รีวิวซีรีส์ American Gods (SEASON 2) หักเหลี่ยมเทพสองสมัย สิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพระเจ้า
American Gods SS2
สรุป
ซีรีส์ชั้นเยี่ยมทั้งเนื้อเรื่อง งานภาพ เสียง และการตัดต่อ พร้อมการแสดงที่สมบทบาท แต่ตกม้าตายที่บทไปเรื่อยจนน่าเบื่อ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- เนื้อเรื่องดี น่าติดตาม น่าสนใจ
- การแสดงของตัวละครทำได้ดี มีเสน่ห์
- งานสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์และตัดต่อเกินมาตรฐานซีรีส์ทั่วไป
- ดนตรีประกอบระดับหนังโรง
- บทพูดที่จิกกัดสังคมโลก และความนุ่มลึกสมกับที่ต่อยอดมาจากวรรณกรรมดีเด่น
Cons
- บทไม่ไปไหนเลย ปูเรื่องของตัวละครบางตัวจนบ่อย แต่ไม่มีความสำคัญกับปมเรื่องมาก
- เนื้อหามีความซับซ้อนในเรื่องความเชื่อของพระเจ้า และความรุนแรงระดับสูง อาจไม่เข้าถึงผู้ชมมากนัก
- ไม่มีทิศทางไปข้างหน้าอย่างชัดเจน เลยไม่มีจุดศูนย์กลางหลักของเรื่องน่าสนใจ
- ตอนสุดท้ายที่ควรจะเล่นใหญ่พอ ๆ กับซีซั่นก่อน กกลับจบแบบดื้อ ๆ ทิ้งเชื้อไปยังซีซั่นสามอีกที มันทำให้ขัดใจพอสมควร สิ่งที่ปูมาตั้งแต่ซีซั่น 1 ก็ยังไม่ถึงจุดตรงนั้นสักที
American Gods อเมริกัน ก็อดส์ ซีรีส์แนวแฟนตาซีดราม่า ดัดแปลงจากวรรณกรรมชื่อเดียวกันของ นีล ไกแมน นักเขียนนวนิยายและการ์ตูนชาวอังกฤษ มีผลงานหนังสือการ์ตูนและผลงานนวนิยายมากมาย เริ่มต้นพัฒนาซีรีส์นำโดยไบรอัน ฟุลเลอร์ นักเขียนและโปรดิวเซอร์ เจ้าของซีรีส์ดังอย่างฮันนิบาล นำแสดงโดย ริคกี้ วิตเทิล, เอียน เอ็มซีเชน, เอมิลี่ บราวนิ่ง, ปาโบล ชไรเบอร์, คริสพิน โกลเวอร์, บรูซ แลงลีย์, Yetide Badaki และ ออร์ลันโด โจนส์ สร้างและฉายทางช่อง Starz เครือข่ายเคเบิลทีวีและดาวเทียมระดับพรีเมียมของอเมริกาที่ Lions Gate Entertainment เป็นเจ้าของ ซึ่งลิขสิทธิ์การฉายอยู่ใน แอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ ในฐานะออริจินัลซีรีส์ของสตรีมมิ่งนี้
เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ปี 2017 (นับตั้งแต่ยุค 13 reason Whys ของเน็ตฟลิกซ์เลยทีเดียว) หลังจากที่ตอนนี้ฉายมาแล้วถึงสองซีซั่นในปี 2019 และผมที่ได้ดูในช่วงเวลาล็อคดาวน์ คำถามที่ผมมีคือทำไมวรรณกรรมเรื่องนี้ที่มีเพียงเล่มเดียว กลับสามารถขยายขอบเขตไปได้ไกลถึงขนาดนี้ เพราะแม้วรรณกรรมจะโด่งดัง ได้รับรางวัลมามากมาย แต่ก็ไม่ได้มีหนังสือภาคต่อออกมาอีกเลยสักเล่ม มีเพียงแค่ตีพิมพ์เวอร์ชั่นใหม่เท่านั้น แถมจากที่อ่านเรื่องย่อเทียบระหว่างเวอร์ชั่นวรรณกรรมกับซีรีส์มันพลิกไปคนละแบบ แถมยังได้นักแสดงชั้นนำมาร่วมแสดงกันอย่างคับคั่งที่ผมพอรู้จักก็คงเป็น เอียน เอ็มซีเชน เจ้าของบทวินสตัน ชายแก่ผู้จัดการโรงแรมที่ทำงานร่วมกับจอห์น วิคมาถึงสามภาค เอมิลี่ บราวน์นิ่ง สาวสวยที่ผมเห็นเธอเล่นหนังกี่เรื่องก็ไม่เคยพลาดที่จะมอบเสน่ห์ให้กับตัวละคร และความกล้าเปลือยโป๊ในการแสดงมาร่วมด้วย ส่วนที่เหลือผมไม่คุ้นหน้า แต่จากที่ดูซีซั่นแรก ทุกคนทำหน้าที่ได้ดีเลยทีเดียว และเนื้อเรื่องที่ค่อย ๆ ปูโลกของมันผ่านแนวการเล่าแบบโร้ดโชว์ผสมดราม่าแฟนตาซี ปมของตัวละคร พร้อมกับใส่ประเด็นจิกกัดสังคมอเมริกาน่าอย่างแสบสันต์และสุดเหวี่ยง หากใครที่ยังไม่ทราบ ผมแนะนำให้ลองไปอ่านรีวิวซีซั่นแรกทางเว็บของเราที่มีคนเขียนไว้ก่อนหน้าได้ ที่นี่
เรื่องย่อของเรื่องนี้ในซีซั่นแรกคือ ชาโดว์ มูน ชายคนหนึ่งที่ชีวิตพลิกผันถูกจับเข้าคุก เมื่อได้ออกมาก็พบว่าตัวเองสูญเสียทุกอย่าง แต่แล้วก็มีชายแก่ปริศนาท่าทางสุขุมแต่ก็ขบขัน อย่างคุณเวนสเดย์ ปรากฏตัวขึ้นและมอบข้อเสนอให้เขาเป็นบอดี้การ์ดตลอดเส้นทาง การเดินทางเพื่อให้ภารกิจบางอย่างสำเร็จ จบลงที่ว่า คุณเวนสเดย์และสหาย แท้จริงคือเทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์และใช้ชีวิตปะปนแบบคนปกติ แต่ก็มีพลังจากความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์ร้องขอและมอบให้ ไม่รวมกับการที่ภรรยาของเขา ลอร่า ดันนอกใจเขาและตายไปด้วยอุบัติเหตุสุดสยองกลับฟื้นคืนชีพมาได้ด้วยบางอย่างและออกตามหาและช่วยเหลือเขาร่วมกับพันธมิตรที่ไม่เต็มใจอย่าง แมด สวีทนีย์ และ ซาริม บทสรุปของซีซั่นนี้คือเทพเจ้ายุคเก่าประกาศที่จะสร้างสงครามกับเทพเจ้ายุคใหม่ที่มีอำนาจเหนือกว่าเพราะสามารถเข้าถึงสังคมโลกาภิวัฒน์ได้ด้วยรูปลักษณ์แบบเทคโนโลยี แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่มากขึ้นเป็นเท่าตัว นี่คือเรื่องราวทั้งหมดคร่าว ๆ ของซีรีส์ชุดนี้ครับ
“หลังจากที่ชาโดว์ได้รับรู้ว่าเจ้านายของเขา คุณเวนสเดย์ คือ โอดิน เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกตำนานที่มนุษย์จะรู้จัก และตั้งใจที่จะทำสงครามกับ คุณเวิลด์ ผู้นำเทพเจ้ายุคใหม่และเหล่าเทพในการปกครอง ชาโดว์พบว่าตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางศึกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ลอร่า ภรรยาที่เคยรักกลับมาหาเขาทำให้เขาสับสนมากขึ้นไปกว่าเดิม บนเส้นด้ายของโชคชะตา ทุกคนต่างมีสิ่งที่ต้องการ แต่สำหรับชาโดว์เขากลับไม่รู้เลย ในขณะเดียวกันเทพเจ้าที่เหลือก็เตรียมที่จะทวงคืนศรัทธาความเชื่อที่เคยสูญเสียไปกับคืนมา แต่แม้พระเจ้าในตำนาน ก็ไม่อาจล่วงรู้อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น และนั่นเองที่จะทำให้พวกเขาต้องการ ชาโดว์ ชายหนุ่มธรรมดาผู้เคยไม่เหลืออะไรเลย เป็นไพ่ที่จะหักเหลี่ยมสงคราม แต่ชาโดว์จะยอมเป็นเงาของพวกเขาตลอดไปจริง ๆ หรือทุกอย่างจะถูกวางแผนไว้หมดแล้ว”
เทพเจ้าสายปั่น นี่มันซีซั่นสองแล้วนะ
ให้เทียบจากซีซั่นแรก ยังคงมีประเด็นไม่ได้ต่างกันมากในเรื่องการทวงคืนศรัทธาความเชื่อจากมนุษย์ การเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ในอเมริกา และโชว์วัฒนธรรมของคนในพื้นที่ แต่ที่เพิ่มเติมคือความเล่นใหญ่ ความแฟนตาซีที่มีมากขึ้นแต่ก็ยังจับต้องได้ การขยายขอบเขตเรื่องราวของตัวละครที่มีบทบาทออกมาให้เห็นกันแบบชัด ๆ โดยแต่ละตอนจะสะท้อนผ่านอดีตหรือปมที่เกี่ยวข้อง อาจจะไม่ใช่ตอนของคนนั้นคนเดียว แต่จะเป็นตอนที่ตัวละครนั้นโดดเด่นมาก ๆ ตัวเอกไม่ได้เดินเรื่อง แต่ยังมีตัวละครอื่น ๆ เดินไปข้างหน้าในอีกเส้นทางของเขา ไหนจะตัวละครใหม่ที่โผล่มาในซีซั่นที่โผล่มาจิกกัดสังคม นำเสนอความหลากหลายของสังคม
แม้จะเข้าสู่ซีซั่นสอง แต่เนื้อเรื่องกลับเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องที่เนือย น่าเบื่อและแทบไม่ไปไหน โดยเฉพาะช่วงท้ายที่เหมือนไม่ใช่บทสรุปของซีซั่น เข้าใจแหละว่ามันต้องปูไปยังซีซั่นสาม แต่มันทำให้องค์ประกอบที่ควรจะพีคตามที่ปูมากว่าเจ็ดตอน วนเวียนอยู่กับตัวละครต่าง ๆ ปั่นกันไปมา ไปหาคนนั้น แซะกันไปมา ไม่ได้ก่อสงครามสักที กลายเป็นว่าพอจะเข้าศึกก็ดันจบไปซะดื้อ ๆ ถามว่ามันดูสนุกมั้ย ควรมีเวลาเตรียมไว้เยอะ ๆ เพราะคุณดูสามตอน คุณอาจจะอยากพักก่อน แล้วค่อยกลับมาดูก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมันก็จบในแต่ละตอนแบบงง ๆ อยู่แล้ว แต่เสน่ห์ของมันก็คือตัวละครทั้งมนุษย์และเทพเจ้านี่แหละ มันลุ่มลึกและดึงดูดให้เราอยากค้นหาไปเรื่อย ๆ เมื่อดูแบบตั้งใจดี ๆ แต่มันก็ยากนะกว่าจะทำได้ต้องผ่านไป 4 ตอนเลยทีเดียว
พระเจ้ากับมนุษย์ พึ่งพาอาศัยกัน
ใครจะรู้ได้ว่าพระเจ้าต้องการอะไร พระเจ้าเองก็อาจจะไม่รู้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องการมักต้องใช้เวลาในการค้นหาเหมือนกับตัวละคร มันถูกสะท้อนออกมาจากปมที่เคยทำผิดพลาด ความรู้สึกผิดที่อยากแก้ไข การอยากกลับมาเริ่มต้นใหม่ หรือแม้แต่ การมองหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง พระเจ้าไม่ต่างกับมนุษย์ แม้แต่ในเรื่องความรู้สึก พวกเขาก็ยังมีความสุข มีความเจ็บปวด มีกิเลส มีราคะ มีความรัก มีความเกลียดชัง และไม่ได้เป็นอมตะจากความตาย พระเจ้าแบบไหน ความเชื่อแบบใดที่มนุษย์เคยเชื่อ อาจไม่ได้เป็นแบบที่คิด เหมือนที่พวกเขาเลือกที่จะปรับตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาในโลก หรือแม้แต่การกลายสภาพเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ชื่นชมและตอบสนองพวกเขาได้ พวกเขาก็ได้รับการตอบสนองจากมนุษย์ไม่ต่างกัน มันอาจจะเป็นผลประโยชน์ที่มีไปมาระหว่างสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจ กับ สิ่งที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และเมื่อเราได้เห็นมนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าในเรื่อง เราจะเห็นมันได้ชัดว่ามันเอื้อต่อกันยังไง
นุ่มนวล รุนแรง ละมุนดี แต่บางทีก็น่าเบื่อ
ซีซั่นนี้เราจะได้เห็นตัวละครแทบทุกตัวเดินทางไปมาในหลายภูมิภาค หลายพื้นที่ หรือแม้แต่ท่องไปในอดีต และโลกที่เหนือไปกว่ามนุษย์ เมื่อเทียบกับซีซั่นที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์โร้ดทัวร์จากโลกสู่สวรรค์จริง ๆ ตัวละครจะได้เดินทางร่วมกันไปบนเส้นทาง ท่ามกลางความไม่เข้าใจ และเป้าหมายของตัวเอง เทพเจ้าเดินทางร่วมกับมนุษย์บนพาหนะของโลก พูดจาแบบห่าม ๆ ไม่เกรงกลัวกัน เป็นอะไรที่จับต้องง่าย ใครที่คาดหวังอะไรแบบอภินิหาร วาร์ปไป ใช้พลังควบคุมระดับจักรวาลไม่มีนะครับ ส่วนใหญ่เรื่องของพลังจะเป็นการแฝงตัวในสภาพแวดล้อมของมนุษย์มากกว่าการสำแดงพลังเหมือนตอนท้ายซีซั่น 1 ทำให้ผมรู้สึกขัดใจเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรแบบนี้อยู่เลยนอกจากช่วงซีซั่นท้าย ๆ เข้าใจว่าเก็บของใหญ่ไว้โชว์เฉลยปม แต่แบบมันน่าจะมากกว่านี้
ส่วนเรื่องเรตไม่ต้องพูดถึงครับมีฉากฆ่ากันเลือดสาด มุกตลกร้ายหยาบ ๆ ฉากโป๊เปลือย เรต 20+ สำหรับวัยรุ่นเลยทีเดียว แถมบางครั้งก็รู้สึกว่าจดจ่อกับปมปมหนึ่งกับแฟลชแบ็คมากเกินไป จนไม่มีทิศทางไปข้างหน้าอย่างชัดเจน พอเฉลยปมแต่ละปมออกมาก็ดันไม่ได้เป็นอะไรที่เกินความคาดหมายนัก เข้าใจแหละว่าเปลี่ยนผู้สร้างจากคนเดิม ไบรอัน ฟุลเลอร์ คำวิจารณ์มันเลยแตกแขนงไปหลายเสียงแบบนี้ มันดร็อปสุดกว่าภาคแรกตรงช่วงท้ายจริง ๆ ในขณะที่ในระหว่างเรื่องก็โอเค นุ่มลึกมากจนเกือบหลับเลยทีเดียว และที่แย่ไปกว่าหากใครชอบตัวละครในภาพ ซีซั่นหน้าเขาไม่ได้ไปต่อนะครับ น่าเสียดายจริง ๆ เป็นถึงตัวเอกในนิยายเรื่องของตัวเองแท้ ๆ แต่ผู้สร้างไม่ต้องการให้อยู่ในเรื่องต่อไป เรียกได้ว่าแฟนซีรีส์ไม่พอใจมาก
จงเชื่อในผู้สรรค์สร้าง และ เทคนิคสุดพิเศษ
จัดเต็มสุด ๆ ในซีซั่นนี้คือสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์สุดตระการตาที่มีออกมาทุกตอน ผสมกับโทนสีเรื่องที่มีความนัวร์ ๆ สีนีออน แบบหนังอินดี้ และเป็นสไตล์มุมกล้องแบบซีรีส์ที่มีคุณภาพเกินจะประเมินค่า และมีการแบ่งให้เห็นระหว่างฉากแฟลชแบ็คและฉากปัจจุบันที่จะมีการทำภาพขอบดำ กับ ทำภาพเต็มจอ ไม่รู้ค่ายออกทุนเท่าไหร่ แต่คุ้มมากจริง ๆ ใครอยากเห็นงานภาพสวย ๆ แบบนี้ คุณจะไม่ผิดหวัง มันไปด้วยกันกับเนื้อเรื่องและยังส่งเสริมให้โลกนั้นน่าเชื่อถือและจับต้องได้ ดนตรีประกอบที่คัดสรรมาอย่างดี เพลงเก่า ๆ ที่มีเสน่ห์ในยุคนั้น การแสดงของตัวละครยังสมบทบาท พัฒนาจากซีซั่นก่อน และยังคงไม่สูญเสียเอกลักษณ์ของตัวเอง เรียกง่าย ๆ ว่าไม่มีใครขัดตาเลยสักคน ทั้งฝั่งของพระเจ้าและฝั่งของมนุษย์ต่างทำหน้าที่ออกมาได้ดี มีครบทุกอารมณ์ สุข เศร้า สับสน โกรธ แค้น พร้อมให้คุณได้รับรู้ความรู้สึกของการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องดิ้นรนไปเรื่อย ๆ แบบตัวละครในเรื่อง วนเวียนยิ่งกว่าวิญญาณที่ตายไปแล้วเสียอีก
ควรชมหรือข้าม?
เป็นซีซั่นที่ยังรักษาองค์ประกอบที่ดีของมันไว้อย่างครบครัน แต่ก็ดันมีปัญหาในด้านการเล่าเรื่องที่เนือย วนไปในอ่างมากไป แม้จะเป็นซีซีซั่นที่สองแล้วเพียงเท่านั้น และนั่นก็กระทบกับการเฉลยปมหรือการนำเสนอตัวละครที่ดูจะวุ่นวายไม่มีปลายทาง แต่นอกจากนั้นแล้วมันก็คือซีรีส์ที่มีเสน่ห์ ทั้งงานการแสดง งานภาพ งานสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ งานตัดต่อ และงานดนตรีที่มีหลากหลายครบองค์ประกอบแบบที่ควรจะเป็น ก็หวังว่าซีซั่นหน้าที่กำลังจะมาจะแก้ตัวใหม่ให้เล่าเรื่องอย่างมีเสน่ห์โดยไม่วกวนอีกนะ เพราะผมดูจบ ผมก็รอที่จะดูซีซั่น 3 ไม่ไหว ใครที่ยังไม่เคยดูแล้วอยากดูขึ้นมา ผมแนะนำให้ไปดูซีซั่นแรกเพื่อดูการปูของมัน และจากนั้นถ้าชอบก็มาปูอีกสามตอนในซีซั่น 2 ถ้าไม่ชอบตั้งแต่ซีซั่นแรก คุณก็จะยิ่งไม่ชอบ แต่งานมันมีคุณภาพมาก เป็นซีรีส์ที่ลุ่มลึกและโชว์ศักยภาพการเป็นซีรีส์ทุนสูงได้อย่างเต็มเปี่ยม เพราะงั้นถ้าไม่ชอบแนวดราม่าจิกกัดบทโหด ๆ พูดเยอะ ๆ ก็ข้ามไปเถอะครับ มันน่าเบื่อพอสมควรเลย แต่ถ้าชอบก็รอดูซีซั่น 3 ได้เลย
ตัวอย่าง American Gods อเมริกัน ก็อดส์ SEASON 2
ชมได้แล้ววันนี้ใน แอมะซอน ไพรม์ วิดีโอ สมัครแล้วดูฟรี 7 วัน ก่อนเรียกเก็บเงิน เรตอายุ 18 ขึ้นไปนะครับ