รีวิว Black Summer ss2 Netflix ปฏิบัติการนรกเดือด การกลับมาของซอมบี้สายดิบดาร์ก ครีเอทล้ำ
Black Summer ss2
สรุป
การกลับมาของซีรีส์แนวซอมบี้ที่มีครีเอทมากในด้านการถ่ายทำ การเล่าเรื่องจากหลายมุมมองที่มีชั้นเชิงมาก ไม่เน้นความดราม่ายืดยาดฟูมฟาย หรือตัวละครทำอะไรโง่ๆ แบบแนวซอมบี้เรื่องอื่น นักแสดงบางคนเล่นดีมาก
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ยังคงเทคนิคลองเทคและการเล่าเรื่องจากหลายมุมมองในเหตุการณ์เดียวกันได้ดี
- นักแสดงเล่นดีมากโดยเฉพาะน้องโซอี้
- แนวทางเดินเรื่องมีสไตล์เฉพาะตัวมาก ไม่เน้นบทพูดดราม่ายืดยาดเกินเหตุ
- ทำบทสรุปของบางตัวละครได้ดี
- มีพากย์ไทย
Cons
- จังหวะตัดต่อช่วงก่อนกลางเรื่องทำให้ดูสับสนไปหน่อย บางฉากจำเป็นต้องย้อนดูซ้ำ
- ตัวละครหลักน่าเชียร์น้อยลง
- บทของบางตัวละครที่ไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไม
- พวกตัวละครใหม่ไม่ได้น่าเชียร์เลย และหลายตัวจากไปแบบไม่มีอะไรน่าจดจำหากเทียบกับตัวละครจากซีซันแรก
Black Summer ss2 Netflix รีวิว ปฏิบัติการนรกเดือด การกลับมาของซีรีส์แนวซอมบี้สายดาร์ก เน้นการไล่ล่า ดุเดือด โหดดิบ ไร้ความปราณี และกล้าครีเอท สร้างสรรค์ได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยสร้างกันมา
ผลงานเรื่องนี้มาจากทีมผู้สร้าง Z Nation (ยังมีฉายใน Netflix ด้วย) แต่บอกเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งซีซันสองฉายทั้งหมด 8 ตอน เชื่อว่ามีซีซันสามต่อแน่นอน เพราะมีการปูเส้นทางของตัวละครที่รอดชีวิตจากซีซันนี้กันไว้แล้ว มีพากย์ไทยด้วย
ตัวอย่าง Black Summer ss2 Trailer
Black Summer ss2 เรื่องย่อ
หลังจากตอนจบในซีซันแรก กลุ่มตัวเอกที่มีผู้รอดชีวิตคือ โรส ซัน สเปียร์ส ที่ได้พบกับลูกสาวของโรสคือ แอนนา ทั้งหมดก็รวมกลุ่มกันออกเดินทางเพื่อหาทางรอดชีวิตกันต่อไป
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ วิถีชีวิตและแนวคิดในการเอาตัวรอดของคนในกลุ่มที่พร้อมจะทำทุกอย่างที่ต่อให้ดูเหมือนเห็นแก่ตัว ต้องทำร้ายคนอื่น แต่ถ้าเพื่อเอาตัวรอด พวกเขาก็จะทำมันโดยไม่ลังเล
แล้วสำหรับคนที่คาดหวังว่า เนื้อเรื่องจะมีการค้นหาปริศนาการกลายร่างเป็นซอมบี้หรือมีการเฉลยในจุดนี้หรือไม่นั้น ต้องบอกว่าซีรีส์มันไม่ได้สร้างมาในแนวนี้ แต่เน้นการเอาชีวิตรอดแบบสมจริง ซึ่งในส่วนของปริศนาซอมบี้จะไปอยู่ในซีรีส์เรื่อง Z Nation ที่มีการศึกษาเรื่องภูมิต้านทานของเชื้อซอมบี้ตั้งแต่แรก
ส่วนเนื้อหาหลักในซีซันสองนี้ จะเน้นไปที่การเดินทางตามหาลานจอดเครื่องบิน เพื่อที่จะหาทางออกไปยังเมืองอื่น สถานที่อื่น ด้วยความหวังว่าจะพบโอกาสในการเอาชีวิตรอดที่ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้มีแต่คนไม่กี่กลุ่มที่รอดชีวิตจากซีซันแรก เพราะซีซันนี้มันคือการที่ผู้คนผ่านระยะเวลามาหลายเดือนจากซีซันแรก ซึ่งคนหลายกลุ่มมีทักษะในการเอาชีวิตรอดมากขึ้น มีอาวุธปืนกันมากขึ้น รวมกลุ่มต่อสู้และโหดเหี้ยมกันมากขึ้น ดังนั้นอุปสรรคในซีซันสองจึงอยู่ที่การตามลุ้นว่ากลุ่มตัวเอกจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ยังไง ในขณะที่พวกเขาต้องปะทะกับกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่พัวพันกันยุ่งเหยิงมากจนไม่รู้ว่าใครคือมิตรหรือใครคือศัตรู เพราะไม่อาจเชื่อใจใครได้ง่ายๆอีกแล้ว
Black Summer ss2 รีวิว
เนื้อในซีซันสอง แค่เปิดมาไม่กี่นาที ก็แสดงให้เห็นเราแล้วว่า นี่คือโลกที่โหดร้ายสุดขีด คนทำดีไม่ได้ดีเสมอไป มีแค่ว่าตัดสินใจถูกหรือผิด รอดหรือตาย แค่นั้นเอง
ฉันก็แค่พยายามจะเอาตัวรอด
ไม่มีใครเป็นคนดีอีกแล้ว
สองประโยคนี้คือบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดในซีรีส์ชุดนี้ที่ชัดเจนมาก แต่ในตอนท้ายเรื่อง ทุกอย่างก็ไม่ได้เอาแต่ดำมืดอย่างเดียว เมื่อตัวละครหลักคนหนึ่งเลือกที่จะไม่ทอดทิ้งคนที่เธอรักและพยายามรักษาความเป็นมนุษย์ที่ดีเอาไว้ให้มากที่สุด แม้ว่าจะอยู่ในโลกแสนป่าเถื่อนที่ไร้กฎเกณฑ์นี้แล้วก็ตามที
สำหรับฉากกว่า 90% ในซีซันนี้อยู่ในหิมะ ทั้งป่า ภูเขา บรรยากาศของเรื่องจึงมีทั้งความมืดอึมครึมและสีขาวโพลนผสมผสาน ซึ่งชวนให้มันยิ่งเพิ่มความรู้สึกที่ตัดกันในแง่ที่เรารู้สึกถึงความแห้งแล้งและหนาวเหน็บจากสภาพอากาศเข้าไปอีก
สำหรับข้อดีและข้อเสียของซีซันสอง มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
ข้อดีในซีซันสอง
ข้อดี ของซีรีส์มีหลายจุด แต่สิ่งที่ต้องขอชื่นชมก่อนเลยก็คือ
1.การแสดง โดยเฉพาะน้อง โซอี้ มาร์เล็ต ที่มารับบทแอนนา ลูกสาวของโรส ซึ่งในซีซันสอง เธอได้กลายเป็นหนึ่งในตัวเอกของเรื่องราวที่ต้องยอมรับเลยว่าน้องโซอี้เป็นนักแสดงวัยรุ่นที่เล่นได้ตีบทแตกและเกินวัยอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งหน้าตาสวยๆ ใสๆ ของเธอ บวกกับการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางที่ไม่ต้องเล่นใหญ่อะไรมาก แต่สามารถสื่อให้เราเห็นได้ว่า เธอกำลังกังวล ครุ่นคิด โกรธ เศร้า หรือกำลังมีอารมณ์หลากหลายประดังเข้ามาทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่อาจจะกลายเป็นนักแสดงชื่อดังในอนาคตจนถึงขั้นคว้ารางวัลใหญ่เลยก็ได้ ถ้าหากมีบทดีๆ ส่งให้เธอต่อไปเรื่อยๆ
2.มุมกล้อง และเทคนิคการถ่ายทำ ซึ่งเป็นจุดเด่นมากๆ ของซีรีส์ชุดนี้ตั้งแต่ซีซันแรก รวมถึงการใช้เทคนิคแบบลองเทคเข้ามาผสมผสาน ร่วมกับการนำเสนอมุมกล้อง POV ผ่านสายตาตัวละครในฉากที่พวกเขาต้องบุกเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ที่น่าหวาดระแวง และนี่เป็นซีรีส์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เล่นมุมกล้องผ่านสายตาของซอมบี้
3.บทที่โหดดิบ สมจริงจนน่ากลัวในโลกที่แทบจะกลายเป็นสังคมแบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ทุกคนต่างดิ้นรนเอาตัวรอด ไม่เลือกวิธีการ แล้วต่อให้เป็นตัวละครที่ดูเหมือนสำคัญขนาดไหน บทจะตายก็คือตายเหมือนกัน
4.ไม่ใส่บทพูดไดอาล็อคฟุ่มเฟือยเหมือนแนวซอมบี้เรื่องอื่น ซึ่งการที่เรื่องนี้เลือกเดินเรื่องแบบที่ตัวละครมักจะมีแอร์ไทม์แบบตัวละครเงียบใส่กัน กลับทำให้เรื่องดูสมจริงมากขึ้นกับสถานการณ์ที่โลกเต็มไปด้วยซอมบี้สายสปีดเร็วกว่านรก ซึ่งทุกคนต้องหาทางเอาตัวรอด และบางทีก็เหนื่อยกับการที่จะต้องพูดอะไรมากมายในสถานการณ์เฉียดตาย แต่พอได้มีโอกาสพักผ่อนคลายกับคนอื่นบ้าง จึงเปิดปากพูดกันมากขึ้น ตรงนี้ถือว่าดูแล้วอินตามได้ดี
ข้อด้อยในซีซันสอง
สำหรับข้อด้อย ซีซันสองก็มีจุดที่ดรอปลงจากซีซันแรกบ้างเหมือนกัน เช่น
1.บทของตัวละครใหม่ บางคนไม่รู้ว่าใส่มาทำไม และก็ไม่ค่อยน่าเอาใจช่วยแบบตัวละครชุดเก่า คือถ้าไม่นับน้องแอนนาที่เป็นตัวหลักคนใหม่ของเรื่อง ดูแล้วจะรู้สึกว่าเส้นเรื่องพวกตัวละครใหม่เช่น แมนซ์ ก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่มตัวละครจากซีซันแรก เหมือนเป็นเรื่องที่กระโดดออกมาต่างหาก แต่กลับไม่น่าเชียร์เท่าไหร่นัก ตรงนี้เลยทำให้รู้สึกเสียดายตัวละครหลักจากซีซันแรกบางคนที่บทมาหมดในซีซันสองเร็วไปหน่อย
2.ตัวละครจากซีซันแรกบางคนมีแอร์ไทม์น้อยลง โดยเฉพาะตัวละครที่เชื่อว่าคนดูเชียร์มากที่สุดในซีซันแรกอย่างเช่น ซัน สาวเกาหลีที่มีไหวพริบและจิตใจดีอันดับต้นๆในซีรีส์ชุดนี้ จะพบว่าเธอมีบทบาทน้อยลงไปเยอะ ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมาก แล้วก็ยังต้องลุ้นกันว่าเธอจะเจอวิบากอะไรอีกไหมในซีซันหน้า ถ้าหากว่าเธอได้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง เพราะบทสรุปของซันในซีซันสองค่อนข้างเคลียร์หมดแล้ว
3.การตัดต่อเรื่องราวจากแต่ละมุมมองในช่วงแรกและกลางที่ทำออกมาดูแล้วงง เข้าใจยาก และสับสนกว่าในซีซันแรก แต่การตัดต่อจากหลายมุมมองกลับมาทำได้ดีอีกครั้งในช่วง 3 ตอนสุดท้าย โดยเฉพาะซีนสำคัญของสเปียร์ที่ผู้สร้างหาบทสรุปให้ตัวละครได้สวยงามดี
แล้วยังมีจุดหนึ่งที่คนดูอาจจะรู้สึกว่า ตัวละครในเรื่องนี้มันเอาปืนกันมาจากไหนเยอะแยะ แถมเกือบทั้งหมดยิงปืนกันเก่งมาก มีหลายกลุ่มที่สามารถปฏิบัติกันได้ราวกับทหารหรือหน่วยรบพิเศษ แต่ตรงนี้น่าจะเป็นความตั้งใจของผู้สร้างที่สื่อว่า กลุ่มคนที่เอาชีวิตรอดในโลกที่ซอมบี้แทบจะครองหมดแล้ว ต่างก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ดังนั้นคนที่อยู่รอดมาถึงช่วงเวลาในเรื่อง หรือประมาณ 4-5 เดือน ย่อมมีความแกร่งและต้องยิงปืนหรือใช้อาวุธกันจนเก่งมากในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
สรุปแล้ว นี่เป็นซีรีส์แนวซอมบี้ที่มีการครีเอทในแง่ของการถ่ายทำ การเล่าเรื่องจากหลายมุมมองที่มีชั้นเชิงมาก และไม่เน้นความดราม่ายืดยาดฟูมฟาย หรือตัวละครทำอะไรโง่ๆแบบแนวซอมบี้เรื่องอื่น แต่เน้นที่การไล่ล่า เอาชีวิตรอดเป็นหลักแบบที่คนดูต้องเหนื่อยตามตัวละครไปด้วย ซีซันสองฉายแล้วใน Netflix ทั้งหมด 8 ตอน
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website