความเซ็กซี่แบบเลือดสาดก็ไม่แตกต่างกัน จนเหมือนเธอจะกลายเป็นเจ้าแม่หนังคัลท์เลือดสาดไปแล้วก็ได้ ซึ่งบท Bee ในช่วงแรกคือพี่เลี้ยงใจดีที่สนิทกับโคลแบบเข้ากันได้เหมือนคู่ซี้ปึ๊กสุดๆ ซึ่งในเรื่องคือ โคลก็ แอบหลงรัก Bee อยู่ลึกๆ ซึ่งหนังก็สะท้อนช่วงเวลาการเป็นวัยรุ่นสนใจเพศตรงข้าม โดยเฉพาะสาวที่โตกว่า แต่เรื่องไม่ได้ออกมาลามกอะไรทำนองนั้น แต่เป็นแนวความรักแบบเด็กๆ ถึงพี่เลี้ยงคนสวยแสนดี ซึ่งคนดูก็คงเคลิ้มไปกับความสวยน่ารักของ Bee ในช่วงแรกไปเหมือนกัน ก่อนที่หนังจะหักกันดื้อๆ ด้วยการเปลี่ยนโทนเป็นเลือดสาดแบบฉับพลัน จนคนดูต้อง What the Fuck ไปพร้อมกับตัวเอกในเรื่องแน่นอน

และหนังก็ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแนว แต่ยังเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องด้วยการขึ้นตัวอักษรโตๆ ปะใส่ในฉากมาเรื่อยๆ แทนคำอุทานในช่วงเวลาต่างๆ หลายแบบ ซึ่งดูโลวคลาสเป็นหนังเกรดบีแบบที่ตัวผู้กำกับตั้งใจให้เป็นแบบนี้แหละ ซึ่งคนดูที่ปรับตัวไม่ทันก็อาจจะสาปส่งกับแนวทางการเดินเรื่องหลังจากนี้ที่ทุกอย่างแทบไม่ต้องมีเหตุผลมากแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เรื่องตั้งใจให้คนดูหรรษากับการล่า ฆ่า โหด เลือดสาดเละเทะไปหมด และตัว Bee เองก็คือลาสบอสสุดท้ายของเรื่องนี้ที่โคลต้องจบเรื่องด้วยวิธีพิสดารกว่าใคร (สุดๆ มาก) แต่ถึงเรื่องจะหักลำให้ Bee ดูเลวร้ายสุดๆ แต่ตอนท้ายเรื่องก็ยังมีช่วงเวลาดีๆ แบบตอนแรกกลับมา ซึ่งบทหนังฉลาดที่วกกลับถึงเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ในแบบที่เกือบจะเหมือนการสารภาพรักแบบเนิร์ดๆ ที่ทำเอาคนดูอมยิ้มได้เหมือนกัน

ตัวหนังครบรสทั้ง ตลก สยอง รัก พร้อม Coming of Age ปิดท้าย แบบถ้าใครถูกใจอะไรแบบนี้ก็น่าจะดูจบแบบโดนใจใช่เลยสุดๆ แต่ถ้าใครรับไม่ได้กับความมั่วซั่วเละเทะของเหตุผลในเรื่องที่มีน้อยนิด อันนี้ก็คงไม่ใช่กลุ่มทาเก็ตของผู้ชมเรื่องนี้ครับ


รีวิว The Babysitter ภาค 2 Killer Queen (มีสปอยล์บางส่วน แต่ไม่ใช่จุดหักมุมของเรื่อง)

 The Babysitter: Killer Queen (2020) on IMDb

ตัวอย่างภาค 2 Killer Queen

สองปีหลังจากเอาชนะลัทธิซาตานที่นำโดยบีซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของเขา แต่กลับไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เขาเล่าเลย และถูกหาว่าเป็นบ้า โคลก็พยายามลืมเหตุการณ์ในอดีต จนกระทั่งแก๊งของบีกลับมาหาเขาอีกครั้ง

ต้องยกให้เลยว่านี่เป็น 1 ในหนังของ Netflix โดยตรงที่เขียนบทได้ฉลาดมากติดอันดับต้นๆ ของที่ผู้เขียนเคยดูมาเลย คนเขียนบทรู้ว่าคนดูชอบอะไรในภาคแรกก็หยิบจับใส่กลับมาทั้งหมด และต่อยอดมุกเดิมๆ ทั้งความฮา สยองขวัญ และความรัก ของภาคแรกให้ดีขึ้นไปอีก แบบที่เกินคาดมาก ซึ่งมีน้อยเรื่องจริงๆ ที่หนังภาค 2 ทำได้ดีกว่าภาคแรก ในเรื่องนี้เลยหยิบเอางานภาคต่อขึ้นหิ้งอย่าง Terminator 2: Judgment Day มาใช้ทั้งคาราวะและล้อเลียนมุกนี้ไปพร้อมกัน ซึ่ง “แม็คจี” คนเขียนบทและเป็นผู้กำกับด้วยคงมั่นใจในเรื่องนี้มาก ถึงดึงมุกแบบนี้มาใช้และก็ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังคัลท์ที่ขึ้นหิ้งไปอีกเรื่องได้แน่ๆ (ถ้าคนดูไม่อคติกับความบ้าบอแบบไร้ขีดจำกัดของเรื่องนี้ซะก่อนนะ)

เรื่องตัดมาสองปีหลังจากตอนจบภาคแรก และใช้นักแสดงชุดเดิมทั้งหมดที่เติบโตขึ้นตามวัยกันทุกคน ตรงนี้ถ้าดูจากตัวอย่างอาจจะเสียดายความน่ารักแบบเด็กๆ ของเจ้าหนูโคลในภาคแรก แต่พอมาดูจริงกลายเป็นว่าโคลก็ยังเป็นโคล ทั้งบททั้งลีลาการแสดงแบบหล่อขี้แพ้เหมือนเดิมเป๊ะ ซึ่งไม่ใช่แค่โคลที่โตขึ้น นักแสดงที่มีบทบาทในภาคแรกกลับมาทั้งหมดและก็ยังกวนๆ เช่นเดิมแต่เพิ่มความฮาตรงโตแล้วก็ยังแกล้งโคลอยู่เหมือนเดิมนี่แหละ ซึ่งหนังฉลาดมากที่คงคาแรกเตอร์เดิมๆ ไว้หมด ทำให้ผู้ชมรู้สึกแค่ว่านักแสดงโตขึ้น แต่โลกในเรื่องก็ยังเป็นโลกเดิมที่โคลกลับมาเป็นคนไม่มั่นใจจนเรียกว่าไอ้ขี้แพ้ที่น่าเอาใจช่วยได้เช่นเดิม

ไม่ใช่แค่นักแสดงชุดเดิม แต่เรื่องยังเดินไปแบบเดิมเป๊ะๆ เป๊ะขนาดคำว่า What the Fuck ยังขึ้นในเวลาเดียวกันที่ 28 นาทีของเรื่องตามภาคแรกซึ่งผู้กำกับแม็คจีตั้งใจใช้ความเหมือนเป๊ะตรงนี้มาเล่นกับเรื่องราวตามรอยเดิม เพื่อให้อารมณ์ย้อนรอยอดีตกับคนดูแบบที่โคลเจอในภาคนี้ ตอนนี้ จนแทบบ้าอีกครั้ง ซึ่งเหตุผลที่ตัวละครเก่าที่ตายไปกลับมาได้หมดก็ไม่ต้องมีอะไรมาก (ไม่สปอยล์นะเพราะมีในตัวอย่างอยู่แล้ว) แค่พวกนี้กลับจากนรกมาทำที่คั่งค้างไว้ให้สำเร็จ แต่ต้องทำให้สำเร็จก่อนเช้าวันใหม่ ไม่งั้นต้องรอไปอีก 2 ปีถึงกลับมาได้อีกครั้ง

ในเมื่อเรื่องย้อนรอยเดิมขนาดนั้น แต่ทำไมถึงเจ๋งกว่า นั่นก็เพราะการย้อนรอยครั้งนี้ต่อยอดมุกที่ค้างไว้จากคราวก่อนได้แบบสนิท อย่างมุกเตะไข่ไม่โดนของโคล มาคราวนี้โดนแหละ และยังขยายความย้อนหลังไปยังแก๊งบีในภาคแรกว่าแต่ละคนเป็นใครมายังไงที่เรื่องในภาคแรกไม่ได้เล่าไว้ ซึ่งบ้าบอมากพอๆ กับช่วงจิตๆ ของพวกนี้ตอนไล่ล่าโคลเลย

และเรื่องไม่ใช่แค่การย้อนรอยเดิมๆ ผู้กำกับเหมือนอ่านใจคนดูไว้ก่อน รู้ว่าควรจะย้อนไปถึงแค่ไหนถึงพอดี ก่อนที่คนดูอาจจะคิดว่าแค่เอาของเก่ามารีมิกซ์ใหม่ ตัวเรื่องก็เปลี่ยนธีมเรื่องการไล่ล่าของโคลกับแก๊งบีไปอีกครั้ง ด้วยการย้อนรอยความคิดคนดูว่า ตกลงโคลนี่มันฆาตกรโหดมากกว่าพวกแก๊งบีไม่ใช่เหรอ ใครเข้าไปหาเจ้านี่ก็ตายสยองหมด (ซึ่งก็จริง) เรื่องพลิกกลับไม่ล่าโคลกันดื้อๆ แต่เปลี่ยนมาแนวใช้สมองวางแผนให้โคลมาติดกับเอง ทำให้เรื่องขยายขอบเขตตัวเรื่องจากแค่โคลกับแก๊งไปได้ไกลถึงครอบครัวโคลที่ภาคแรกไม่ได้มีบทบาทอะไรนัก และยังสอดคล้องไปกับการปูเรื่องตอนแรกที่ใครๆ ก็คิดว่าโคลบ้าได้อย่างมีเหตุผลกับเรื่องอีกด้วย

ในภาคแรกเชื่อเลยว่าถึงคนที่ชอบเลือดสาดก็คงแอบซึ้งไปกับฉากมิตรภาพของโคลกับบีไปพร้อมกัน  ซึ่งมาภาคนี้เหมือนจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้น เพราะเมลานีสาวน้อยเพื่อนบ้านในภาคแรกก็มีแฟนไปแล้ว กลายเป็นโคลกินแห้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนรักกับโคลเหมือนเดิม และก็เป็นทั้งจุดเริ่มกับจุดจบที่ทำเอาคนดูช็อคเล็กๆ แต่อย่าพึ่งคิดว่าอารมณ์ซึ้งๆ แบบภาคแรกจะหายไป เพราะนี่คือทีเด็ดของเรื่องในภาคนี้ที่สุด เมื่อมีนางเอกคนใหม่เข้ามาแบบมีปริศนาเล็กๆ ให้คนดูชวนสงสัยกันตั้งแต่เปิดตัว แม้ว่าเธออาจจะไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ดูน่ารักแบบเมลานีหรือบี แต่จุดนี้แหละคือตัวเชื่อมไปยังเรื่องราวซึ้งๆ ในภาคนี้ตอนจบได้สุดยอดมากๆ แบบไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องจะทำได้ เพราะที่ผ่านมาทั้งแจกความตลกเลือดสาดมาตลอด แต่พอตอนจบกลายเป็นหนังรักอบอุ่นเรียกน้ำตาได้เลยทีเดียว ขนาดที่ว่าผู้เขียนไม่รู้สึกอยากให้เรื่องนี้จบลงแบบนี้เลย และก็กลายเป็นว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่จบที่ภาค 2 และไม่ใช่การขึ้นไตรภาคหรือตัดจบด้วย ผู้กำกับน่าจะกำลังเมามันส์กับไอเดียพิสดารพันลึกที่ใส่มาในโลกของเรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งรับรองว่ามีต่อแน่จากตอนท้ายที่ทิ้งไว้แบบน่าติดตามว่าเรื่องนี้จะไปได้ถึงไหน และจะยังคงความสดใหม่ในขณะที่ล้อเลียนตัวเองไปพร้อมกันแบบภาคนี้ได้หรือไม่ครับ

ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาด ถ้าใครชอบภาคแรกมาดูภาคนี้จะยิ่งหลงรักทั้งเรื่องและตัวละครเข้าไปอีก นี่เป็นหนึ่งในหนัง Netflix ไม่กี่เรื่องที่สดใหม่ในทุกแนวทาง และยังกล้าฉีกทั้งตัวเองและขนบหนังทุนต่ำไปได้แบบสุดๆ ครับ

สปอยล์ฉากจบ

เรื่องกลายเป็นว่าบีวางแผนให้ทั้งสองคนมาเจอกัน โดยเล่าจุดกำเนิดของหนังสือสัญญาที่บีไปทำไว้กับปีศาจก่อนมาเจอกับพระเอกก็เพื่อช่วยฟีบี้จากอุบัติเหตุในวัยเด็กที่เธอสูญเสียครอบครัวไปหมด แต่ตอนจบภาคแรกที่สนทนากับโคล บีกลับใจได้ และก็หันมาช่วยทั้งคู่เพื่อทำลายคำสาปของซาตาน โดยหลอกให้ทุกคนในแก๊งดื่มเลือดของโคลที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว จนร่างสลายไปทั้งหมด

โคลไม่บริสุทธ์ตอนไหน? ในหนังได้เฉลยไว้ในฉากมิวสิควิดีโอของทั้งคู่แล้วตามภาพด้านล่างครับ (กวนมากๆ)

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!