รีวิว THE TOMORROW WAR แอ็กชั่นไซไฟถล่มเอเลี่ยนที่มันส์สุดๆ ไม่แพ้ Edge of Tomorrow (ไม่มีสปอยล์)
THE TOMORROW WAR
สรุป
หนังแอ็กชั่นไซไฟถล่มเอเลี่ยนที่มันส์โคตรๆ เป็นความบันเทิงในระดับสุดยอดของสตรีมมิ่งบน Amazon Prime เลย แม้เรื่องอาจจะดูพล็อตโหลเหมือนยำหลายเรื่องเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะความเหมือน Edge of Tomorrow แต่ก็ยังการันตีได้ว่าสนุกมันส์ไม่แพ้กัน และไม่ใช่แค่แอ็กชั่น แต่ตัวเรื่องก็มีการผูกปมดราม่ากับเส้นเวลาในแบบของตัวเอง อาจจะไม่ใหม่ แต่ก็ทำให้ตัวหนังมีอะไรดีๆ มากกว่าฉากบู๊ล้างผลาญแบบที่เห็นอีกด้วย
อัพเดท ตอนนี้ทางอเมซอนประกาศทำภาคต่อแล้วครับกับทีมงานเดิมทั้งหมด
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากแอ็กชั่นจัดเต็มแบบพีคแล้วพีคอีก
- เอเลี่ยนสุดโหดแถมมาเป็นฝูงแบบซอมบี้
- สอดแทรกปมดราม่าครอบครัวได้ดี
- ตัวเรื่องมีปมเล็กๆ น้อยๆ สอดแทรกหลายอย่าง แล้วก็เก็บเคลียร์ได้หมดจรด
- ตัวละครทุกตัวมีประโยชน์กับเรื่องหมด
- มีการจำลองสถานการณ์เลวร้ายในสังคมเทียบเคียงกับสงครามจริงในโลก
Cons
- ความเหมือน Edge of Tomorrow กับหลายๆ เรื่องอาจจะดูโหลๆ ไปบ้าง
- พวกทฤษฎีกับเหตุผลในเรื่องอาจจะไม่สมเหตุผลอยู่บ้าง
THE TOMORROW WAR สงครามแห่งอนาคต หนังแอ็กชั่นไซไฟถล่มเอเลี่ยนฟอร์มยักษ์ที่มาลงใน Amazon Prime พร้อมกับความมันส์ที่การันตีได้ระดับหนังบล็อกบัสเตอร์ของฮอลลีวูด โดยมี Chris Pratt นำแสดง
ตัวอย่าง THE TOMORROW WAR สงครามแห่งอนาคต
ทหารในอนาคตเดินทางข้ามเวลามาจากปี 2051 เพื่อบอกข้อความเร่งด่วน อนาคตในอีก 30 ปี มนุษยชาติกำลังจะพ่ายแพ้สงครามในการสู้กับเอเลี่ยน จนประชากรบนโลกเหลือเพียงแค่ 5 แสนคนความหวังเดียวในการรอดชีวิตคือการส่งทหารและพลเรือนไปอนาคตเพื่อร่วมต่อสู้ ตัวเอก แดน ฟอเรสเตอร์ อดีตทหารผ่านศึกจากอิรักถูกเกณฑ์เข้าร่วมรบในศึกแห่งอนาคต ก่อนจะพบความลับบางอย่างที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะหยุดสงครามครั้งนี้ได้
หนังแอ็กชั่นไซไฟจากค่าย Paramount Pictures ทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญที่ Amazon ทุ่มทุนซื้อมาลงในระบบเป็น exclusive amazon prime เจ้าเดียว ซึ่งหลังจากรับชมก็ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก นี่เป็นงานสร้างหนังแอ็กชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์ที่ไม่ค่อยมีบ่อยนัก มีความคล้าย Edge of Tomorrow หนังปี 2014 ของทอมครูสที่เล่นกับเรื่องลูปเวลาในช่วงเอเลี่ยนบุกถล่มโลก แต่เรื่องนี้คือการย้อนเวลามาจากอนาคต แล้วก็บู๊ถล่มเอเลี่ยนในแบบเดียวกัน พร้อมยังคงมีปมเรื่องเส้นเวลาเป็นกุญแจสำคัญในการจบสงครามครั้งนี้เหมือนกันอีกด้วย
อาจจะเรียกว่าได้แรงบันดาลใจมาก็ได้ เพราะโครงเรื่องเอเลี่ยนถล่มโลกยับแล้วมีตัวเอกเป็นกุญแจหยุดยั้งสงครามเหมือนกันมากจริงๆ แต่ว่าพอดูในรายละเอียดของเรื่อง แม้พล็อตเรื่องย่อจะดูโหลๆ แบบใครอ่านก็เดาได้ แต่เนื้อเรื่องจริงๆ เมื่อเริ่มสตาร์ทจากจุดตอนแรกที่เปิดมาเพียงไม่กี่นาทีก็มีเหตุการณ์ที่ทหารจากอนาคตย้อนเวลามาปรากฎต่อสายตาชาวโลก ผ่านการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก จนทำให้ทั่วโลกต้องหยุดทุกอย่างและหันมาร่วมใจเกณฑ์ทหารไปรบในสงครามแห่งอนาคต แต่เรื่องกลับไม่ได้ให้พระเอกต้องกระเหี้ยนกระหือไปรบในทันทีอย่างที่คิด แม้จะมีเกริ่นนำแล้วว่าเขาคือผู้นำอดีตทหารผ่านศึกอิรักที่มีฝีมือเลยก็ตาม
ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเนื้อเรื่องกลับเลือกปูพื้นความสัมพันธ์ครอบครัวพระเอกกับลูกสาว “มูริ” ที่เธอเป็นเด็กวิทย์ตัวน้อยที่รู้ว่าพ่อต้องจากไป กับอีกเรื่องคือพ่อของแดน ที่แดนเองไม่เคยเอ่ยถึงให้ลูกรู้ว่ามีปู่คนนี้อยู่ โดยที่พ่อของแดนเป็นวิศวะที่ต่อต้านรัฐบาล เลือกเฟดตัวเองออกมาใช้ชีวิตลับๆ ซึ่งการปูเรื่องไปที่สองคนนี้เป็นพิเศษทำให้คนดูรู้เลยว่า หนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าฉากแอ็กชั่นยิงถล่มเอเลี่ยนแน่ๆ
นอกจากนี้ในช่วงแรกเรื่องยังพยายามจำลองความเป็นไปได้ของสถานการณ์จริงถ้าเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา UN จะเป็นยังไง อเมริกาและประเทศอื่นๆ จะมีท่าทียังไง สังคมที่จู่ๆ มีคนถูกส่งไปตายอย่างสิ้นหวังเรื่อยๆ จะเกิดอะไร (ในเรื่องคือผ่านมา 1 ปีแล้วจากจุดแรก) ซึ่งก็คือการจำลองช่วงยุคสงครามจริงๆ เหมือนสมัยสงครามเวียดนามที่ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลส่งคนหนุ่มสาวไปตายในสงครามที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ในกรณีของเรื่องนี้ก็คือสงครามในอนาคตอีก 30 ปีที่ยังมาไม่ถึง แม้จะมีข้ออ้างว่าสู้เพื่ออนาคตลูกหลานของตัวเอง แต่สังคมในปัจจุบันกลับใกล้ล่มสลายก่อนเวลาที่เอเลี่ยนจะมาบุกโลก ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนไปถึงนักศึกษาในชั้นเรียนของแดนเองที่หมดหวัง ไม่มีใครอยากเรียนต่ออีกแล้วเพราะรู้ว่าโลกในอนาคตใกล้ดับสูญ ซึ่งพาร์ทเสริมเหล่านี้เองที่หนังสอดแทรกไว้ในช่วงแรกแบบมีนัยยะสำคัญ และจะนำมันกลับมาใช้ในช่วงองค์สุดท้ายของเรื่องอีกครั้ง
แม้หนังจะใช้เวลาปูหลายอย่างนานถึงเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะข้ามเวลาไปอนาคต แต่พอเข้าเรื่องส่วนนี้ตัวเรื่องก็จุดติดเดินเครื่องแบบแทบไม่แตะเบรค เข้าสู่โลกช่วงหายนะท้ายสงครามเอเลี่ยนทันที แต่ก็ยังพยายามปิดบังโฉมหน้าเอเลี่ยนในเรื่องไว้อีกสักพัก ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่มีฉากไหนให้เห็นตัวจะๆ เลย (มีแต่ไกลลิบๆ) ซึ่งจุดนี้ถูกอธิบายเหตุผลไว้ในช่วงแรกว่า ถ้าสังคมในปัจจุบันได้เห็นเจ้านี่จะไม่มีใครยอมเป็นทหารเกณฑ์มารบแน่ๆ ซึ่งการปิดบังหน้าเอเลี่ยนก็ทำให้คนดูเองรู้สึกอึดอัดกับการเห็นทีละนิดๆ ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วจะร้ายกาจขนาดถล่มโลกแบบนี้ได้จริงๆ หรือ ซึ่งพอตัวเรื่องเปิดให้เห็นเราก็เข้าใจในทันทีว่า เอเลี่ยนในเรื่องนี้โหดจริงๆ ในระดับเดียวกับมิมิค Edge of Tomorrow แต่มาในชื่อ White Spike (ไวท์สไปก์ เดือยแหลมสีขาว ชื่อมาจากตัวเอเลี่ยนในเรื่องยิงเดือยแหลมมาเป็นอาวุธระยะไกลได้) และก็มาเป็นฝูงนรกมหาศาลแบบเดียวกัน (ให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นซอมบี้ world war z ในบางฉากอีกด้วย)
ซึ่งพอเรื่องเผยให้เห็นเอเลี่ยนนี้แล้วก็ได้เวลาจัดเต็มฉากแอ็กชั่นระดับหนังบล็อกบัสเตอร์กันจริงๆ ในชั่วโมงแรก แอ็กชั่นที่เรียกว่าลุ้นต่อเนื่องกันขนาดลืมหายใจได้เลย แถมยังแค่ครึ่งเรื่อง ฉากแอ็กชั่นหลังจากนี้ก็มีตามมาติดๆ มีไปบุกรังเอเลี่ยนในป่า มีฉากฝูงเอเลี่ยนมารุมถล่มฐานที่ตั้งเครื่องย้อนเวลาในทะเล ซึ่งแต่ละฉากจัดเต็มกันในระดับพีคแล้วพีคอีกไม่มีหยุด โดยมีความโหดเลือดสาด ตัวขาด ชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์หลุดว่อนกันตลอด แต่ก็ไม่อุจาดเพราะแค่เห็นแวบๆ แค่นั้น
ในระหว่างที่ฉากแอ็กชั่นใส่กันมาตูมๆ แบบไม่ยั้ง ตัวเรื่องก็มีช่วงคั่นพักสั้นๆ เป็นดราม่าของพระเอกกับผู้พันทหารหญิงที่นำรบในครั้งนี้ และก็เกี่ยวกับปมเส้นเวลาของเรื่องที่จะเป็นกุญแจสำคัญหยุดยั้งสงคราม ซึ่งคนดูคงคาดเดาได้บ้าง เพราะพล็อตแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่ซะทีเดียว แต่ในความโหลของพล็อตตรงนี้สิ่งที่ดีๆ ก็คือการที่เรื่องผูกปมเคลียร์ปมทุกอย่างได้หมดจรดทุกรายละเอียด ตั้งแต่ที่มาของเอเลี่ยนว่ามาจากไหน การหยุดยั้งสงครามนี้ต้องทำอย่างไร การเดินทางข้ามเวลาของพระเอกใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ รวมถึงปมดราม่าครอบครัวของพระเอกที่คริสก็เล่นได้ดีกับลูกสาวตัวน้อย ไปจนถึงตัวเพื่อนร่วมทีมที่เป็นบทสมทบช่วงตอนรบก็ยังนำใช้เป็นทีมสำคัญที่จะส่งไปถึงองค์สุดท้ายของเรื่อง ที่ต้องบอกเลยว่า ใครที่คิดว่าเรื่องนี้จบลงในยุคอนาคตนี่ไม่ใช่เลย เพราะหนังเรื่องนี้มีช่วงจบ 2 ก็อก อนาคตกับปัจจุบัน ที่ตัวเรื่องในองค์สุดท้ายคือการกลับมาแก้ไขปัญหาในสังคมที่ใกล้ล่มสลายก่อนเอเลี่ยนบุกด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวเรื่องแม้จะสเกลแอ็กชั่นเล็กลงจากในอนาคต แต่ว่าก็เป็นความระทึกอีกแนวในแบบเอเลี่ยน 2 หรือแอบคล้ายๆ The Thing (ไอ้ตัวเขมือบโลก) อยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความสนุกมันส์ปิดท้ายเรื่องไปอีกแบบ ได้ไม่แพ้ฉากฝูงเอเลี่ยนถล่มในอนาคตเลย
ตัวเรื่องต้องบอกว่าโคตรมันส์และดูเพลินสนุกมากๆ (จนแอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลงโรงให้คนดูในวงกว้างมากกว่านี้) บอกตรงๆ ว่าถ้าให้คิดข้อเสียหรือจุดด้อยของเรื่องหลักๆ คงมีแค่ การที่เรื่องมีความคล้ายหนังดังหลายๆ เรื่องแบบหยิบยืมนั่นนี่มาผสมกันเท่านั้น จนดูแอบโหลแล้วก็เดาเรื่องได้ไม่ยาก ซึ่งถ้าใครได้ดู Edge of Tomorrow ก็คงรู้สึกได้เลยถึงความเหมือน แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าชอบ Edge แล้วรอภาคสองอยู่ เรื่องนี้ก็คือทดแทนกันได้เลย
อีกจุดที่รองลงมาคือพวกเหตุผลกับทฤษฎีเส้นเวลาต่างๆ อาจจะไม่ได้เน้นนัก คือตัวเรื่องก็พยายามอธิบายหลายๆ อย่างให้มีเหตุผล แต่มันก็ยังพอช่องโหว่ให้ถกเถียงกันอยู่บ้าง รวมถึงสถานการณ์ในช่วงท้ายเรื่องที่แอบจิกกัดอเมริกากับรัสเซียรวมถึง UN ด้วย มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือไปหน่อยว่าประเทศมหาอำนาจของโลกในช่วงเวลาคับขันระดับสิ้นโลกนี้ยังดูงี่เง่าเกินไปหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก มันก็คือเรื่องแบบเดิมๆ ที่หนังแนววันสิ้นโลกใช้กัน ที่ให้ตัวเอกได้โอกาสช่วยโลกด้วยตัวเองมากกว่าไปพึ่งรัฐบาลเหล่านี้
การมาลงสตรีมมิ่งของ THE TOMORROW WAR บอกเลยว่านี่คือความบันเทิงที่รู้สึกว่าคุ้มสุดๆ ตั้งแต่ดู Amazon Prime มาเลย ไม่ว่ายังไงก็ห้ามพลาด เพราะไม่ได้มีบ่อยนักที่หนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้จะมาลงในสตรีมมิ่งได้ รวมถึงภาพก็จัดเต็มแบบ 4K 2.39 : 1 (แต่ต้องดูในอุปกรณ์ที่รองรับ) อีกด้วยครับ