รีวิว Rouroni Kenshin The Final Netflix บทสรุปของ เคนชิน ซามูไรพเนจร แอ็กชั่นยอดเยี่ยม ปรับบทใหม่เยอะ
Rouroni Kenshin The Final
สรุป
หนังบทสรุปของ ซามูไรพเนจร เคนชิน ฉากแอ็กชั่นดุเดือด รวดเร็ว ใครชอบหนังซามูไรฟันดาบแบบโอเวอร์ต้องดูเลย นักแสดงหลักเล่นดีทุกคน ใครเป็นแฟนเรื่องนี้ไม่ควรพลาด แต่บทตัวละครมีการปรับเปลี่ยนพอสมควร
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากแอ็กชั่นยอดเยี่ยม รวดเร็ว ดุเดือด อาจโม้ไปบ้างแต่ก็ยังมันส์
- ทีมนักแสดงสุดยอดมากทุกคน
- ปรับเนื้อหาจากต้นฉบับออกมาใช้ได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับเนื้อหาในมังงะบทสุดท้ายที่ดรอปกว่าภาคชิชิโอ
- เล่าเรื่องกระชับ ทั้งที่บทนี้ค่อนข้างดราม่า
- มีพากย์ไทย
Cons
- ปรับบทบางตัวละครให้เนิร์ฟลงมากเกินไป
- ไม่มีบทสรุปของตัวละครอื่นให้เห็นตอนท้าย ตรงนี้น่าจะมีสักหน่อย เพราะในต้นฉบับมี
- ทีมพากย์ไทยเป็นคนละชุดกับพันธมิตร ไม่มีพากย์นอกบท ในมุมหนึ่งทำให้เรื่องนี้ขาดแคลนมุกตลก เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย
Rouroni Kenshin The Final Netflix รีวิว ซามูไรพเนจร ปัจฉิมบท ซึ่งอีกชื่อที่ชาวต่างชาติรู้จักกันคือ Samurai X หนังภาคนี้เป็นบทสรุปของหนังทุกภาค หลังจากไตรภาคชุดแรก ซึ่งที่ใช้ชื่อภาคว่า ปัจฉิมบท Final Chapter Part I หรือ The Beginning เป็นเพราะหนังจะมีภาคย้อนอดีตสมัยที่เคนชินยังเป็นมือพิฆาตบัตโตไซฉายอีกภาค เป็น Part II ซึ่งตรงนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมทำภาคบทสรุปก่อน แล้วค่อยทำภาคย้อนอดีตเป็นพาร์ทที่สอง แต่อาจเพราะต้องการทำตามเนื้อหาในต้นฉบับมังงะให้จบไปก่อนก็เป็นได้
นอกจากนี้แฟรนไชส์ Rouroni Kenshin ยังได้รับความนิยมอย่างมาก จนถึงขั้นเป็นแฟรนไชส์หนังญี่ปุ่นแบบ Live Action เรื่องแรก ที่ได้เข้าฉายในเทศกาลหนังเซี่ยงไฮ้ที่ประเทศจีนด้วย
หนังมีความยาว 2.17 ชม. ฉายทั่วโลกทาง Netflix แสดงนำโดย ซาโต้ ทาเครุ และ เอมิ ทาเคอิ ซึ่งหนังเข้าฉายครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษายน โกยรายได้ไปมากถึง 31 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบกับต้นฉบับมังงะ จะอยู่ประมาณเล่มที่ 18-28 จบ
ตัวอย่าง Samurai X The Final Trailer
Rouroni Kenshin The Final เรื่องย่อ
เนื้อหาในภาพยนตร์ Live Action เคนชิน ซามูไรพเนจรภาคนี้ จะอ้างอิงจากบทสุดท้ายของต้นฉบับมังงะคือบทของ เอนิชิ ซึ่งเป็นบทที่มีความดราม่าที่สุดและเป็นการเฉลยปมทที่มาของรอยแผลเป็นรูปกากบาทที่แก้มของเคนชิน และบทสรุปก็เป็นการปลดล็อคความผิดบาปที่ค้างคาใจของตัวละครด้วย
ในภาคสุดท้ายนี้ ฮิมุระ เคนชิน หรือ มือพิฆาตบัตโตไซ ที่เคยเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจที่สุดในยุคปฏิรูป ได้ผันตัวมาเป็นคนพเนจร แล้วใช้ชีวิตปักหลักอยู่ที่สำนักดาบคามิยะ ร่วมกับ คามิยะ คาโอรุ ซึ่งหลังจากศึกในสามภาคที่ผ่านมา เมื่อเคนชินจัดการกับชิชิโอ มาโคโตะได้แล้ว ญี่ปุ่นก็ได้กลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ก็เป็นแบบนั้นได้ไม่นาน เมื่อ เอนิชิ ยูกิชิโระ น้องชายของ โทโมเอะ ยูกิชิโระ อดีตภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของเคนชินในสมัยที่ยังเป็นบัตโตไซ ได้วางแผนทัณฑ์มนุษย์ เพื่อแก้แค้นเคนชินที่เป็นคนทำให้พี่สาวของเขาตายไป เอนิชิยังมาพร้อมกับองค์กรมาเฟียเซี่ยงไฮ้ที่จัดเต็มทั้งกำลังคนและอาวุธปืนเพื่อถล่มเมืองและผู้คนที่เคนชินได้ปกป้องไว้
Rouroni Kenshin The Final รีวิว
ก่อนอื่นขอรีวิวในส่วนของฉากแอ็กชั่นและนักแสดง เพราะทั้งสามภาคที่ผ่านมาเราพูดได้เลยว่านี่คือจุดแข็งของหนังเป็นอย่างมาก และภาคนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นด้วย เรียกได้ว่าถ้าใครดูเพราะคาดหวังฉากฟันดาบหรือดวลดาบกันแบบไฮสปีด รับรองได้ว่าไม่ผิดหวังแน่นอน เราจะได้ดูเหล่าตัวละครในเรื่องพากันใชกระบวนท่าสุดตระการตา ท่าวิชาที่ดูรุนแรง รวดเร็ว ดุดัน แม้จะมีความโอเวอร์ในสไตล์การ์ตูนโชเน็น แต่ก็เป็นความโอเวอร์ที่ตัวหนังทำออกมาได้ดูสมจริงสมจังมากๆ
1.ฉากแอ็กชั่น ในภาคนี้การได้ตัวละครเอนิชิที่ใช้วิชาวาโตเข้ามาเป็นตัวร้ายหลักของภาค ก็ทำให้มีการออกแบบฉากต่อสู้ได้หลากหลายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในภาพรวมแล้ว ฉากแอ็กชั่นค่อนข้างจัดเต็มเอามากๆ ใส่เข้ามาแบบไม่ต้องมีกั๊ก ทั้งฉากฟันดาบ ยิงปืนกล ระเบิด และอื่นๆ
ที่สำคัญคือนักแสดงหลักของเรื่องเล่นฉากแอ็กชั่นกันเองค่อนข้างเยอะด้วย มาดูคลิปเบื้องหลังที่ทีมนักแสดงเล่นฉากแอ็กชั่นกันเองเลย ที่น่าทึ่งก็คือการแสดงฉากแอ็กชั่นของ ซาโต้ ทาเครุ ในบทเคนชิน และ แมคเคนยู ในบท เอนิชิ รวมถึงนักแสดงสาวอย่าง ทาโอะ สึจิยะ ในบทมิซาโอะ
2.นักแสดง นี่ก็เป็นจุดเด่นสำคัญ โดยเฉพาะ ซาโต้ ทาเครุ ที่รับบท ฮิมุระ เคนชิน ซึ่งน่าจะเป็นภาพจำของตัวละครนี้ไปอีกนาน ถึงแม้ในอนาคตจะมีการนำกลับมารีเมกในอนาคต แต่ทาเครุได้สร้างมาตรฐานระดับสูงในบทเคนชินเอาไว้แล้ว ทั้งการแสดงสีหน้าท่าทาง อีกทั้งฉากแอ็กชั่น ที่มีคลิปปล่อยออกมาเป็นระยะว่าเขาเล่นฉากแอ็กชั่นด้วยตัวเองกว่า 70-80% เลยทีเดียว โดยเฉพาะพวกฉากที่ต้องใช้ความคล่องแคล่ว ความเร็ว ฉากฟันดาบ การวิ่งไต่กำแพงและหลังคาบ้าน ที่เจ้าตัวแทบจะเล่นเองทั้งหมด ถือว่าเป็นมิติใหม่ของวงการภาพยนตร์แอ็กชั่นญี่ปุ่นได้เลย (ต่างชาติแซวกันในคลิปยูทูปเบื้องหลังการถ่ายทำว่า เคนชินเล่นเป็นซาโต้ ทาเครุ ไม่ใช่เขาเล่นเป็นเคนชิน)
ทีมนักแสดงคนอื่นๆก็ยอดเยี่ยมกันหมด โดยเฉพาะสาวน้อย เอมิ ทาเคอิ ที่กลับมาในบท คาโอรุ นางเอกของเรื่อง และอีกหนึ่งสาวน้อยที่กำลังดังมากอย่าง ทาโอะ สึจิยะ ที่กลับมาในบท มิซาโอะ (ทาโอะเริ่มดังในระดับอินเตอร์จากการรับบทนางเอกในเรื่อง Alice in Borderland) รวมถึงดาราอาวุโสหน้าเข้มมากฝีมืออย่าง ยูสุเกะ เองุจิ ในบทของ ไซโต้ ฮาจิเมะ ที่ก็หาคนมาเล่นบทนี้แทนแกยากเหมือนกัน
แต่นักแสดงที่น่าจะโด่งดังขึ้นมาจนแฟนๆทั่วโลกจะได้รู้จักและจดจำเธอไปเลยในหนังภาคนี้แม้ว่าเธอจะได้มีบทออกมานิดเดียวก็คือนักแสดงสาว อาริมูระ คาสุมิ ในบท โทโมเอะ ยูกิชิโระ อดีตภรรยาของเคนชิน ซึ่งเธอก็เคยมีผลงานก่อนหน้านี้มาแล้วหลายเรื่อง แถมยังรับงานพากย์เสียงในภาพยนตร์อนิเมะดังๆ มาแล้วด้วย
อีกคนที่เรียกว่าก็มีผลงานอยู่ก่อนแล้ว แต่ยิ่งมาแจ้งเกิดในระดับแมสเข้าไปอีก ก็คือ นักแสดงหนุ่ม แมคเคนยู อาราตะ ที่มาบทของ เอนิชิ ยูกิชิโระ ตัวร้ายประจำภาคนี้ เขาเป็นนักแสดงหนุ่มญี่ปุ่นที่ไปเกิดและเติบโตในสหรัฐอเมริกา แล้วก็มีจุดเด่นคือสรีระรูปร่างที่ดูแข็งแรงบึกบึน เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แลดูเหนือกว่าผู้ชายญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยทั่วไปมาก ถือว่าทั้งหน้าตาและรูปร่างก็เข้ากับบทเอนิชิที่ต้องใช้วิชาวาโตะ ที่ต่อสู้ด้วยการแบบผสมผสานดาบและท่าเตะได้ลงตัวดี
3.ด้านเนื้อหา มีการปรับเรื่องราวให้เข้ากับการเป็นหนังที่มีเวลาจำกัด 2.17 ชั่วโมง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าต้องปรับเนื้อหาจากต้นฉบับมังงะพอสมควร แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดคิดครับ
แล้วสำหรับ “คนที่ไม่เคยอ่านมังงะหรือรู้เรื่องราวของเคนชินมาก่อน” อาจจะงุนงงกับเรื่องราวความรักความแค้นและปมของเคนชิน โทโมเอะ และเอนิชิ อยู่บ้าง แต่หนังภาค Final ก็มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเอาเรื่องราวในหนังภาคแรกสุดที่จะเป็นการย้อนอดีต (ซึ่ง Netflix ได้เอาภาคปฐมบทเข้ามาภายหลัง) เพื่อมาเล่าแทรกให้คนที่ดูสามารถเข้าใจปมทั้งหมดของเรื่องอย่างง่ายที่สุดแล้ว ซึ่งในต้นฉบับมังงะ ก็เป็นการเล่าย้อนอดีตของเคนชินกับโทโมเอะไปหลายตอนเหมือนกัน
ส่วนบทบาทของตัวละคร ในหนังก็เลือกเพิ่มบทบาทของบางคนขึ้นมา โดยเฉพาะ ไซโต้ ฮาจิเมะ แล้วยังมี เซอร์ไพร์ส ของตัวละครสำคัญอีกคนที่ได้กลับมาร่วมแจมในหนังภาคนี้ นั่นคือ โซจิโร่ ซึ่งในมังงะบทของเขาจะหมดไปตั้งแต่ศึกกับชิชิโอแล้ว ดังนั้นภาพรวมในการปรับบทและเนื้อหาของเรื่อง ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดคิดครับ
จุดน่าเสียดายก็มีอยู่ในแง่การปรับบทใหม่ เช่น นักแสดงยาฮิโกะ ที่ต้องเปลี่ยนตัวคนเล่น เพราะคนเดิมที่เล่นมาสามภาคโตเป็นวัยรุ่นแล้ว เลยต้องเปลี่ยนนักแสดงเพื่อให้ยาฮิโกะยังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งก็แทบจะไม่ได้มีบทอะไรในเรื่องมากนัก ถ้าเทียบกับต้นฉบับมังงะที่ยาฮิโกะเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่มีการเติบโตะและมีพัฒนาการเด่นชัดอย่างมาก แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะทีมสร้างหนังไม่ต้องการให้เรื่องราวโฟกัสหลายจุดเกินไป เพราะไม่งั้นหนังก็จะมียาฮิโกะเป็นตัวเอกอีกคนไปเลย ตัวหนังต้องการเน้นเรื่องปมหลังและการคลี่คลายความแค้น ความสำนึกผิดบาปของเคนชิน รวมถึงที่มาของแผลเป็นรูปกากบาทที่โคตรดราม่า (ซึ่งหนังทำฉากที่โทโมเอะทำให้เกิดแผลอีกอันทับแผลเดิมได้ดีและตราตรึงยิ่งกว่าในต้นฉบับมังงะซะอีก)
หนังยังมีการเปลี่ยนแปลงบทของตัวละครจนแตกต่างออกไปเลย เช่น บทของโจนักล่าดาบ ซึ่งในมังงะเขาจะกลับใจมาทำงานเป็นสายสืบของสันติบาลเต็มตัว แต่ในหนังกลับให้เขาเป็นสายสืบสองหน้าแทน แล้วบทก็หมดไปเท่านั้น หรือฉากต่อสู้ของตัวละครอื่นๆ ที่ถูกปรับใหม่จนแตกต่างจากต้นฉบับ แล้วคนดูอาจจะขัดใจอยู่บ้างในแง่ความเก่งของตัวละครต่างๆ มาดูกันว่าตัวไหนบ้างที่ถูกดันแล้วตัวไหนที่ถูกเนิร์ฟลง
บทใครถูกดัน
1.มิซาโอะ -ในต้นฉบับ บทของมิซาโอะในศึกสุดท้ายมีส่วนร่วมในฐานะนักสืบ แต่คาดการณ์ว่าส่วนหนึ่งอาจเพราะดาราสาว ทาโอ สึจิยะ กำลังมาแรง คือถ้าไปเล่นเรื่องอื่นเธอคือระดับนางเอกเลย แถมดูเหมือนคนดูจะชอบบทของมิซาโอะอยู่แล้ว ก็เลยเพิ่มบทต่อสู้ให้เธอไปเต็มๆเลย แต่อีกสาเหตุก็คือนักแสดงบทอาโอชิถูกมีคดีเรื่องสารเสพติด ก็เลยตัดบทออกแล้วมาเพิ่มบทมิซาโอะเป็นคนต่อสู้ในตอนท้ายเรื่องแทน ซึ่งก็ถือว่าเซอร์วิสตัวนักแสดงและแฟนคลับไปในตัวด้วย
2.ไซโต้ ฮาจิเมะ – คือเดิมทีนี่ก็เป็นตัวละครที่เก่งอันดับต้นๆ ของเรื่องอยู่แล้ว แต่อาจเพราะ ยูสูเกะ เองุจิ เป็นดาราดังรุ่นเก๋าของญี่ปุ่น จ้างแกมาทั้งทีก็ต้องใช้แกให้คุ้มหน่อย เลยให้บทแกได้มีแอร์ไทม์ฉากต่อสู้แบบเต็มๆ แถมไซโต้ ฮาจิเมะ ยังเป็นนักดาบฝีมือดีที่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์ ในฐานะอดีตหัวหน้าหน่วยของชินเซ็นกุมิ
3.โซจิโร่ – ในต้นฉบับไม่มีบทของโซจิโร่ในภาคนี้ แต่หนังคงต้องการเซอร์วิสแฟนๆ เลยจัดมาให้ แต่อุตส่าห์เอากลับมาแล้ว ที่แย่คือ หลังสู้จบก็หายไป ไม่พูดถึงอีก ถือว่าน่าเสียดายมากที่น่าจะมีการให้แกออกมาหลังสู้เสร็จซะหน่อย
บทใครถูกเนิร์ฟ
1.ซาโนสุเกะ – เป็นตัวละครที่ถูกลดความเก่งลงแบบน่าเกลียดมากๆ คือในต้นฉบับแกเป็นนักสู้แถวหน้า แต่ในหนังนี่เหมือนแกเป็นนักวิวาทที่ออกมารับบทกระสอบทราย แถมศัตรูที่จะต้องสู้กับแกในต้นฉบับ ในหนังกลับโดนเอาไปสู้กับไซโต้แทนอีก (ที่น่าขัดใจคือ ซาโนะไม่ควรจะแพ้เอนิชิยับเยินขนาดนั้นในหนัง)
2.ยาฮิโกะ – บทของบาฮิโกะจำเป็นต้องถูกเอาบทเด่นจากต้นฉบับออกไป เพราะไม่งั้นจะมีซัปพลอตเพิ่มมากเกินไป แต่ตรงนี้น่าเสียดายมาก เพราะในต้นฉบับมันคือบทที่จะเตรียมส่งไม้ต่อให้ยาฮิโกะที่ได้สืบทอดอุดมการณ์ปกป้องผู้คนมาจากเคนชิน
3.อาโอชิ – เป็นประเด็นดราม่าจากเรื่องภายนอก กล่าวคือตอนแรกเหมือนบทจะมาดีแล้ว ที่ให้เป็นตัวละครแนวหมกมุ่นกับการฆ่าแต่กลับใจมาเป็นปกป้องผู้คนจากเงามืด แต่พอโดนระเบิดจนบาดเจ็บแล้วหนังก็ไม่บอกอีกเลยว่าชะตากรรมแกเป็นยังไง อยู่หรือตาย ทีนี้มันมีข่าวออกมาภายหลังว่าสาเหตุที่ทีมงานต้องตัดบทอาโอชิออก เพราะนักแสดงบทนี้มีปัญหาถูกจับจากเรื่องการมีสารเสพติดในครอบครอง เลยส่งผลกระทบทำให้บทต่อสู้ในตอนท้ายเรื่องได้กลายเป็นของมิซาโอะไปแทน
ส่วนฉากต่อสู้สุดท้ายระหว่างเคนชินกับเอนิชิ ตัวหนังพยายามทำออกมาให้อลังการ จัดเต็มเท่าที่จะทำได้ มีการใส่ตัวละครให้เข้ามาตะลุมบอนกันเละเทะ ก่อนที่จะให้เคนชินเข้าไปดวลเดี่ยวกับเอนิชิ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับฉากต่อสู้กับชิชิโอในภาคที่แล้ว ฉากต่อสู้สุดท้ายกับเอนิชิก็ทำออกมาค่อนข้างดีเลย เพียงแต่ในแง่ของความเป็น “บอสใหญ่” เราก็ต้องยอมรับกันว่าตัวละครเอนิชิมีออร่าของความเป็นบอสน้อยกว่าชิชิโอพอสมควรมาตั้งแต่ต้นฉบับในมังงะแล้ว ซึ่งเท่าที่ตัวหนังพยายามปรับบทและครีเอทฉากต่อสู้ออกมาให้อลังการขนาดนี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากสมความคาดหวังคนดูแน่นอน เพียงแต่ในภาพรวมต้องยอมรับว่าฉากแอ็กชั่นกับเอนิชิที่เป็นบอสใหญ่ในภาคนี้อาจยังเทียบกับหนังภาคสาม The Legend Ends ไม่ได้เท่าไรนัก
ด้านทีมพากย์ไทย ก็มีนักพากย์จากทีมพันธมิตรมาร่วมพากย์ด้วยบางคน แต่ด้วยความที่งานพากย์ไทยของหนังภาคนี้เป็นงานของแอพ Netflix เลยน่าจะทำให้นักพากย์ไม่สามารถแทรกมุขตลกนอกบทเข้ามาได้แบบที่ทำกันมาในสามภาคแรก ตรงนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยไปในตัว ในแง่หนึ่งคือทำให้เรื่องมันแห้งแล้งมุกตลก และดูเครียดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่ข้อดีคือ มันทำให้เนื้อหาภาคนี้มีความจริงจังสมกับธีมของภาคนี้เช่นกัน และแทบไม่มีการพากย์นอกบทจนบางคนอาจจะรู้สึกรำคาญด้วย
สรุปภาพรวมแล้ว Rouroni Kenshin The Final นี่คือหนังบทสรุปของ ซามูไรพเนจร ที่เป็นมากกว่าแค่ Live Action แต่เป็นหนังแอ็กชั่นซามูไรแบบไฮสปีดความเร็วสูงที่ผู้ชมไม่ควรพลาด ต่อให้ไม่ใช่เป็นแฟนคลับของซามูไรพเนจรก็ตาม แล้วถือได้ว่าเป็นหนัง Live Action ที่ดีที่สุดตลอดกาลเลยก็ว่าได้สำหรับแฟนไชส์หนังชุดนี้รวมกันทุกภาค ซึ่งหนังภาคบทสรุปนี้สามารถรับชมได้เลยใน Netflix ความยาวหนัง 2.17 ชม.
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website