รีวิว Into the Beat (Netflix) หนังเต้นสตรีทแดนซ์ที่ขาดความแปลกใหม่และจืดชืดสุดๆ
Into the Beat
สรุป
หนังเต้นที่พล็อตซ้ำซากแนวเดิมๆ ท่าเต้นในเรื่องก็พื้นๆ เพลงประกอบก็ไม่ได้ไพเราะ แถมบัลเลต์ที่นำมาผูกเป็นปมก็จืดจางจนแทบไม่มีความสำคัญอะไรกับเรื่องนัก มีดีแค่เรื่องไม่ได้ทำออกมาแย่ แต่ก็ธรรมดาจนไม่แนะนำให้เสียเวลามาดู
Overall
4/10User Review
( vote)Pros
- ไม่มีให้พูดถึงเลยจริงๆ
Cons
- เนื้อเรื่องซ้ำซากไม่มีความแปลกใหม่
- ท่าเต้นกับเพลงพื้นๆ ไม่มีความโดดเด่น
- นางเอกใจแตกเปลี่ยนแนวทางชีวิตแบบง่ายๆ จนไม่อินไปกับเรื่อง
Into the Beat จังหวะรักวัยฝัน หนังเต้นแนวสตรีทแดนซ์จากประเทศเยอรมันของ Netflix ที่จับเอาเรื่องราวการไต่เต้าสู่ฝันในวงการบัลเลต์มาชนกับสตรีทแดนซ์
ตัวอย่าง Into the Beat จังหวะรักวัยฝัน
อีกหนึ่งหนังเต้นของ Netflix ที่ขยันทำกันออกมาเหลือเกิน (มีแทบทุกเดือน) มาคราวนี้อาจจะดูแตกต่างไปสักนิดเมื่อเป็นของเยอรมันทำ และก็เอาเรื่องราวของวงการบัลเลต์มาเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อนางเอก Katya นักเรียนบัลเลต์ที่ทุ่มเทฝึกมาทั้งชีวิตตลอด 15 ปี เพื่อเข้าไปอยู่ในคณะบัลเลต์มืออาชีพตามรอยพ่อและครอบครัวที่เป็นนักบัลเลต์ชื่อดังทั้งบ้าน แต่หลังพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บขณะแสดง และก็ดูเหมือนจะกลับเข้าวงการไม่ได้ เธอซึ่งเป็นตัวแทนความฝันของพ่อกลับเริ่มรู้สึกว่าบัลเลต์ไม่ใช่จุดหมายในชีวิตของเธอ แต่เป็นการต้นฮิปฮอปสตรีทแดนซ์ที่เธอไปพบเจอกลุ่มเพื่อนใหม่โดยบังเอิญ และก็ถูกดึงเข้าสู่โลกของการเต้นอิสระฟรีสไตล์มากกว่าการเต้นที่ถูกกำหนดท่าตายตัวมาอย่างบัลเลต์ที่เธอฝึกมาทั้งชีวิต นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่เธอต้องแตกหักกับพ่อ ที่คาดหวังเหลือเกินว่าเธอต้องเข้าวงการบัลเลต์มืออาชีพให้ได้
ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนังเต้นที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แม้แต่นิดเดียว พล็อตเรื่องยังคงเป็นไปตามสูตรหนังเต้นอเมริกันที่ผลิตออกมาก่อนจนเลิกฮิตแล้ว สูตรที่ว่าก็คือตัวเอกค้นพบเส้นทางใหม่สายการเต้นแบบนี้ และก็มักเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่นด้วย เพราะหนังแนวนี้มักใช้ช่วงเวลาค้นหาตัวเองมาเป็นเมนหลักดราม่า ที่ต้องขัดกับครอบครัว คนรัก อดีตเดิมๆ ที่ไม่ใช่แนวทางการเต้นแบบนี้ ซึ่งพอเข้ามาเส้นทางนี้ก็จะพบรักกับพระเอก นางเอก ปิ๊งกัน สอนเต้น จับคู่ รักกัน และก็ไปจบที่การร่วมมือกันเต้นประกวด งานแข่ง การคัดตัว อันเป็นไคลแม็กซ์โชว์ท่าเต้นที่ดีที่สุดกับเพลงประกอบเพราะๆ มันส์ๆ ปิดท้ายเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นไปตามสูตรนี้ทั้งหมด แถมเป็นไปตามลำดับเป๊ะๆ จนดูน่าเบื่อสุดๆ ที่หนังไม่มีอะไรแปลกใหม่มาให้เห็นเลย แม้จะวางตัวว่านางเอกเป็นนักบัลเลต์ที่เก่งมาก่อน นึกว่าจะได้เห็นการรวมบัลเลต์เข้ากับสตรีทแดนซ์มาให้ผู้ชมได้ดู แต่กลับไม่มีท่าเต้นที่รู้สึกได้เลยว่ามิกซ์กัน ทั้งๆ ที่เรื่องนี้คือนางเอกต้องพยายามคิดท่าเต้นของตัวเองเพื่อให้หลุดจากกรอบของบัลเลต์ที่ฝึกมา แถมท่าเต้นต่างๆ กับเพลงในเรื่องยังไม่มีความโดดเด่นหรือเพลงติดหูเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขนาดไคลแม็กซ์ของหนังแนวนี้ที่ว่าอย่างน้อยต้องเจ๋งในระดับหนึ่ง แต่เรื่องงนี้กลับทำได้จืดสุดๆ เพลงที่ใช้ก็เป็นเพลงช้าเนือยๆ กับท่าเต้นพื้นๆ ไม่มีความว้าวให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในบทนี่กลับกลายเป็นว้าวสุดๆ แถมเรื่องนี้ยังไม่มีคู่แข่งเต้นเปรียบเทียบเลยอีกด้วย กลายเป็นหนังเต้นที่ทั้งพระเอกนางเอกก็เต้นแบบจืดๆ กันอยู่สองคนตั้งแต่ต้นจนจบ และก็ไม่ได้มีฉากเต้นมากมาย อาจจะน้อยที่สุดตั้งแต่ดูหนังแนวนี้มาเลยก็ได้ ซึ่งอาจจะเพราะเรื่องต้องแบ่งเวลาไปทางบัลเลต์ด้วย แต่ในส่วนของบัลเลต์เองก็ผิวเผินไม่มีฉากสำคัฐอะไรเลยนอกจากนางเอกฝึกซ้อมทั่วๆ ไปเท่านั้น
แล้วหนังเหลืออะไรให้พูดถึงบ้าง ก็อาจจจะมีนิดหน่อยในส่วนของความขัดแย้งกับพ่อ ที่กำลังกลายเป็นคนพิการจนทำให้กลับข้าวงการบัลเลต์ไม่ได้ นางเอกโกหกครูฝึกบัลเลต์เพื่อนของพ่อว่าต้องไปดูแลพ่อ แต่เอาเวลามาฝึกซ้อมเต้นกับพระเอกเพื่อลงแข่งคัดตัวเข้าทีมเต้นทึ่หนึ่งของโลกที่พระเอกใฝ่ฝันมาแต่เด็กๆ ซึ่งก็กลายเป็นทั้งคู่ปิ๊งกัน ว่ากันจริงๆ คือนางเอกใจแตกจากที่ไม่เคยได้ออกมาเที่ยวเล่นอิสระแบบนี้มาก่อน เพราะพ่อเข้มงวดให้ฝึกซ้อมมาทั้งชีวิต เมื่อความแตกว่าเธอโกหกครูและพ่อ การทะเลาะกันเรื่องความฝันที่ต่างกันของทั้งคู่ ก็เลยกลายเป็นยิ่งต่อต้านตัดขาดจากบัลเลต์เข้าไปอีก ซึ่งหนังก็ไม่ได้ทำให้เราอืนตามได้เลยว่า เด็กสาวที่ฝึกซ้อมบัลเลต์มาทั้งชีวิต แถมรักพ่อมากด้วย ทำไมถึงยอมทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปหาสตรีทแดนซ์ที่พึ่งพบเจอไม่กี่วันได้อย่างง่ายดาย ถึงจะใช้คำว่าค้นพบตัวเองมาเป็นเหตุผลก็ตาม แต่ก็ดูไม่สมเหตุผลเลย แถมบทยังปิดปมตรงนี้ได้แย่มาก ด้วยการให้นางเอกทำลายข้าวของในบ้าน ต่อต้านสังคมจนพ่อยอมแพ้ไม่อยากเสียลูกไป แล้วก็เปิดใจแนวทางใหม่ที่ลูกเสนอว่าจะทำอาชีพด้านนี้แทนได้ง่ายๆ จนดูเป็นแนวขายฝันเกินจริงมาก
สรุปเลยว่านี่เป็นหนังเต้นที่ไม่มีดีอะไรให้พูดถึงได้เลย อาจจะไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้มีดีอะไรให้พูดถึงสักอย่างจริงๆ แนะนำว่าผ่านไปเลยดีที่สุดครับ เพราะเน็ตฟลิกซ์ก็ขยันทำซ้ำแนวนี้ออกมามากเหลือเกินจริงๆ