playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ragnarok มหาศึกชี้ชะตา Season 2 ความแฟนตาซีและความมันส์เพิ่มขึ้น

สรุป

อัพเกรดจากภาคแรกในด้านโปรดักชั่น ความแฟนตาซี รวมไปถึงเรื่องราวที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ก็มีความไม่สมเหตุสมผลหลายอย่างตามมาเหมือนกัน เสริมทัพความน่าสนใจด้วยตัวละครใหม่ๆ และพลังของเทพที่ตื่นขึ้น การตามหาอาวุธประจำตัวธอร์ ดราม่าพี่น้อง แม้หลายๆ อย่างจะดูแปลก แต่กลับผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • อัพเกรดงานโปรดักชั่น CG ความแฟนตาซีจัดเต็มกว่าภาคที่แล้ว
  • เรื่องราวเข้มข้น สนุกขึ้น ดราม่าหลายๆ ส่วนทั้งของเทพและยักษ์ รวมไปถึงพี่น้องทำออกมาได้ดี
  • ยังคงผสมผสานเรื่องราวของโลกปัจจุบันกับตำนานเทพนอร์สแบบตีความใหม่ได้แปลก แต่ดี

Cons

  • มีหลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลมากขึ้น
  • การนำเสนอสเกลที่ดูใหญ่ แต่ในความเป็นจริงมันดูก๊อกแก๊กเกือบจะเป็นเกรดบี
  • ตัวละครใหม่ๆ ขาดที่มาที่ไปจนไม่น่าสนใจ
  • จุดพลิกผันของเรื่องในหลายฉาก มันดูมาง่าย ไปง่าย เกินไปหน่อย

ADBRO

Ragnarok มหาศึกชี้ชะตา Season 2 Original Series ของ Netflix จากประเทศ Norway เรื่องราวว่าด้วยครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งย้ายเข้ามายังเมือง Edda เมืองที่เลิกนับถือเทพเจ้านอร์ส และหันมานับถือคริสต์เป็นเมืองสุดท้ายในโลก แต่แล้วเหตุการณ์หลายๆ อย่าง ทั้งสภาพแวดล้อมภายในเมืองเสื่อมโทรม น้ำแข็งเริ่มละลาย หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณของวันสิ้นโลกตามตำนานแร็กนาร็อก

 Ragnarok (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง Ragnarok มหาศึกชี้ชะตา SS2

รีวิว Ragnarok Season 2

กลับมาอีกครั้งกับตำนานเทพนอร์สในบทใหม่ ซึ่งเรื่องราวจะดำเนินต่อจากฉากจบภาคแรกทันที โดยในภาคนี้จะเพิ่มความเป็นแฟนตาซี และเพิ่มตัวละครใหม่ๆ ที่ทำให้เรารู้ว่าโลกของซีรีส์เรื่องนี้ คืออะไรกันแน่ ถ้าหากใครยังไม่ได้ดูซีซั่นแรกล่ะก็ สามารถอ่านรีวิวได้ที่นี่ครับ

เรื่องราวในภาคนี้จะดำเนินไปสองส่วนหลักๆ ก็คือเรื่องราวของชาวเมืองเอ็ดดา ที่บริษัทโยธุล (บริหารด้วยพวกยักษ์) ได้ทำการปล่อยสารพิษปนเปื้อนจนทำให้น้ำประปาใช้การไม่ได้ เกิดการประท้วงกัน เหมือนกับภาคที่แล้วก็คือนำเสนอในเรื่อง Climate Change ปัญหาสิ่งแวดล้อม และในอีกส่วนหนึ่งก็คือพลังของธอร์ที่ตื่นขึ้นในตัวมังเน กับการค้นพบตัวตนเทพโลกิ ในตัวน้องชายของเขาอย่างเลาริต ที่ทำให้เรื่องราวพลิกไปพลิกมา ตลบแตลงเหมือนกับบุคลิกของครึ่งยักษ์ครึ่งเทพที่ปลิ้นปล้อนของโลกิ

อย่างแรกที่พัฒนาจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัดก็คือ โปรดักชั่นที่ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะภาคนี้เพิ่มความแฟนตาซีเข้าไปเยอะ ไม่กั๊กเหมือนภาคแรก ทำให้พวกสเปเชี่ยลเอฟเฟ็กต์ต่างๆ ทำออกมาได้ดูดีเลยทีเดียว ไม่ดูเกรดบีเหมือนภาคแรก และมีฉากแฟนตาซีอะไรแบบนี้อีกหลายฉากกว่าภาคแรกเยอะ

เนื่องจากซีรีส์เรื่องนี้ อิงตามตำนานเทพนอร์ส ธอร์ทำสงครามกับพวกยักษ์ และในสงครามคงไม่มีใครรบคนเดียว ในภาคนี้เลยมีตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพให้เรื่องราวมีสีสันมากยิ่งขึ้น บางคนก็เป็นตัวละครที่โผล่หน้ามาแว๊บๆ ในภาคแรก แต่มีบทบาทเยอะขึ้น เช่นเทพโอดินในร่างชายชรา หรือเทพองค์อื่นๆ ที่น่าเสียดายว่า ในซีรีส์ไม่บอกตรงๆ ว่าตัวละครใหม่เหล่านี้ คือเทพองค์ใดในตำนานนอร์ส และมีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่แบบตรงๆ

Ragnarok Netflix Lokiสีสันจริงๆ ของภาคนี้ต้องยกให้กับ เลาริต ที่ได้รับรู้ว่าตนเองมีสายเลือดของยักษ์ไหลเวียน จนได้พลังของเทพโลกิมาสถิตอยู่กับตัว แต่การที่เขาได้พลังนั้นมา มันคือการที่เขาต้องหักหลังพี่ชายของตัวเองที่เป็นร่างสถิตของเทพธอร์ตามตำนาน ซึ่งมันจะกลายเป็นดราม่าพี่น้อง และมีส่วนเกี่ยวโยงไปยังครอบครัวยักษ์โยธุลด้วย มันเลยทำให้ดราม่าในส่วนนี้ดูสนุก พร้อมกับเปิดเผยพลังใหม่ๆ

แต่ด้วยสเกลเรื่องที่เหมือนดูจะใหญ่อย่างการทำสงคราม แต่พอมาดูจริงๆ การนำเสนอมันไม่ใหญ่เลย ตัวละครหลักจริงๆ มีเพียงไม่กี่ตัว แม้จะมีตัวละครใหม่ๆ มาเสริมทัพ แต่ก็บอกตามตรงว่าตัวละครฝ่ายเทพพวกนี้ ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ดูขาดๆ เกินๆ ในบางช่วงด้วยซ้ำ ขาดที่มาที่ไปที่จะช่วยให้คนดูอินเยอะมาก มันเลยทำให้ในพาร์ทของพระเอกที่พลังธอร์ตื่นขึ้น กับการตามหาค้อนเทพคู่กาย มโยเนียร์ ในช่วงท้ายๆ หลายฉากไม่สมเหตุสมผลจนดูก๊อกแก๊กไปเลย

ในด้านพัฒนาการตัวละครของภาคนี้ เราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของครอบครัวยักษ์ กับสมาชิกใหม่ พัฒนาการความสัมพันธ์พี่น้องของฝั่งตัวเอก และพัฒนาการในพลังเทพที่ตื่นขึ้น อย่างที่บอกว่าสเกลเรื่องมันดูใหญ่ แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่เป็นจุดพลิกผัน มันดูง่ายดายเกินไปหน่อย และเป็นแบบนี้หลายฉากด้วย ส่วนเรื่องปมต่างๆ ในภาคแรก ส่วนใหญ่ก็เฉลยออกมา เก็บบางอย่างเอาไว้ หลายส่วนๆ ที่มันอาจจะกระทบต่อเรื่องราวโดยตรง มันเลยไม่ได้ถูกนำเสนอแบบตรงๆ เหมือนจะแอบใส่ไว้ในบทสนทนาของตัวละครมากกว่า

อีกอย่างที่รู้สึกชอบและเขานำเสนอได้ดีก็คือความไม่รู้ของตัวเอก ที่จู่ๆ จากเด็กพิเศษวัย 17 ปี ต้องมีพลังเทพนอร์สสถิต เลยพยายามตามหาและทำตามตำนาน อย่างธอร์ก็ต้องมีค้อนคู่กาย ตัวเอกเลยทำการสั่งให้ช่างธรรมดาๆ ทำค้อนให้ ด้วยความไม่รู้นี้เองเราเลยได้เห็นว่าตัวเอกอย่างมังเน เป็นเพียงเด็กหนุ่มซื่อๆ คนหนึ่ง ที่จู่ๆ ต้องมารับบทหนักในการปราบพวกยักษ์ลง และการพัฒนานี้มันก็ค่อยเหมือนกับหนังหรือซีรีส์ที่ฮีโร่ ที่ตัวเอกต้องรับผิดชอบกับพลังที่ตื่นขึ้นของตัวเอง

เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่มันมีบรรยากาศของเรื่องแปลกมาก หลายๆ อย่างดูไม่น่าจะเข้ากันอย่างดราม่าเรื่องสิ่งแวดล้อม บริษัทยักษ์ใหญ่กับเหล่าชาวเมือง เบื้องหลังเป็นความแฟนตาซีตำนานเทพ แต่เหลือเชื่อว่าในความแปลกนี้มันดันเข้ากันอย่างลงตัวแบบแปลกๆ ยากจะหาเรื่องไหนเหมือน พัฒนาจากซีซั่นแรกเยอะขึ้น แต่ความไม่สมเหตุสมผลก็มากขึ้นตามเป็นเงาเหมือนกัน แต่ด้วยการดำเนินและปูเรื่องมาแบบนี้ ซีซั่นที่สามต้องมีแน่นอน เพราะหลายๆ อย่างที่ทิ้งเป็นปมเอาไว้ และการเล่นกับบุคลิกกลับกลอก ปลิ้นปล้อนของโลกิ มันเลยทำให้เรื่องนี้ถือว่านำเอาตำนานเทพนอร์สมาตีความใหม่ ที่ยากจะมีใครเหมือน และยังคงนำเสนอความสวยงามของเมืองในหุบเขาอย่าง Odda ได้เป็นอย่างดี

รับชม Ragnarok มหาศึกชี้ชะตาทั้งสองซีซั่น ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิวซีรีส์อื่นๆ ได้ที่นี่

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ