รีวิว Your Name Engraved Herein (Netflix) ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ หนังรักไต้หวันจากชีวิตจริงของ LGBT
Your Name Engraved Herein
สรุป
หนังรักไต้หวันของชาว LGBT ที่สร้างจากชีวิตจริงของผู้กำกับ ซึ่งอาจจะไปจี้ใจคนดูที่เป็น LGBT ที่โตมาจากยุค 80-90 จนอินไปกับหนังเลยก็ว่าได้
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- บทหนังสะท้อนภาพชีวิตจริงได้น่าเชื่อถือดี
- นักแสดงเล่นได้ดี
- นำเสนอภาพของสังคมไต้หวันยุค 80-90 ได้ลึก
- เป็นหนังเพื่อชาว LGBT โดยเฉพาะ
Cons
- เป็นหนังเฉพาะของชาว LGBT ชายแท้ควรข้าม
- บทช่วงวัยผู้ใหญ่นำเสนอน้อยไปหน่อย
Your Name Engraved Herein รีวิว ชื่อที่สลักไว้ใต้หัวใจ หนังไต้หวัน ดัดแปลงจากเรื่องจริงของผู้กำกับ เสมือนเป็นภาพยนตร์ตัวแทนของการเรียกร้องสิทธิของชาว LGBT ในไต้หวัน กวาดรายได้ไปมากกว่า 100 ล้านเหรียญไต้หวัน และคว้าหลายรางวัลในไต้หวัน โดยเฉพาะรางวัลใหญ่อย่าง The Golden Horse Award 2020
ภาพยนตร์มีความยาว 1 ชั่วโมง 58 นาที ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของ ผู้กำกับ Liu Kuang-Hui สามารถรับชมได้แล้วใน Netflix
ตัวอย่าง Your Name Engraved Herein
Your Name Engraved Herein เรื่องย่อ
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูเหมือนว่าดัดแปลงมาจากชีวิตจริงบางส่วนของ Liu Kuang-Hui (Patrick Liu) ซึ่งได้มาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเป็นเรื่องแรก โดยตัวหนังได้นำเสนอปัญหาด้านทัศนคติทางสังคมของไต้หวันที่ทำให้ชาว LGBT ต้องดิ้นรนต่อสู้และปกปิดตัวเองมานาน เนื่องจากสังคมไต้หวันไม่เปิดรับต่อเพศที่สามเท่าไรนัก รวมถึงนำเสนอประวัติศาสตร์ไต้หวันในยุคปลาย 1980s และต้น 1990s ของสังคมไต้หวันที่คนภายนอกอาจไม่เคยทราบมาก่อนอีกด้วย
เรื่องราวจะเริ่มขึ้น ในไต้หวันในยุคหลังยกเลิกกฎอัยการศึก ในปี 1987 โดยจะเปิดเรื่องมาเป็นการบอกเล่าชีวิตในวัยหนุ่มของ อาฮั่น ที่เล่าเกี่ยวกับตัวเขาและเพื่อนสนิทคือ เบอร์ดี้ ซึ่งพวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำที่เป็นโรงเรียนคริสเตียนชายล้วนมาก่อน โดยอาฮั่นจะเล่าความคิดและความรู้สึกของเขาให้กับอาจารย์สอนดนตรีที่เป็นบาทหลวงในโรงเรียน ซึ่งเรื่องราวจะเผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเบอดี้ที่ต้องปิดซ่อนเอาไว้ในยุคสมัยที่สังคมทั่วไปยังไม่ยอมรับคนข้ามเพศ กระเทย เกย์ LGBT ต่างๆ
ช่วงต้นของเรื่องราวจะแสดงให้เห็นสังคมของ โรงเรียนประจำชายล้วนที่เชื่อได้เลยว่าแม้แต่คนไทยที่โตมาจากยุคนั้นคงรู้สึกเชื่อมโยงไม่มากก็น้อย สำหรับหอพักชายซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด การลงโทษที่รุนแรง การโดดหอ สังคมในหมู่เพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้อง ไปจนถึงการกลั่นแกล้งและการไม่ยอมรับคน LGBT หากถูกรู้เข้า
แต่ถึงแม้ว่าสังคมจะไม่ยอมรับ ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองก็ก่อตัว ลึกซึ้ง และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเบอร์ดี้ก็รู้ตัวดีว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงใช้ชีวิตในสังคมต่อไม่ได้แน่ ในที่สุดเบอร์ดี้ก็เลือกที่จะคบหากับผู้หญิงแทน ส่วนอาฮั่นก็ได้แต่ในสลายในช่วงวัยรุ่นของชีวิต
ถึงอย่างนั้น 30 ปีผ่านไป พวกเขาก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อการเป็น LGBT ได้รับการยอมรับมากขึ้นแล้ว ในแบบที่พวกเขาในยุคก่อนไม่เคยจินตนาการถึง นี่จึงเป็นเรื่องราวของความรักที่ลึกซึ้งระหว่างชายสองคนที่โตมาจากยุค 80 ที่โลกยังไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ
Your Name Engraved Herein รีวิว
ต้องยอมรับเลยว่า หนังเรื่องนี้มีการเล่าเรื่องที่ กระชับ แต่ก็ลุ่มลึกไปในตัว แม้แต่คนดูทั่วไปที่ไม่ใช่ LGBT ก็อาจจะรู้สึกเชื่อมโยงไปกับตัวละครได้ไม่ยาก ดังนั้นสำหรับคนดูที่เป็น LGBT น่าจะยกให้นี่เป็นหนังรักขึ้นหิ้งของพวกเขาไปเลยก็ไม่ยาก
ซึ่งผู้เขียนรีวิวเป็นชายแท้ๆ ทั้งแท่งที่มีภรรยาแล้ว ยังต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นหนังน้ำดีเรื่องหนึ่งที่นำเสนอความสัมพันธ์ของตัวละครได้สมจริงและลุ่มลึกเอามากๆ ครับ
ประเด็นของตัวหนังชัดเจนอย่างมากว่า ต้องการวิพากษ์สังคมไต้หวันโดยเฉพาะในระดับสถาบันโรงเรียนเป็นหลัก เรียกว่าเจาะเข้าถึงแก่นกันเลย ตามด้วยระดับครอบครัว ค่านิยมและทัศนคติในสังคมของไต้หวันเอง ที่ทำให้คนดูได้เห็นว่า กว่าจะมาเป็นไต้หวันที่ได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจดีเยี่ยมและเป็นสังคมประชาธิปไตยนั้น แท้จริงแล้วเมื่อยุค 50-90s สังคมไต้หวันมีความเป็นสังคมกึ่งเผด็จการทหารและเอียงขวาอย่างรุนแรงเอามากๆ และไม่มีที่ว่างให้กับสิ่งที่นอกเหนือจากนั้น
ดังนั้นอย่าว่าแต่เรื่องชายรักชายจะได้รับการยอมรับหรือไม่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้สำหรับสภาพสังคมแบบนี้ หรือถ้าจะว่าตามตรงก็คือกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่รากฐานวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน ล้วนเป็นสังคมที่ค่อนข้างแข็ง และไม่ยอมรับความเป็น LGBT ได้เลย
โดยสิ่งเหล่านี้จะสื่อออกมาทางสองตัวเอกทั้ง อาฮั่น และ เบอร์ดี้ ที่ต่างก็ต้องหลบๆซ่อนๆความสัมพันธ์เอาไว้ ซึ่งเบอร์ดี้ก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงไปเลยด้วยการคบหาผู้หญิงแทน แต่มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวในอนาคตเมื่อชีวิตแต่งงานของเขาก็ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง
ในหนังมีการสื่อประเด็นนี้เอาไว้ที่พอดูแล้ว มันน่าจะสะท้อนใจชาวเกย์ที่โตมาจากยุค 80-90 จำนวนมหาศาลทั่วโลก ที่ต้องแสร้งทำเป็นชายแท้แล้วแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อปดปิกตัวเอง แต่กลายเป็นว่ามันเป็นการฝืนธรรมชาติของพวกเขา ซึ่งสุดท้ายแล้วชีวิตก็ไม่มีความสุขอยู่ดี
แต่ก็อย่างที่ตัวละครในเรื่องพูดไว้ท้ายเรื่อง
“ใครมันจะไปรู้ว่าอีก 30 ปีข้างหน้า โลกจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”
ด้านการแสดง คงต้องยกย่องทีมนักแสดงที่ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะสองตัวเอก ที่แสดงโดย Edward Chen และ Tseng Jing-hua
ส่วนจุดด้อยของหนังก็พอมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะการที่หนังไปให้น้ำหนักกับฉากเข้าบทรักของสองตัวเอกชายในช่วงกลางเรื่องมากเกินไป แล้วละเลยช่วงชีวิตหลังจากเป็นผู้ใหญ่แล้วของทั้งสองคน ซึ่งน่าเสียดายว่าน่าจะนำเสนอชีวิตของพวกเขาหลังจาก Time Skip ไปแล้วมากกว่านี้ โดยเฉพาะฝั่งของเบอร์ดี้ที่แต่งงานไปแล้วล้มเหลวกับชีวิตคู่ เลยทำให้พอดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าหนังมันเรื่อยๆไปหน่อยในตอนท้าย
ภาพรวมแล้ว นี่เป็นหนังรักไต้หวันของชาว LGBT ที่สร้างจากชีวิตจริงของผู้กำกับ ซึ่งอาจจะไปจี้ใจคนดูที่เป็น LGBT ที่โตมาจากยุค 80-90 จนอินไปกับหนังเลยก็ว่าได้
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website