playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว FEAR STREET PART 1-2-3 ไตรภาคยำหนังสยองขวัญรุ่นพี่ (ไม่มีสปอยล์)

  • FEAR STREET 1994 - 6.5/10
    6.5/10
  • FEAR STREET 1978 - 5/10
    5/10
  • FEAR STREET 1666 - 7.5/10
    7.5/10

สรุป

FEAR STREET 1994 เป็นจุดเริ่มของหนังไตรภาคที่ใช้คอนเซ็ปต์ยำหนังสยองขวัญชื่อดังในอดีตไว้ด้วยกัน มีความพยายามแหวกกรอบสูตรเดิมนิดๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดีกว่าต้นฉบับที่ดึงมาสักเรื่อง เลยเป็นเพียงแค่หนังแนวนี้ทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ตอบโจทย์คอหนังแนวนี้ที่มักไม่คิดอะไรมากได้อยู่

FEAR STREET 1978 ภาคสองกลับมาเล่าเรื่องเดี่ยวของตัวละครที่เหมือนเจสันยาวๆ ทั้งเรื่อง มันเลยกลายเป็นงานก็อปเจสันแบบทื่อๆ ทั้งการเดินเรื่อง การฆ่า แต่ก็ไม่ได้โหดอะไรจริงเพราะมีตัดฉากข้ามฉากไปเยอะ ปูเรื่องตอนแรกก็นานมากกว่าจะถึงตรงนี้ แถมเนื้อเรื่องในปัจจุบันแทบไม่ได้ขยับไปไหนจากภาคแรกเลย เนื้อเรื่องจริงมีแค่กระจึ๋งเดียว ตัวละครภาคแรกโผล่มาแค่ตอนต้นกับตอนจบแล้วก็ทิ้งเรื่องไว้ไปต่อภาคสามแค่นั้น

FEAR STREET 1666 บทสรุปเรื่องราวที่ย้อนอดีตไปเคลียร์ปมทั้งอดีตกับปัจจุบันรวมถึงภาคสองได้อย่างหมดจรดจริงๆ ถือว่าตัวเรื่องพลิกกลับมาได้ดีมาก จนกลายเป็นหนังไตรภาคที่ควรดูต่อเนื่องกันให้เหมือนซีรีส์จะสมูธมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ข้อเสียของภาคสุดท้ายก็อาจจะเป็นฉากฆ่าโหดแทบไม่มีเลย เพราะตัวละครที่เหลือรอดสุดท้ายเป็นตัวหลักกันทั้งหมดแล้ว และบอสสุดท้ายก็ตายง่ายเกินจนไม่สะใจกับไคลแม็กซ์ของเรื่องนัก แต่มีเอนด์เครดิตทิ้งท้ายไว้ทำต่อได้อีก

Overall
6.3/10
6.3/10
Sending
User Review
4.2 (5 votes)

Pros

  • ยำหนังสยองขวัญในอดีตไว้ด้วยกันในเรื่องเดียว
  • เป็นหนังไตรภาคต่อเนื่องทุกอาทิตย์ (และพร้อมทำต่อไปได้อีก)
  • ภาค 3 เคลียร์ปมเรื่องราวได้หมดจรดแบบน่าประทับใจ

 

 

Cons

  • คอนเซ็ปต์ดี แต่บทแทบไม่มีอะไรแปลกใหม่ (ภาค 1-2)
  • ภาค 1 ใช้ตัวหน้ากากผีจากสครีมเยอะ แต่เป็นแนวเรื่องเหนือธรรมชาติเลยไม่มีลุ้นคาดเดาคนร้าย
  • ภาค 1 กลุ่มตัวเอกบทจะตายก็ตายกันง่ายๆ
  • ภาคสองก็อปเจสันมาทื่อๆ โดยไม่ได้มีอะไรครีเอทใหม่เลย
  • บอสสุดท้ายตายง่ายมาก

 

ADBRO

FEAR STREET ถนนอาถรรพ์ หนังสยองขวัญไตรภาคที่สร้างจากนิยายขายดีมาก่อนของ อาร์.แอล.สไตน์ ซึ่ง Netflix ซื้อสิทธิ์มาทำเป็นของตัวเองโดยตรง มีกำหนดฉายติดต่อกันในเดือนกรกฎาคม ทุกวันศุกร์เวลาบ่ายสอง

ถนนอาถรรพ์ ภาค 1: 1994 มีกำหนดออกฉายวันที่ 2 กรกฎาคม

ถนนอาถรรพ์ ภาค 2: 1978 มีกำหนดออกฉายวันที่ 9 กรกฎาคม

ถนนอาถรรพ์ ภาค 3: 1666 มีกำหนดออกฉายวันที่ 16 กรกฎาคม

 Fear Street Part 1: 1994 (2021) on IMDb

ตัวอย่าง FEAR STREET ถนนอาถรรพ์

ตัวนิยายดั้งเดิมของ อาร์.แอล.สไตน์ มีหลายเล่มมาก เปิดทางให้ทำต่อไปได้เรื่อยๆ

รีวิว FEAR STREET PART 1 1994 (ไม่สปอยล์)

ในภาคแรกคือเรื่องราวในปี 1994 เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งพบว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมสยองขวัญมากมายที่ตามหลอกหลอนคนทั้งเมืองเชดี้ไซด์มาหลายชั่วอายุคนทุกคดีอาจมีส่วนเกี่ยวพันกัน และพวกเขาเองอาจเป็นเป้าหมายรายต่อไป

เนื้อเรื่องมีเพียงเท่านี้สั้นๆ เพราะนี่คืองานยำหนังสยองขวัญเรื่องดังในอดีตมาไว้ด้วยกัน ที่กำกับโดย Leigh Janiak ผู้กำกับซีรีส์ Scream The Series โดยแต่ล่ะภาคจะเป็นการคาราวะผลงานสยองขวัญขึ้นหิ้งอย่าง Friday The 13th, Scream, Halloween Nightmare on Elm Street หลายๆ เรื่องมายำรวมกันทั้งฉากฆาตกรรม คอสตูมตัวร้ายของแต่ละเรื่อง แต่ไม่ใช่การเอามาตรงๆ ก็มีดัดแปลงไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งผู้ชมที่เคยดูหนังเหล่านี้มาก่อนก็คงนึกออกว่าตรงกับเรื่องไหน

ตัวเรื่องภาคแรกใช้ปี ค.ศ.1994 เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นตัวละครหลักชุดแรกที่จะมีคนรอดตายไปยังเรื่องต่อไป ซึ่งถ้าดูชื่อภาคอาจจะงงเพราะตัวเลขปีย้อนกลับไปเรื่อยๆ ห่างกันถึงหลายร้อยปีในภาคสุดท้าย ที่ทำต่อกันแบบนี้ได้เพราะภาคแรกเป็นตัวเปิดแฟ้มฆาตกรรมเรียกน้ำย่อยของเหล่าฆาตกรปีศาจจากคดีสยองขวัญในอดีตที่มีมาก่อนแล้วหลายสิบคดีมารวมกัน โดยมีปี 1666 เป็นจุดเริ่มของตำนานความสยองในเมืองที่มาจากแม่มดที่ถูกชาวเมืองฆ่าตาย แล้วทิ้งคำสาปไว้ก่อนตาย ทำให้เป็นตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่าคดีฆาตกรรมโหดในเมืองเกิดขึ้นเพราะคำสาปแม่มดตนนี้

ในฉากเปิดเรื่องภาคแรกประเดิมคอนเซ็ปต์ยำหนังรุ่นพี่ด้วยการนำฉากในสครีมคลาสสิกมาดัดแปลงให้คล้ายๆ กัน เริ่มจากมีโทรศัพท์ลึกลับเข้ามาหาหญิงสาว ก่อนที่จะมีฆาตกรใส่หน้ากากผีออกมาไล่เชือดจนตายไปหลายศพในห้าง แต่สครีมคือหนังสยองขวัญฆาตกรรมที่ต้องคาดเดาว่าคนร้ายเป็นใคร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ เพราะจบตอนเปิดเรื่องเราก็จะได้เห็นเลยว่าคนร้ายคือใคร ซึ่งก็เดาไม่ยากถ้าคนเคยดูสครีมมาก่อนคงนึกได้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย และในตอนแรกปิดฉากคนร้ายถูกยิงตาย แต่เรื่องกลับไปต่อด้วยแนวเหนือธรรมชาติว่าตัวคนร้ายนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ซึ่งจุดนี้แหละคือจุดเริ่มการยำตัวร้ายสยองขวัญในเรื่องอื่นๆ ตามมา ถ้าเป็นคอหนังแนวนี้ก็คงดูแบบเพลินๆ ได้ เพราะตัวเรื่องก็พยายามเอาฉากไล่ล่า ฉากฆ่า มุมกล้องเอกลักษณ์ต่างๆ ของแต่ละเรื่องมารวมไว้ในเรื่องเดียวกันเป็นยำรวมมิตร แต่ปัญหาคือเป็นการพยายามยำโดยไม่มีอะไรแปลกใหม่เพิ่มขึ้นมาเลย จนเรียกว่าต้นฉบับของแต่ละเรื่องที่หยิบมามีดีกว่าทั้งหมด ยิ่งในภาคนี้พยายามใช้ตัวฆาตกรหน้ากากผีจากสครีมมาเป็นตัวหลักไล่ฆ่ามากกว่าตัวอื่น (โดยมีตัวแบบเจสันตามมา) แต่เมื่อเรื่องเปิดตัวว่ามีคำสาปแม่มดนำหน้า ทุกตัวร้ายที่โผล่มาเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ การเอาสครีมมาใช้ก็เลยได้แค่การก็อปปี้มาเท่านั้น เพราะคนดูเองก็ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้วว่าหมอนี่เป็นใคร จะโผล่มาจากตรงไหนก็ได้เพราะเป็นผี ไม่ต้องมีเหตุผลหลักฐานยืนยันตัวตนแบบที่สครีมทุกภาคใช้ คือถ้าเทียบกันตรงๆ เรื่องนี้ไม่สามารถเทียบได้กับสครีมทุกภาคเลยดีกว่า แม้ภาคหลังๆ จะไม่ได้ดีมากตาม

แต่ FEAR STREET PART 1 1994 ก็มีความพยายามทำอะไรออกนอกกรอบอยู่บ้าง ซึ่งสูตรสำเร็จโครงสร้างหลักที่เป็นปัญหาของหนังแนวไล่เชือดนี้โดยปกติก็คือ ต้องมีตัวละครโง่ ทำอะไรโง่ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความพยายามให้กลุ่มตัวเอกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และมีการแหวกธรรมเนียมหนังแนวนี้ที่ต้องมีพระเอกนางเอก แล้วนางเอกรอดเสมอคนสุดท้าย แต่เรื่องนี้กลับมี “นางเอกสองคน” และเป็นคู่ขาเลสเบี้ยนเป็นตัวละครหลัก  Kiana Madeira เล่นเป็นดีน่า Olivia Scott Welch เล่นเป็นแซม (คนนี้พึ่งเล่นเป็นนางเอกในซีรีส์ panic ของ amazon prime มีเสน่ห์สวยน่ารักแบบบ้านๆ เหมาะกับบทแนวนี้มาก) โดยแอบใส่ปมปัญหาเลสเบียนสังคมครอบครัวไม่ยอมรับลงไปหน่อยเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของเน็ตฟลิกซ์ มีฉาก SEX นิดๆ แต่จุดอื่นๆ ก็ยังคงไว้แบบเดิม กับมีตัวละครที่เก่งรอบรู้เรื่องเรื่องราวของคดีในอดีต เป็นคนหาทางแก้ปัญหาให้คนในกลุ่มรอดตาย ซึ่งตัวเรื่องก็มีความพยายามจะหลุดกรอบโง่ๆ ที่ว่ามาได้ดีพอสมควร แม้จะมีฉากที่เรารู้เลยว่าแยกตัวไปคนเดียวแบบนี้ต้องเจอแน่ แต่ก็ยังแยกไป แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครที่แยกตัวออกไปต้องพบจุดจบ แค่ไปเจอแล้วฮึดสู้ได้ โดยทั้งกลุ่มที่มีกัน 5 คนก็ยังอยู่ครบจนท้ายๆ เรื่อง แต่พอไม่มีตัวละครหลักตายเลย (ก่อนนั้นมีแต่ตัวประกอบตาย) ผู้สร้างคงคิดว่าเดี๋ยวจะผิดสูตรมากไป บทตอนท้ายก็เลยพากันตายง่ายๆ โง่ๆ แบบเก่งมาทั้งเรื่องกลับมาตายเพื่อให้มีฉากฆ่าแบบคลาสสิกดั้งเดิมของตัวฆาตกรที่หยิบยืมมาเกิดขึ้นมาเท่านั้น อย่างถูกขวานจามหัวโดยไม่รู้ตัว โดนจับยัดใส่เครื่องหั่นเนื้อ ซึ่งก็เป็นความพยายามขายฉากแหวะส่งท้ายก่อนจบ แต่ก็ยังทำไม่ถึงใจเท่าต้นฉบับรุ่นพี่เก่าๆ อยู่ดี

และก็ตามสูตรอีกนั่นแหละที่หนังแนวนี้ต้องมีฉากปิดท้ายเผื่อทำภาคต่อ แต่เรื่องนี้คือก่อนดูเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีต่อ ฉากปิดท้ายตามสูตรก็เลยกลายเป็นฉากหักมุมนิดๆ ส่งต่อขึ้นเรื่องใหม่ไปยังภาคต่อไป โดยก็ยังคงตัวละครชุดแรกที่รอดได้ไปต่อภาคสอง พร้อมกับตัวละครใหม่มาทดแทนคนที่ตายไป และภาคต่อไปจะย้อนกลับไปปี 1978 เป็นคดีฆาตกรถือขวานไล่ฆ่าคนในแคมป์เด็กวัยรุ่น ก็คือเรื่องราวแนวเจสัน ศุกร์ 13 นั่นแหละครับ แต่ปัญหาก็คือเรื่องในภาคแรกนี้ได้เฉลยไว้หมดแล้วว่าใครรอดตายจากข่าวในอดีต ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าจะมีอะไรพลิกแพลงได้มากกว่านี้ครับ

 

รีวิว FEAR STREET PART 2 1978 (ไม่สปอยล์)

ภาคต่อที่เริ่มจากตอนจบภาคก่อน คนที่เหลือรอดจากภาคแรกได้มาหาผู้รอดตายจากแคมป์ไนท์วิงในปี 1978 เพื่อหาทางแก้คำสาปของแม่มดในเรื่อง ซึ่งเรื่องก็เล่าย้อนอดีตกลับไปในยุคนั้นจากปากคำของ ซี.เบอร์แมน ตัวละครหลักของเรื่องในภาคนี้

ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องจากภาคแรกที่เป็นการยำหนังสยองขวัญชื่อดังในอดีตอาจจะดูสดใหม่บ้าง เพราะมีตัวละครโรคจิตหลายๆ ตัวมารวมกัน แต่พอมาภาคสองกลับมาเล่าเรื่องเดี่ยวของตัวละครที่เหมือนเจสัน มันเลยกลายเป็นงานก็อปเจสันที่น่าเบื่อมาก เพราะตั้งแต่สตาร์ทเรื่องให้ตัวละครจากภาคแรกมาหาทางแก้คำสาป คนดูก็คงหวังว่าจะมีอะไรคืบหน้าบ้าง หรือมีการตัดสลับเล่าเรื่องในอดีตกับปัจจุบันให้เรื่องเดินหน้าไปบ้าง แต่เปล่าเลย ตัวละครจากภาคแรกโผล่มาไม่ถึง 3 นาทีในตอนต้น ตัวเรื่องก็เล่าย้อนอดีตกลับไปยาวๆๆ แถมเป็นความยาวที่ค่อนข้างน่าเบื่อด้วย ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าว่ามีคนรอดตายคือใคร แต่เรื่องก็ยังพยายามเล่าให้เป็นจุดกำเนิดของตัวนักฆ่าแบบเจสัน ซึ่งก็ไม่มีอะไรใหม่เพราะเรารู้แล้วว่ามาจากคำสาปแม่มดแบบที่ภาคแรกก็เฉลยไว้หมดแล้วนั่นแหละ แถมชั่วโมงแรกของเรื่องยังมีแต่เรื่องในแคมป์แบบเด็กเกเร เล่นยา มี SEX อะไรไปวันๆ มีความพยายามจะปูดราม่าความสัมพันธ์ของตัวละครในภาคนี้ใหม่ แต่คือเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีคนรอดตายเพียงคนเดียว ซึ่งหนังไม่ฉลาดเลยถ้าจะเล่าย้อนแบบนี้แล้วยังจะเสียเวลาไปเกือบชั่วโมงกับการปูความสัมพันธ์ดราม่าระหว่างเพื่อน พี่น้อง คนรัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายหมดในตอนจบ เป็นการปูที่เสียเวลาแถมไม่ช่วยทำให้คนอินอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าถ้าใครอยากดูไวๆ ก็ข้ามไปหลังนาทีที่ 40 ไปได้เลย เพราะเรื่องของตัวเจสันพึ่งมาเริ่มตรงนั้น

ภาคนี้ได้น้องแม็กจาก stranger things มาเล่นเป็นตัวเอกของเรื่อง (คนขวา)

หลังจากตัวฆาตกรออกมาไล่ฆ่า ผู้ชมแนวนี้อาจจะหวังขอแค่ฉากโหดๆ ของหนังแนวนี้ แต่เรื่องนี้กลับมีฉากฆ่าให้เห็นแค่เฉพาะตัวละครผู้ใหญ่ที่ดูโหด ส่วนของเด็กโดนฆ่าไม่ปิดไฟมืดก็ตัดฉากไปไม่ให้เห็นอะไรเลย แล้วฉากไล่ฆ่าของภาคนี้ก็ไม่มีกึ๋นการไล่ล่าต่อสู้อะไรเลย ผู้สร้างอาจจะอยากเคารพต้นฉบับเจสันที่เป็นหนังแนวไล่ฆ่าไร้เหตุผลมันก็ใช่ แต่กับเรื่องนี้เป็นความพยายามก็อปมาเฉยๆ ไม่มีครีเอทอะไรใหม่เลย แถมยังใส่เหตุการณ์ยัดเยียดเลียนแบบด้วยการใส่ถุงกระสอบคลุมหัวแทนหน้ากากฮ็อกกี้แบบงี่เง่ามากๆ ด้วย (งี่เง่าขนาดไหนต้องลองดูกันเอาเอง) ซึ่งบอกเลยว่าทั้งเรื่องแทบไม่มีอะไรเลยจริงๆ แถมที่บอกว่าแคมป์เด็กมีคนรอดตายเพียงคนเดียวก็ไม่จริง ตกลงในเรื่องก็ฆ่าไปไม่กี่คน ที่เหลือหนีขึ้นรถบัสไปได้หมด กลายเป็นเหมือนเรื่องเล่าหลอกคนดูให้คิดว่ามีฉากฆ่าเด็กยกแคมป์อะไรแบบนั้น และสำหรับคนที่คิดว่าภาคนี้อาจจะได้เห็นการยำตัวร้ายนักฆ่าแบบภาคแรก ก็ต้องบอกว่ามีเหมือนไม่มี เพราะตัวร้ายพวกนั้นโผล่มานิดเดียวตอนใกล้จบแล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญเลยด้วยซ้ำ

ตัวหนังมีเนื้อเรื่องคืบหน้านิดนึงด้วยการเล่าที่มาของมือแม่มดที่ถูกตัดไป และวิธีการแก้คำสาปอีกนิดหน่อยในช่วงย้อนอดีต ก่อนจะจบเรื่องเล่าและกลับมาปัจจุบันในตอนจบของหนัง ซึ่งก็มีต่ออีกนิดเดียวจริงๆ ว่าเป็นช่วงที่ตัวละครปัจจุบันกำลังจะแก้คำสาป แต่ก็ถูกดึงย้อนไปยังปี 1666 ซึ่งเป็นตอนจบของไตรภาคนี้ โดยตัวเรื่องไม่ได้ใช้ตัวละครใหม่อีกแล้ว แต่ใช้ตัวละครทั้งสองภาคมาแต่งหน้าแต่งตัวย้อนยุคเล่นในภาค 3 เหมือนเป็นแนวระลึกอดีตชาติภพของคนในเมืองนี้ ซึ่งก็ต้องดูว่าใช่หรือไม่ หรือแค่การประหยัดงบใช้นักแสดงเดิมมาเล่นเท่านั้น

รีวิว FEAR STREET PART 3 1666 (ไม่สปอยล์)

ตัวร้ายที่เห็นมาตลอดกลับไม่ใช่ฆาตกรไล่ฆ่าอะไรมาก บทมีนิดเดียวในภาคนี้แล้วก็ตัดจบไปเลย

ภาค 3 ที่เริ่มด้วยการย้อนอดีตไปปี 1666 หาต้นตอที่มาของตำนานแม่มดซาร่าเฟียร์ โดยมีความเก๋ตรงใช้ตัวละครจากภาคแรกกับภาคสองมารวมกันเป็นตัวละครย้อนอดีตของผู้คนในเมืองนี้ อารมณ์เหมือนระลึกชาติกลับไป โดยเฉพาะปมของคู่รักเลสเบี้ยนที่เป็นตัวเอกของภาคแรก ก็มาโผล่อีกครั้งในยุคสมัยก่อนที่ความเชื่อเรื่องศาสนาแบบงมงายยังมีอิทธิพลอยู่มาก และก็เป็นปมสำคัญของช่วงย้อนอดีต เมื่อความสัมพันธ์แบบนี้ถูกตั้งข้อหารุนแรงว่าเป็นคนบาป แม่มด การที่ผู้หญิงมีอะไรด้วยกันเป็นการชักนำความชั่วร้ายมาสู่ชุมชน จนกลายเป็นเหตุให้เกิดการล่าแม่มดที่กลายมาเป็นตำนานซาร่าเฟียร์ในเวลาต่อมา แต่เรื่องก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงแบบทื่อๆ ยังมีอะไรที่มากกว่านั้นซ่อนอยู่ ซึ่งถือว่าคนเขียนบทหรือต้นเรื่องนี้ฉบับนิยายวางพล็อตที่มาที่ไปของตำนานได้ดีเลย แต่ภาคนี้ไม่ถึงกับมีตัวร้ายไล่ฆ่าแบบภาคก่อนๆ เพราะเนื้อเรื่องโฟกัสไปที่อารมณ์ความน่ากลัวจากการล่าแม่มดในอดีต กลายเป็นตอนจบของเรื่องที่ชวนหดหู่รันทดพอสมควร

เนื้อเรื่องย้อนอดีตใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มก่อนที่จะตัดเชื่อมโยงย้อนกลับไปเล่นเรื่องปัจจุบันต่อ โดยขึ้นบทใหม่เป็นพาร์ท 2 ของปี 1994 ตัวเอกที่เหลือรอดทั้งหมดได้รู้ความจริงของเรื่องราว ก่อนจะวางแผนจัดการปิดตำนานคำสาปนี้ให้สิ้นซาก ซึ่งตัวเรื่องก็หวนกลับไปยังห้างสรรพสินค้าที่เคยใช้ในภาคแรกอีกครั้ง และก็ยังใช้มุกเดิมในการล่อพวกตัวร้ายฆาตกรต่างๆ ออกมา อาจจะดูง่ายไปนิด แต่เอาจริงๆ เรื่องก็ไม่ได้มาในสยองขวัญเต็มๆ สักเท่าไหร่แต่แรกอยู่แล้ว ภาคนี้เลยเหมือนพวกแนวผจญภัยอย่างสเตรนเจอร์ ธิงส์ มากกว่า ซึ่งมาในสูตรแผนการแบบเด็กๆ แต่ได้ผล ซึ่งถ้าใครหวังแนวไล่เชือดเข้มๆ อะไรนี่ไม่มี อาจจะดูน่าผิดหวังตรงส่วนนี้บ้าง แต่ตัวเรื่องก็หันมาทดแทนด้วยการให้ตัวร้ายที่ออกมาได้สู้กันเอง กลายเป็นแนวแบบพวก เจสัน vs เฟรดดี้ อะไรแบบนั้น ซึ่งก็สนุกไปอีกแบบ (แอบขำๆ ด้วย) แต่บอสสุดท้ายกลับอ่อนตายง่ายไปหน่อย ทั้งๆ ที่ปูมาเป็นตำนานขนาดนี้ แอบผิดหวังกับฉากไคลแม็กซ์สุดท้ายอยู่พอสมควร แล้วก็ดูยัดเยียดตอนจบให้ตัวร้ายโดยไม่สมเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองข้ามไปว่าหนังสยองขวัญไล่เชือดไม่ต้องมีตรงนี้ชัดเจนก็เข้าใจได้

สิ่งที่ดีสุดของภาคนี้คือการไล่เคลียร์เรื่องราวทั้งหมดแบบหมดจรดจริงๆ บางปมเหมือนไม่ได้เป็นปมในภาคก่อนๆ แต่พอเรื่องย้อนอดีตแล้วเอามาเหตุการณ์อีกรูปแบบมาให้เห็น ทำให้เรื่องดูเชื่อมต่อกันในทันที ทั้งตัวละครจากภาคสองก็มีบทบาทสำคัญมากในภาคสุดท้ายด้วย เป็นการเย็บเชื่อมต่อ 2 ภาคแรกเข้ากับภาค 3 ได้แบบเนียนกริบ อันนี้ต้องชมการเขียนบทเรื่องนี้จริงๆ แต่ถ้าหนังเรื่องนี้เป็นซีรีส์ ความเนียนต่อเนื่องมันจะสมูธกว่ามาก อันนี้ละไว้ด้วยความเข้าใจว่าผู้สร้างต้องการสไตล์หนังไตรภาคขายมากกว่า เพื่อการโปรโมทตัวเลขภาคก็ด้วย ถ้าเป็นซีรีส์มันจะไม่น่าสนใจเท่านี้

ผลงานไตรภาคนี้แม้เคลียร์เรื่องได้หมดจรดแล้วก็ตาม แต่ตามสูตรหนังสยองขวัญมันต้องทิ้งเชื้อไว้เสมอ ซึ่งตอนเอนด์เครดิตเราก็จะได้เห็นเชื้อที่ทิ้งไว้ ซึ่งโอเคเลย และตัวคนสร้างเองก็หวังว่าจะได้แตกไลน์ทำเรื่องราวแยกจากนิยายที่มีเกิน 100 เล่มไปแล้ว (ดูรายชื่อทั้งหมดจากวิกิ) เรียกว่าเป็นวัตถุดิบมหาศาลทำยังไงก็ไม่หมดแน่นอนครับ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!