playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Chernobyl 1986 Netflix หนังเชอร์โนบิลเวอร์ชั่นรัสเซียที่เทียบของ HBO ไม่ได้เลย

สรุป

นี่คือหนังรัสเซีย ดราม่าโรมานซ์+โฆษณาชวนเชื่อ เชิดชูวีรกรรมนักดับเพลิงชาวรัสเซียในเหตุการณ์เชอร์โนบิล ซึ่งหนังเทียบกับมินิซีรีส์ฉบับของ HBO ไม่ได้เลย

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
3 (2 votes)

Pros

  • ถ้ามองว่านี่เป็นหนังรักดราม่า+ภัยพิบัติ ก็ถือว่าทำได้ดีระดับหนึ่ง
  • โปรดักชั่น งานสร้าง ค่อนข้างดี

Cons

  • การเล่าเรื่องแย่ ช้า ฉากไม่จำเป็นเยอะ
  • มันคือหนังรักดราม่ามากกว่าหนังเล่าเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิล
  • เทียบกับหนังเชอร์โนบิลของ HBO ไม่ได้เลย
  • นำเสนอภาพสังคมโซเวียตปลายยุค 80s ได้ดูขัดตาจาก ทำให้มีความเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อ

ADBRO

Chernobyl 1986 Netflix รีวิว หนังเชิดชูวีรกรรมของพนักงานดับเพลิงและอาสาสมัครที่เชอร์โนบิล แต่ไม่พูดถึงความรับผิดชอบและความผิดของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ มีความเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อ + โรมานซ์ มากกว่าจะตีแผ่เรื่องปัญหาการระเบิดและแง่มุมอื่นๆ

หนังเรื่องนี้สร้างโดยรัสเซีย มีแนวทางการเล่าเรื่องที่แตกต่างจาก มินิซีรีส์ Chernobyl ของ HBO อย่างฟ้ากับเหว ซึ่งเรื่องนี้จะแฝงการโฆษณาชวนเชื่อเข้ามาด้วย ดังนั้นใครที่ดูเวอร์ชั่นของ HBO มาแล้วคาดหวังว่าจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆหรือข้อมูลจริงอีกด้านในเหตุการณ์นั้นอาจจะผิดหวังอย่างแรง เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องราวน้ำเน่าดราม่าของตัวละคร

แต่ถ้าใครอยากลิ้มลองหนังรัสเซีย ตัวหนังมีความยาว 2.15 นาที เข้าฉายที่รัสเซียแล้ว Neflix ซื้อเข้ามาฉายในตรีม สามารถดูได้เลย

 Chernobyl: Abyss (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Chernobyl : Abyss 1986 Trailer

Chernobyl 1986Chernobyl : Abyss 1986 เรื่องย่อ

ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ทางช่อง HBO ได้ฉายมินิซีรีส์เรื่อง Chernobyl ความยาวเพียง 5 ตอนจบ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวการระเบิดของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ “เชอร์โนบิล” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นจริงในปี ค.ศ. 1986 ในยุคสมัยที่รัสเซียยังเป็น สหภาพโซเวียต และสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกากำลังขึ้นถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะถึงคราวยุติลง โดยที่หลายฝ่ายมองว่า เหตุการณ์ระเบิดที่เชอร์โนบิลคือชนวนเร่งในการแตกสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นการยุติของสงครามเย็นระหว่างสองชาติมหาอำนาจที่ได้ดำเนินมานานกว่า 4 ทศวรรษให้จบลง

ตัวหนังจะบอกเล่าผ่านมุมมองของ อเล็กเซ นักดับเพลิงหนุ่มที่ได้กลับมาเจอกับคนรักเก่าคือ โอลยา ซึ่งเขาได้พบว่าเธอมีลูกที่เกิดมาจากเขาแต่ไม่ได้บอกมาหลายปี นั่นทำให้อเล็กเซคิดที่จะแก้ตัวแล้วขอใช้ชีวิตดูแลเธอและลูก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดเหตุการณ์ระเบิดที่โรงงานนิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล โดยที่ลูกชายของพวกเขาเห็นเหตุการณ์ระเบิดและได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี ในขณะที่กลุ่มนักดับเพลิงที่เป็นเหล่าสหายของเขาก็ต้องไปทำภารกิจเสี่ยงตายจากคำสั่งของรัฐบาลที่ต้องระดมกำลังคนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดยับยั้งไม่ให้การระเบิดมันส่งผลกระทบไปทั่วประเทศและไม่ให้ไปถึงทวีปยุโรป ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจที่มีตั๋วเพียงใบเดียวในการไปเท่านั้น

Chernobyl 1986 Netflix รีวิว

หนังอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของเชอร์โนบิลที่คราวนี้สร้างโดยรัสเซียแท้ๆ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์มาก่อน แล้วทาง Netflix จึงซื้อเข้ามาฉายต่อ โปรดักชั่นงานสร้างเรียกว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่นั่นน่าจะเป็นข้อดีเพียงไม่กี่อย่างของหนังเรื่องนี้

สำหรับเเรื่องการะเบิดที่เชอร์โนบิล เป็นการสะท้อนสภาพของบริบททางสังคมหลายอย่างในยุคนั้น ทั้งความล้มเหลวของระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม การรวมอำนาจเอาไว้ที่ส่วนกลางโดยปราศจากระบบตรวจสอบและถ่วงดุลที่ดี แล้วยังสะท้อนลักษณะร่วมบางอย่างทางสังคมของโซเวียตและชาติที่ปกครองด้วยสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ นั่นคือการไม่พูดความจริง การปกปิดข้อมูล การอวยผู้นำ การห้ามคิดต่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมกว่า หรือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนหมู่มาก แต่คุณไม่สามารถทำหรือพูดในสิ่งที่ขัดกับผู้นำหรือผู้ปกครองของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เพราะหากทำเช่นนั้นคุณจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขายชาติ ต้องถูกโจมตี ถูกลงโทษ เนรเทศ หรือร้ายแรงที่สุดคือถูกยิงเป้า

Chernobyl 1986

จุดด้อยที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือ การที่หนังราวกับต้องการเลี่ยงที่จะไม่นำเสนอในส่วนของ “ความรับผิดชอบของรัฐบาลโซเวียตในสมัยนั้น” แต่ไปเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพนักงานดับเพลิง และนำเสนอเรื่องราวแบบ Soap Drama เชิดชูวีรกรรมของพนักงานดับเพลิงและเจ้าหน้าที่อาสาซึ่งต้องยอมเสี่ยงชีวิตไปทำภารกิจในการยับยั้งไม่ให้เหตุระเบิดของโรงงานหนักไปกว่านั้น ซึ่งภารกิจเหล่านี้ถือว่าเป็นแบบตั๋วเที่ยวเดียว คือยังไงคนไปก็ต้องพลีชีพ โอกาสตายแบบจะแน่นอน อีกทั้งกลุ่มคนที่ต้องทำภารกิจเหล่านี้ก็จะต้องเสี่ยงกับการปนเปื้อนจากกัมมันตภาพรังสีที่จะส่งผลกระทบที่มีต่อร่างกายทั้งแบบเฉียบพลันและระยะยาว

แต่หนังก็ไม่ได้ถึงกับอวยระบบของโซเวียตไปหมด บางจุดในหนังเองก็มีบางไดอาล็อคที่ต้องการโจมตีความล้าหลังของระบบการแพทย์โซเวียต ที่ขาดแคลนแพทย์และเครื่องมือที่จำเป็น ตัวเอกของเรื่องอย่างอเล็กเซย์ก็ยอมทำภารกิจเพื่อขอแลกเปลี่ยนกับการที่เขาจะได้ส่งตัวลูกชายของเขาไปรักษาตัวที่สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบโรงพยาบาลและเครื่องมือที่ดีกว่ามาก เรียกง่ายๆว่าหนังเองก็ทำออกมาโดยยอมรับว่าโซเวียตยุคนั้นล้าหลังกว่ากลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกที่ไม่ได้ปกครองด้วยคอมมิวนิสต์ หรือการที่เจ้าหน้าที่รัฐเสนอข้อแลกเปลี่ยนการทำภารกิจเสี่ยงตายแต่รางวัลที่ได้ก็คือการที่ตัวเอกและครอบครัวจะได้ไปอยู่ในแฟลตที่มอสโกว ราวกับว่านี่คือรางวัลชั้นเยี่ยมแล้วที่อาสาสมัครผู้กล้าจะได้รับ

ภาพซากโรงงานที่เชอร์โนบิล
ภาพซากกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างเหลืออยู่ในชั้นใต้ดินของโรงงาน ถูกเรียกว่า เท้าช้าง ซึ่งจะยังคงอยู่ต่อไปอีกเป้นร้อยปี

จุดด้อยอย่างรุนแรงอีกข้อก็คือ การเล่าเรื่องที่ไปให้น้ำหนักกับความดราม่าของครอบครัวตัวเอก ความรักของชายหญิงที่จากกันไปนาน ที่ตัวเอกต้องการกลับมาสานสัมพันธ์ด้วย ซึ่งหนังให้แอร์ไทม์ในการเล่าเรื่องราวส่วนนี้มากเกินไปซะจนนี่แทบจะเป็นหนังดราม่าชีวิตเป็นหลัก แล้วยังไม่นับความกล้าหาญแบบผิดที่ผิดทางของตัวเอกที่เลือกกลับไปทำภารกิจถึงสองรอบทั้งที่ได้อยู่กับคนรักแล้ว โดยเฉพาะในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของหนัง เหมือนเป็นการเดินเรื่องแบบที่ ไม่รู้ว่าจะใส่อะไรเข้ามา ประมาณว่าต้องการชูวีรกรรมของตัวเอก และหนังเหมือนต้องการยัดเยียดความเป็นคนกล้าของชาติที่ทุกคนในรัสเซียควรดูเป็นแบบอย่าง เรียกได้ว่าเป็นการทำหนังที่แอบแฝงไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเชิดชูวีรกรรมของตัวเอกโดยใช้แนวทางแบบโรมานซ์และความเป็นหนังรักเข้ามากระตุ้นอารมณ์ ซึ่งที่จริงแล้วสมัยก่อนทางสหรัฐอเมริกาเองก็ใช้บ่อย เพราะนี่เคยเป็นแนวทางของหนังฮอลลีวูดในยุค 80-90s ที่หากใครดูหนังแนวโรมานซ์+สงคราม เราก็ได้จะพบกันบ่อยมากครับ

ในภาพรวมแล้ว นี่เป็นหนังเชิดชูวีรบุรุษและชาตินิยมรัสเซียโดยเอาเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิลมาเป็นฉากหลัง ซึ่งเอาเข้าจริงหนังก็ไม่ได้นำเสนออะไรที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของโรงงานนิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิลรวมถึงสาเหตุของการระเบิดอะไรเลย แล้วหนังก็ไม่ได้ต้องการโจมตีความล้มเหลวของสหภาพโซเวียตจากยุคอดีต แถมยังมีการนำเสนอภาพสังคมโซเวียตในสมัยนั้นที่อาจจะดูแปลกตาสุดๆ เสมือนตัวหนังต้องการล้างภาพความเคร่งขรึมของสังคมโซเวียตในสมัยนั้นออกไปแล้วเสนอว่านี่เป็นประเทศที่น่าอยู่กว่าที่หลายคนรับรู้ซะอย่างนั้น ดังนั้นถ้าใครที่เคยดู มินิซีรีส์เชอร์โนบิลของ HBO แล้วคาดหวังจะได้ดูอะไรที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น คงต้องแสดงความเสียใจด้วย จะกดข้ามไปเลยก็ได้ครับ

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt10648714/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!