รีวิวซีรีส์ The Wilds ติดเกาะแบบ LOST แต่เป็นเวอร์ชั่นวัยรุ่นสาว Gen Z (ไม่มีสปอยล์)
The Wilds
สรุป
คนที่เบื่อซีรีส์ดราม่าชีวิตเด็กสาววัยรุ่นควรข้ามไปเลย แต่สำหรับคนที่ชอบหรือดูแนวนี้ได้ บวกกับเรื่องลึกลับผสมปนเปมาแบบเรียลๆ เรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีเลย แล้วก็แตกต่างจาก LOST แบบชัดเจน จนเรียกว่าดีที่สุดสำหรับพล็อตแนวนี้หลังจากมี LOST มาเลยก็ว่าได้ครับ แต่ก็มีปัญหาคือการเคลียร์เรื่องราวไม่กระจ่างชัดพอนักเมื่อจบซีซั่นแรก (ประกาศทำต่อซีซั่น 2 แล้ว)
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ดราม่าชีวิตเด็กสาววัยรุ่นที่มีความหลากหลายและลงลึกเข้ากับยุคสมัย Gen Z ที่ทั้งแรงและมีเรื่องเหลวแหลกมาก
- นักแสดงอาจจะไม่ได้มีเสน่ห์ แต่บทลงลึกทำให้ตัวละครมีเสน่ห์น่าติดตาม
- ปมปริศนาที่หยอดทิ้งมาเรื่อยๆ ตลอดทางว่าเหตุการณ์ติดเกาะครั้งนี้คืออะไรกันแน่
- ไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติมาเกี่ยวข้อง แต่เป็นแนวทางการเล่าเรื่องติดเกาะแบบสมจริงเป็นไปได้ในเชิงวิทยาศาสตร์
- เรื่องรักแบบ ญ ญ ทำออกมาได้ดีมาก
Cons
- ดราม่าชีวิตวัยรุ่นต่อตอนกินเวลาถึง 80% ของเรื่องมากกว่าปริศนาเรื่องติดเกาะ แม้จะทำได้น่าติดตาม แต่ก็คงมีคนทนดูเยอะขนาดนี้ไม่ไหวเช่นกัน
- ทีมนักแสดงไม่ได้สวยหรือน่ารักมีเสน่ห์แบบโดดเด่นชัดเจน
- ไม่ได้มีเรื่องตื่นเต้นผจญภัยอะไรบนเกาะให้ได้ลุ้นอะไรนัก
The Wilds ซีรีส์วัยรุ่นพล็อตแนวติดเกาะเอาชีวิตรอดของ Amazon Prime เมื่อสาววัยรุ่น 8 คนตื่นขึ้นมาบนเกาะร้าง โดยความทรงจำช่วงเครื่องบินตกขาดหายไป ต้องเอาชีวิตรอดบนเกาะด้วยสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากเครื่องบินไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกว่า การติดเกาะของพวกเธอเหมือนไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีผู้บงการจัดฉากเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น
ตัวอย่าง The Wilds
ต้องบอกก่อนว่าซีรีส์พล็อตแนวติดเกาะไม่ว่ากี่เรื่องก็ชวนให้คิดถึงซีรีส์ LOST ที่ขึ้นหิ้งในอดีตอยู่เสมอ ซึ่งหลังจาก LOST มาก็มีความพยายามทำตามรอยกันมาตลอด (ไม่เว้นแม้แต่ไทยอย่างเรื่องเคว้ง) ซึ่งนี่เป็นเหมือนปัญหาของพล็อตแนวนี้ที่คนสร้างเองก็กลัวจะซ้ำรอยลอก LOST เลยพยายามทำอะไรใหม่ๆ ในพล็อตเดิมๆ แบบนี้ หรือแม้แต่คนดูเองที่เคยจำภาพ LOST มาก็ต้องพยายามคิดเสมอว่าติดเกาะแล้วจะมีเรื่องเหนือธรรมชาติ มีเรื่องลึกลับนั่นนี่แบบ LOST ไหม จนกลายเป็นความคาดหวังผิดๆ ไป ซึ่งเรื่องนี้เองก็เหมือนจะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง จนทำให้รีวิวจากผู้ชมใน IMDB เสียงแตกกันมากระหว่างห่วยแตกกับถูกใจดีไปเลย แต่กลายเป็นว่า Amazon กลับประกาศให้เรื่องนี้สร้างซีซั่น 2 ได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนที่ฉาย ซึ่งแน่นอนว่าทาง Amazon ต้องวัดผลฟีดแบ็คแล้วถึงมั่นใจประกาศไวขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนว่าตัวซีรีส์เองก็ต้องมีดีพอตัวถึงทำได้เช่นกันครับ
View this post on Instagram
ผู้เขียนเป็นแฟนซีรีส์ LOST และก็ชอบมากจนถึงตอนจบที่หลายๆ คนอาจจะเกลียดไปเลยกับการจบแบบนี้ ซึ่งทำให้การดู The Wilds เองก็เลยมีความคิดเหมือนกันว่าอยากได้แบบ LOST กลับมาดีๆ ในยุคสมัยใหม่ ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า ใครที่ชอบแนวทางดราม่าของ LOST แบบค่อยๆ อินไปกับปูมหลังตัวละคร รับรองเลยว่า The Wilds เองก็มีส่วนนี้ที่ดีพอตัวเลยเหมือนกัน แม้จะใช้พล็อตเครื่องบินตกไปติดเกาะร้างเหมือนกัน แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างออกไปจากพล็อตนี้ตรงที่ กลุ่มตัวละครที่ไปติดเกาะคือ สาววัยรุ่นล้วนๆ และเปิดเรื่องมาพวกเธอเองก็ไม่ได้อยู่บนเกาะแล้ว แต่อยู่ในสถานที่ใหม่แห่งหนึ่งซึ่งไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ไหนในโลก และก็ต้องพบกับการสอบสวนเบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากชายลึกลับ 2 คนที่ดูเหมือนหน่วยงานของรัฐบาลมากกว่าตำรวจ ซึ่งพอเรื่องไม่ได้โฟกัสว่าใครรอด ใครตาย หรือการออกมาจากเกาะยังไง ทำให้เรื่องฉีกออกไปจากพล็อตสูตรสำเร็จที่คุ้นเคย และผู้สร้างก็ตั้งใจสร้างเรื่องนี้ในแบบ “เรียลสตอรี่” ที่มีความเป็นไปได้จริง มากกว่าจะเป็นแนวเหนือธรรมชาติทุกรูปแบบ ซึ่งถ้าใครหวังว่าเรื่องนี้จะมีอะไรแบบนั้นต้องข้ามไปเลยครับ
ตัวเรื่องมีทั้งหมด 10 ตอน ประมาณ 50 นาทีต่อตอน ใช้การเล่าในแต่ละตอนโฟกัสที่ 1 ตัวละครหลักมีทั้งหมด 8 คน (อีกสองตอนเป็นรวมเรื่องของทุกคนหลังจากเล่าครบแล้ว) ให้สัมภาษณ์ย้อนรอยเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปจนถึงอดีตก่อนมาติดเกาะนี้ ซึ่งตัวละครหลักในแต่ละตอนจะมีเรื่องเล่าหลักๆ ผสมกับตัวละครอื่นปะปนมาบ้าง แต่ในตอนจบของทุกคนเราจะได้รับรู้ความลับหรือเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ซ่อนอยู่ของตัวละครนั้นๆ เนื้อหาส่วนนี้ในทุกตอนจะกินเวลาไปถึง 80% ของเรื่อง ซึ่งส่วนนี้เองคือดราม่าชีวิตวัยรุ่นเต็มๆ ของทุกคนที่แตกต่างกัน และก็ส่งผลมาถึงการใช้ชีวิตบนเกาะในสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้ด้วย ซึ่งนี่คือจุดเด่นของเรื่องนี้จริงๆ ที่ ถ้าใครอินชอบแนวชีวิตวัยรุ่นก็จะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แม้อาจจะรู้สึกว่าเรื่องเนือยๆ มีเล่าเรื่อยเปื่อยตามสไตล์วัยรุ่นที่ต้องมีเรื่องความรัก SEX ผู้ชาย การเรียน เป้าหมายในชีวิต ผสมปนเปอยู่ในเรื่อง และก็เป็นเนื้อเรื่องทันสมัยในช่วง Gen Z ที่อาจจะมีคนบางคนเหลวแหลกแบบแรงๆ ดูแล้วทำตัวน่ารำคาญขัดใจคนดู แบบซีรีส์ Euphoria ของ HBO ที่เคยทำออกมาจนดัง แต่เรื่องก็มีอะไรให้น่าติดตามเป็นซีรีส์วัยรุ่นดีๆ เรื่องนึงได้เลย แม้นักแสดงในเรื่องนี้อาจจะไม่ได้สวย น่ารัก มีเสน่ห์แบบเห็นแล้วต้องชอบ ซึ่งคนดูอาจจะขัดใจด้วยที่ตัวละครหลักนำเรื่อง 2 คน คนหนึ่งเป็นสาวอ้วนที่ใช้ทั้งชีวิตดูแลพ่อ แถมอีกคนก็ค่อนข้างกระเซอะกระเซิงเป็นโรคจิตหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความที่แบ็คกราวด์เรื่องถูกปูมาดี ทำให้ความรู้สึกที่ว่าขัดตาในตอนแรกพอดูๆ ไปกลับกลายเป็นนักแสดงชุดนี้ดูเหมาะสมกันดีแล้วกับเรื่อง บางคนถึงขนาดมีแฟนคลับเชียร์กันแล้วจากความรักในเรื่องที่แน่นอนพอเป็นนักแสดงหญิงล้วนก็ไม่พ้นแนวเลสเบี้ยน แต่รับรองเลยว่าเรื่องไม่ได้ดูเลยเถิดไปแบบน่าเกลียด แต่กลับน่ารักและทำให้คนดูเอาใจช่วยความรักที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้แทน
ในส่วน 20% ที่เหลือนอกเหนือจากดราม่าชีวิตวัยรุ่น จุดนี้คือปริศนาของผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ เป็นตัวดึงให้คนดูที่อาจจะเบื่อดราม่าพยายามติดตามต่อไป ด้วยความสงสัยว่า ตกลงพวกนี้ต้องการอะไร ซึ่งเรื่องนี้จะแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ตรงที่มักเป็นเกมเอาตัวรอดหรือแนวผู้บงการสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรื่องนี้กลับตั้งโจทย์ไว้เลยว่า ผู้ควบคุมจะไม่พยายามแทรกแซงใดๆ ทั้งสิ้น และก็พยายามรักษาชีวิตของเด็กวัยรุ่นบนเกาะ และก็มีเหตุผลที่ต้องเป็นเด็กผู้หญิงล้วนๆ เท่านั้น ทำให้เรื่องยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้นไปอีก ซึ่งตัวละครที่อยู่เบื้องหลังอย่าง Gretchen Klein จะค่อยๆ ย้อนเรื่องเล่าที่มาของการนำสาวๆ มาติดเกาะ และก็เดินเรื่องในปัจจุบันระหว่างที่เฝ้าดูพวกเธอ ซึ่งส่วนนี้จะแทรกมาเป็นระยะๆ อาจจะดูน้อยไปในแต่ละตอน แต่เรื่องก็ตรึงความสนใจให้เราติดตามต่อได้เรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้ว่าจะเฉลยออกมาแบบไหนกันแน่
แต่ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือการพยายามลากคนดูไปเรื่อยๆ ให้ดูจนจบ เพื่อรอดูเฉลยนี่แหละครับ เพราะกลายเป็นว่าเมื่อจบซีซั่นกลับเฉลยสิ่งที่คนดูคาดหวังไว้แค่บางส่วน อย่างเหตุผลที่แท้จริงของการมาติดเกาะก็ยังคลุมเครือ แค่พอรู้คร่าวๆ ว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของโลก ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา ปรัชญา หรือการที่ทุกคนถูกช่วยออกจากเกาะไปตอนไหน ตัวเรื่องก็ยังค้างคาหรือกั๊กส่วนนี้ไว้ไปต่อซีซั่น 2 มากไป ทำให้ตอนจบแม้จะรู้สึกอยากดูต่อ แต่ก็เฟลไปกับการเฉลยไม่เคลียร์ในส่วนนี้เหมือนกัน ซึ่งก็อาจจะคล้ายๆ กับ LOST ที่กว่าจะสนุกแบบพอเข้าใจก็ต้องไปซีซั่น 2 ซึ่งก็ต้องให้โอกาสเรื่องนี้พิสูจน์กันอีกสักซีซั่นต่อไปครับ
สรุปโดยรวมแล้ว คนที่เบื่อซีรีส์ดราม่าวัยรุ่นควรข้ามไปเลย แต่สำหรับคนที่ชอบหรือดูแนวนี้ได้ บวกกับเรื่องลึกลับผสมปนเปมาแบบเรียลๆ เรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีเลย แล้วก็แตกต่างจาก LOST แบบชัดเจน จนเรียกว่าดีที่สุดสำหรับพล็อตแนวนี้หลังจากมี LOST มาเลยก็ว่าได้ครับ