รีวิว Rurouni Kenshin The Beginning Netflix ปฐมบท กำเนิดมือพิฆาตบัตโตไซ ส่งท้ายตำนาน
Rurouni Kenshin The Beginning
สรุป
หนังย้อนอดีตที่มาของเคนชินสมัยยังเป็นมือพิฆาตบัตโตไซ บอกเล่าความรักและโศกนาฎกรรมกับโทโมเอะ และตอนจบก็ปูทางไปสู่หนังภาคแรกปี 2012 เป็นการส่งท้ายหนังเคนชินที่ตราตรึง
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- โปรดักชั่นคุณภาพสูงสำหรับหนังซามูไร
- ฉากต่อสู้ด้วยดาบที่รวดเร็วยังเป็นเอกลักษณ์
- นักแสดงหลักดีเยี่ยมมาก
- ดัดแปลงเรื่องจากต้นฉบับมังงะออกมาได้ดีกว่าเดิมในบางจุด
- มีพากย์ไทย
Cons
- ฉากต่อสู้มีน้อยไปหน่อย
- มีช่วงเดินเรื่องเอื่อย
- คอสตูมและเมคอัพตัวละครบางคนดูแปลกตาไปนิด
- ฉากต่อสู้ช่วงท้ายไม่สนุกเท่าภาคอื่น
Rurouni Kenshin The Beginning Netflix รีวิว ซามูไรพเนจร ปฐมบท กำเนิดมือสังหารบัตโตไซ ย้อนอดีตของเคนชินและโทโมเอะ กับยุคสมัยบาคุมัตสึที่เต็มไปด้วยการนองเลือดและการต่อสู้กับกลุ่มชินเซ็นงุมิ เป็นบอกเล่าที่มาของตำนานและเป็นการเติมเต็มหนังเคนชินทุกภาคให้สมบูรณ์ แฟนๆของซามูไรพเนจรไม่ควรพลาด
สำหรับตัวหนังเข้าฉายครั้งแรกแบบจำกัดโรงในญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษายน ซาโต้ ทาเครุ กลับมารับบทเคนชินอีกครั้ง และได้ อาริมูระ คาสุมิ มารับบท โทโมเอะ ภรรยาคนแรกของเคนชิน หนังมีความยาว 2.18 ชม. สามารถรับชมได้เลยใน Netflix มีพากย์ไทย
ตัวอย่าง Rurouni Kenshin The Beginning Trailer
Rurouni Kenshin The Beginning เรื่องย่อ
หนังภาคสุดท้ายของ ซามูไรพเนจร ที่เรื่องราวจะเล่าย้อนกลับไปในสมัยที่ ฮิมูระ เคนชิน (นำแสดงโดย ซาโต้ ทาเครุ) ยังคงได้ฉายาเป็น “มือพิฆาตบัตโตไซ” มือสังหารอันดับหนึ่งของยุคบาคุมัตสึและของฝ่ายคณะปฏิรูปที่มีโจชูเป็นแกนนำ และเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเคนชินและโทโมเอะ ภรรยาคนแรกของเขา
ในหนังยังมีการผสมผสานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เรือดำเข้ามาประชิดอ่าวโตเกียว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในญี่ปุ่นอย่างรุนแรง เมื่อแคว้นโจชูต้องการปฏิรูปประเทศแล้วยึดแนวคิดต่อต้านชาวตะวันตกและคืนอำนาจให้องค์จักรพรรดิ แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนรัฐบาลโชกุนของตระกูลโทกุงาวะ หนังก็จะจับความในช่วงที่ฝ่ายโจชูต้องการก่อความวุ่นวายในเมืองเกียวโตและคู่ขนานไปกับเรื่องของกลุ่มชินเซ็นงุมิที่ต้องการปราบความไม่สงบ และเล่าที่มาที่ไปของเคนชินที่เลือกเข้าสู่วิถีของมือสังหาร และบทสรุปของหนังที่เชื่อมโยงไปยังหนังภาคแรกเมื่อปี 2012
ดังนั้นถ้าให้เรียงไทม์ไลน์ในเรื่อง จะเป็นตามนี้ครับ
1.The Beginning (2021)
2.Original (2012)
3.Kyoto Inferno (2014)
4.Legend End (2014)
5.The Final (2021)
สำหรับคนที่สับสนว่าควรดูภาคไหนก่อนดี หรือเรื่องราวเรียงยังไง แล้วต้องการไล่ดูแบบเรียงไทม์ไลน์ของเคนชิน ก็สามารถดูได้ตามนี้เลย
Rurouni Kenshin The Beginning รีวิว
ต้องบอกว่านี่เป็นภาคที่ ดาร์ค ดิบ ดราม่า เนื้อหาที่เศร้าที่สุดในหนังเคนชินทุกภาค ซึ่งในต้นฉบับมังงะเอง เรื้อหาบทนี้จะบอกเล่าอดีตที่เป็นโศกนาฎกรรมความรักระหว่างเคนชินและโทโมเอะ สำหรับในฉบับมังงะ บทย้อนอดีตนี้คนอ่านจะได้รับรู้เรื่องราวจากปากของเคนชินที่เล่าให้พวกคาโอรุฟังในภาคสุดท้ายที่ต้องสู้กับเอนิชิ ซึ่งในหนังก็เลือกที่จะเอาเนื้อหาย้อนอดีตทั้งหมดมาเรียบเรียงใหม่เป็นบทกำเนิดของเคนชินในฐานะมือพิฆาตบัตโตไซ ซึ่งมีธีมที่ค่อนข้างดิบ ดาร์ค และปนอารมณ์เหงาพอสมควร เรียกง่ายๆว่านี่เป็นหนังภาคที่มีความ Feel Good น้อยที่สุดในหนังเคนชินแล้ว
นอกจากนี้ในหนังยังดัดแปลงจากฉบับมังงะด้วยการเพิ่มเติมรายละเอียดเข้ามาไม่น้อย โดยเฉพาะการเผชิญหน้ากับกลุ่มชินเซ็นงุมิ และการต่อสู้กับ ไซโต้ ฮาจิเมะ เมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกชินเซ็น ซึ่งเป็นส่วนที่ในฉบับมังงะไม่ได้เน้นเท่าไหร่ แต่เข้าใจว่าหนังต้องการเพิ่ม “ฉากแอ็กชั่นดวลดาบ” ก็เลยเพิ่มฉากการต่อสู้กับพวกนักดาบของกลุ่มชินเซ็นเข้ามา
ในส่วนของนักแสดง ซาโต้ ทาเครุ กลับมารับบทเคนชิน ซึ่งทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว แถมหนังภาคนี้ที่มีความดราม่าสูง เขาก็ยิ่งแสดงออกทางสีหน้าท่าทางได้ดีพอสมควร ส่วนบทของโทโมเอะ ภรรยาคนแรกของเคนชิน ที่นำแสดงโดย อาริมูระ คาสุมิ ต้องถือว่าแจ้งเกิดเลยทีเดียว โดยก่อนหน้านี้เธอเคยมีผลงานการแสดงที่น่าจะผ่านสายตาคนดูมาไม่น้อย โดยเฉพาะภาพยนตร์แนว Live-Action เช่น Erased (มีฉายใน Netflix) March Come in like a Lion และยังมีผลงานในละครดราม่าอีกหลายเรื่อง แต่ต้องยอมรับว่าบท โทโมเอะ น่าจะมีความ Mass ในระดับโลกมากที่สุดแล้ว ซึ่งเธอก็ทำได้ดีกับบทโทโมเอะที่จะต้องถ่ายทอดความรู้สึกเศร้าปนด้วยอารมณ์หลากหลาย แต่ต้องผ่านใบหน้านิ่งๆเกือบจะตลอดทั้งเรื่อง (เพราะโทโมเอะในต้นฉบับเป็นคนหน้านิ่งๆ ที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก)
อาริมูระ คาสุมิ ในบท โทโมเอะ ที่น่าจะทำให้เธอดังในระดับสากลมากขึ้น
ด้านฉากแอ็กชั่น ในต้นฉบับมังงะบทนี้มีจำนวนตอนไม่มากนัก และฉากแอ็กชั่นใหญ่มีแค่นิดเดียวในช่วงท้ายเรื่อง ตัวหนังเลยต้องเพิ่มฉากแอ็กชั่นอื่นๆเข้ามาเสริมแล้วก็ทำได้ดีในการดัดแปลง ส่วนการแสดงฉากแอ็กชั่นยังคงต้องยกให้ความสามารถของซาโต้ ทาเครุ ที่เรียกได้ว่าเล่นบทเคนชินแล้วเข้าโรมรันดวลดาบด้วยความเร็วสูงอย่างไร้ที่ติ แถมพี่แกแสดงเองเป็นส่วนมากด้วย เรียกว่าเป็นจุดขายเลยก็ว่าได้
แต่หากเทียบกับหนังเคนชินทุกภาค ต้องยอมรับว่าภาคนี้มีจุดด้อยอยู่พอสมควร โดยเฉพาะการเดินเรื่องที่ค่อนข้างเอื่อย เพราะโฟกัสของภาคนี้ต้องการปูความสัมพันธ์ระหว่างเคนชินและโทโมเอะ ซึ่งจะกลายเป็นปมสำคัญในหนังภาค Final แล้วยังเป็นหนึ่งในปมในใจที่ทำให้เคนชินตัดสินใจวางมือจากอาชีพมือสังหารและเลิกฆ่าคนด้วย หนังเลยใช้เวลาแอร์ไทม์ไปกับฉากความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่ค่อนข้างลุ่มลึก บรรยากาศเหงา แฝงด้วยความโศกเศร้า ของชายหญิงคู่หนึ่งที่ต้องมาเจอกันในช่วงเวลาที่สังคมกำลังขัดแย้งถึงขีดสุด โดยที่ตัวโทโมเอะเองก็มีความลับในฐานะสายลับสองหน้าและความแค้นที่เธอมีต่อเคนชินซึ่งเป็นคนสังหารคู่หมั้นของเธอแฝงเอาไว้ด้วย ซึ่งหนังก็ต้องใช้เวลาจำกัดในการบอกเล่าว่า ความแค้นที่โทโมเอะมีได้เปลี่ยนมาเป็นความผูกพันและความรักต่อเคนชินได้ยังไง ตรงนี้ก็ถือว่าทำได้ดี เพียงแต่ถ้าใครคาดหวังจะได้ดูฉากแอ็กชั่นต่อสู้ด้วยดาบซามูไรแบบที่หนังนำเสนออย่างจุใจมาก่อนหน้านี้ทั้งสี่ภาค ต้องยอมรับว่าภาคนี้มีน้อยเกินไป ทั้งที่ฉากหลังในเรื่องเป็นยุคสมัยแห่งการนองเลือดและเป็นช่วงที่เคนชินยังเป็นมือสังหารบัตโตไซที่ชีวิตเต็มไปด้วยภารกิจลอบสังหาร
หนังยังมีการเล่นกับประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในญี่ปุ่น ตัวละครสำคัญหลายคนในหนังมีตัวตนอยู่จริงและมีความสำคัญกับเหตุการณ์ในสมัยนั้น เช่น คัตสึระ โคโกโระ, ทากาสุงิ ชินซากุ และกลุ่มชินเซ็นงุมิ รวมถึงเหตุการณ์ที่ร้านอิเคดายะ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แล้วก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้กลุ่มชินเซ็นงุมิโด่งดังขึ้นมาในฐานะหน่วยตำรวจซามูไรที่ทำหน้าที่พิทักษ์ความสงบในบ้านเมือง ตรงนี้ถือว่าหนังเอามาเติมเต็มได้ดีมาก ในการใส่ฉากที่เชื่อว่าแฟนๆของซามูไรพเนจรอยากจะดูมาตลอด นั่นคือฉากต่อสู้ระหว่างเคนชินและกลุ่มชินเซ็นงุมิ ซึ่งหนังก็ได้จัดฉากต่อสู้กับ โอคิตะ โซจิ นักดาบอัจฉริยะที่เก่งที่สุดของชินเซ็นงุมิและมีตัวตนจริงมาให้คนดูได้ดีระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้เห็นฉากต่อสู้อย่างถึงพริกถึงขิงกับ ไซโต ฮาจิเมะ เท่าไรนัก
แล้วหนังยังมีจุดด้อยอีกอย่าง สำหรับคนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในยุคบาคุมัตสึ นั่นคือที่มาที่ไปของความขัดแย้งแต่ละฝ่าย รวมถึงอุดมการณ์ของพวกเขาคืออะไร ถึงแม้หนังจะมีการแทรกรายละเอียดไว้เป็นระยะจนถึงท้ายเรื่อง แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ทราบข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาก่อน รับรองว่างงแน่ๆ แถมการแปลบทพากย์ไทยและบทบรรยายไทยี่เกี่ยวข้องกับเรื่องในประวัติศาสตร์ก็มีบางช่วงที่ไม่ตรงกันอีก (เช่น คำพูดก่อนตายของ โยชิดะ โชอิน ที่บอกให้คนญี่ปุ่นหนุ่มสาวเป็นคนบ้าคลั่ง แต่ในพากย์ไทยดันพูดว่าโชกุนเป็นบ้า ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย) อีกทั้งตัวหนังยังนำเสนอกลุ่มชินเซ็นงุมิออกมาให้เป็นตัวร้ายมากเกินไปหน่อย
แต่ยังมีจุดหนึ่งที่นำเสนอออกมาได้ดีกว่าที่คิดก็คือการบอกเล่ามุมมองและเหตุผลของฝ่ายนักรบมือสังหารที่อยู่ตรงข้ามกับเคนชิน ว่าเพราะอะไรคนเหล่านี้ถึงยอมสู้ตายถวายชีวิต อุดมการณ์ของพวกเขาคืออะไร ทำไมถึงยอมตายเพื่อปกป้องระบอบโชกุน แม้กระทั่งการใช้แผนการรุนแรงต่างๆ รวมถึงการหลอกใช้โทโมเอะให้เข้าใกล้ชิดเคนชินเพื่อทำให้เขาเกิดจุดอ่อนขึ้นมา ตรงนี้ถือว่าหนังนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แม้ว่าวิธีการของคนกลุ่มนี้จะเป็นเรื่องเลวร้ายก็ตามที
ในด้านงานโปรดักชั่น ถือว่าเป็นงานคุณภาพค่อนข้างดีสำหรับหนังซามูไร ฉากหลอกตาน้อย ฉากหลังสวยมาก แต่ด้านคอสตูมและเมคอัพเป็นจุดหนึ่งที่ดูค่อนข้างแปลกตา โดยเฉพาะกับตัวละครบางคน เช่น การทำทรงผมของโทโมเอะที่ดูมีความเป็นการ์ตูนหลุดออกมาจากตัวละครหญิงคนอื่นในเรื่องจนเกินไปหน่อย หรือการเมคอัพใบหน้าของ ไซโต ฮาจิเมะ ที่นำแสดงโดย เองุจิ โยสุเกะ ที่ทำออกมาแล้วไซโตดูหน้าแก่กว่าในภาคหลักซะอีก ทั้งที่หากเอาตามอายุในประวัติศาสตร์แล้ว ไซโต ในช่วงที่อยู่กับกลุ่มชินเซ็นมีอายุไล่เลี่ยกับโอคิตะ โซจิ ด้วยซ้ำ
ส่วนฉากต่อสู้ในช่วงท้ายก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของเรื่อง ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่ามันไม่สามารถดัดแปลงฉากต่อสู้ให้ออกมาอลังการได้มากกว่านั้นเพราะต้องเดินเรื่องตามต้นฉบับ อีกทั้งบอสของภาคนี้ไม่ได้เป็นศัตรูเก่งระดับเทพเหมือนชิชิโอและเอนิชิ ฉากต่อสู้ช่วงท้ายเลยไปเล่นกับอารมณ์ดราม่าเข้ามาแทน แต่ส่วนที่หนังดัดแปลงแล้วทำออกมาได้ดีมากก็คือที่มาของ “แผลเป็นรูปกากบาทส่วนที่เหลือ” ซึ่งโทโมเอะได้ทำไว้กับเคนชิน ตรงนี้เป็นจุดที่ทำออกมาได้ดีกว่าในต้นฉบับมังงะด้วยซ้ำ แถมยังดูโรแมนติกและตราตรึงกว่าเดิมด้วย เรียกว่ามีความเป็นหนังรักโรแมนติกแนวโศกที่ดี
แล้วส่วนหนึ่งที่ผู้รีวิวชอบเป็นพิเศษคือ ฉากจบของเรื่อง คือฉากเดียวกับฉากต้นเรื่องในหนังภาคหนึ่งปี 2012 เรียกว่าถ้าดูหนังภาค The Beginning จบแล้ว ก็ไปเปิดดูภาค 2012 ได้เลยครับ อีกส่วนคือเพลงประกอบ OST ประจำของเรื่องนี้ที่เราจะไม่ได้ยินเลยตลอดทั้งเรื่อง แต่จะโผล่ออกมาฉากท้ายเรื่อง เสมือนเป็นการบอกว่า ตัวตนของเคนชินที่พวกเราได้รับชมในหนังทั้งสี่ภาคก่อนหน้านี้กำลังออกเดินทางแล้ว
สรุปภาพรวมแล้ว อาจไม่ใช่หนังเคนชินที่ดีที่สุดหากเทียบกับอีกสี่ภาคที่เหลือ แต่ก็เป็นหนังที่ช่วยเติมเต็มเรื่องราวของซามูไรพเนจรได้สมบูรณ์ และเป็นการบอกเล่าที่มาของเรื่องราวที่มาที่ไปทั้งหมดได้อย่างดีเยี่ยม
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website
https://en.wikipedia.org/wiki/Rurouni_Kenshin:_The_Beginning