รีวิว Shiny_Flakes: The Teenage Drug Lord เรื่องจริงของวัยรุ่นพ่อค้ายาออนไลน์ที่ดังที่สุดในยุโรป
Shiny_Flakes: The Teenage Drug Lord
สรุป
หนังสารคดีจากเรื่องจริงของพ่อค้ายาวัยรุ่นใหญ่สุดในยุโรป ที่ตัวจริงมาแสดงเองจำลองฉากเหตุการณ์ต่างๆ ย้อนรอยเรื่องราวในแบบละเอียดยิบ และก็แตกต่างจากซีรีส์ How to Sell Drugs Online (Fast) ที่เอาเรื่องของเขาไปทำใหม่หมดไม่ตรงกันเลย ตัวหนังดูสนุกไปกับรายละเอียดเส้นทางอาชญากรรมออนไลน์ที่เขาเปิดเผยให้ทุกคนได้รับรู้เกือบหมดเปลือก โดยเจ้าตัวก็เล่าอย่างภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไปโดยไม่รู้สึกผิด แต่ไม่ต้องห่วงว่าสารคดีจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เพราะตอนจบของเรื่องมีเซอร์ไพรซ์หักลำเรื่องราวแฮปปี้ทั้งเรื่องได้ชงัดอยู่ด้วย
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- แม็กซิมิเลียน ชมิดท์ ตัวจริงมาแสดงย้อนรอยเหตุการณ์ทั้งหมดกับบอกเล่าทุกอย่าง รวมถึงเรื่องราวในปัจจุบันที่พ้นโทษออกมาด้วย
- เรื่องราวการตามสืบอีกด้านจากตำรวจในคดีที่คาดไม่ถึง
- มุมมองจิตวิทยาจากตำรวจกับหมอจิตวิทยาที่ประเมิณสภาพของชมิดท์ตอนโดนดำเนินคดี
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- เรื่องราววนอยู่ในห้องจำลองไม่ค่อยได้ไปไหนมาก (เพราะตัวจริงทั้งเรื่องก็แทบจะอยู่ในนั้นไม่ไปไหนเลย)
- ตัวชมิดท์เองก็ยังปกปิดอะไรหลายอย่างไว้ ไม่ใช่การเปิดเผยทั้งหมด
Shiny_Flakes: The Teenage Drug Lord ชายนี่ เฟลคส์ เจ้าพ่อยาวัยรุ่น หนังสารคดี Netflix เรื่องราวของ แม็กซิมิเลียน ชมิดท์ (Maximilian Schmidt) เจ้าพ่อค้ายาวัยรุ่นออนไลน์ที่ใหญ่โตที่สุดในยุโรป จนถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ How to Sell Drugs Online (Fast) วัยลองของ ในเวลาต่อมา
ตัวอย่าง Shiny_Flakes: The Teenage Drug Lord
นี่คือเรื่องจริงของ แม็กซิมิเลียน ชมิดท์ วัยรุ่นอายุ 16 ปีที่เริ่มขายยาออนไลน์ ก่อนโดนจับตอนอายุ 20 ปี และติดคุกเกือบ 5 ปีก่อนได้ทัณฑ์บนออกมา ซึ่งทาง Netflix ก็นำตัวมาสร้างเป็นสารคดีย้อนรอยเส้นทางชีวิตการมาเป็นเจ้าพ่อขายยาออนไลน์ที่ใหญ่โตที่สุดในยุโรป (ขายอยู่เยอรมัน แต่มีลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะจากในยุโรป) ซึ่งก่อนนี้ทาง Netflix ก็ได้สร้างซีรีส์ How to Sell Drugs Online (Fast) ชื่อไทย วัยลองของ มาก่อนหน้า 3 ปี 3 ซีซั่นแล้ว และยังไม่จบอาจจะมีต่ออีก โดยซีรีส์เอาแค่โครงเรื่องไปดัดแปลงเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่รายละเอียดแตกต่างกันมาก ในซีรีส์โลดโผนผจญภัยกว่าเรื่องจริงเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสารคดีจะจืดชืด เพราะเรื่องจริงก็มีแง่มุมที่แตกต่างน่าสนใจในแบบของจริง ที่ไม่ปรุงแต่งให้เว่อร์ได้รับชมกัน
สารคดีเรื่องนี้ใช้ตัว แม็กซิมิเลียน ชมิดท์ มาแสดงเองจริงๆ และจำลองห้องที่เขาทำธุรกิจขายยาจริงๆ ขึ้นมาใหม่ ซึ่งทั้งเรื่องจะวนๆ อยู่ในห้องนี้เป็นส่วนใหญ่ เพราะตัวชมิดท์เองทำงานคนเดียวปกปิดตัวเองเพื่อไม่ให้มีร่องรอยสืบตามมาหาเขาได้ แม้แต่แม่ก็ไม่เคยเข้ามาในห้องตลอด 4 ปี เราจึงได้เห็นชีวิตกินๆ นอนๆ รับออร์เดอร์ แพ็คสินค้าวนไปมาในเรื่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ เพราะสารคดีเลือกเล่าประเด็นน่าสนใจ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการค้นพบว่าจะทำเว็บ Shiny_Flakes เพื่อขายยามาจากไหน การหาพ่อค้ายามาส่งให้จากในออนไลน์ การสกัดยาจากของแข็งให้เป็นผงทำยังไงซึ่งรากเลือดเหมือนกันสำหรับมือใหม่อย่างเขาที่ไม่เคยรู้มาก่อน ตัวชมิดท์เองก็ไม่ใช่คนเสพยาพวกนี้เอง ซึ่งตัวเรื่องลงรายละเอียดถึงขั้นสแตมป์ที่ใช้ การออกไปส่งผ่านตู้ไปรษณีย์เยอรมัน แม้แต่การถ่ายภาพยาให้สวยบนเครื่อง Xbox ที่เขาใช้เป็นพื้นรองแล้วดันถูกใจคนซื้อ การใช้บิทคอยล์ซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด ในหนังเก็บรายละเอียดเรื่องพวกนี้มาบอกเล่าได้ละเอียดยิบจริงๆ แม้แต่เรื่องที่เขาโกหกลูกค้าว่าจะลบคอนแทคติดต่อทันทีหลังส่งยาไป แต่กลับรวมข้อมูลลูกค้าไว้ในเอ็กเซลเป็นหมื่นราย ซึ่งทำให้ตำรวจสามารถตามเอาผิดพวกนี้ได้ในภายหลังเพิ่มอีก ก็นับว่าชมิดท์กล้ามากที่เปิดเผยว่าตัวเขาโกหกลูกค้าทุกคนมาก่อน โดยไม่กลัวว่าจะโดนอะไรในตอนนี้
สิ่งที่เราได้เห็นอีกอย่างตลอดเรื่องก็คือ ตัวชมิดท์เองมีความภูมิอกภูมิใจกับการเปิดเผยเรื่องราวมาทำสารคดีนี้อย่างเห็นได้ชัด ตลอดเรื่องเขาจะยิ้มสนุกไปกับเรื่องราวที่เล่า เหมือนเป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิตเขา ซึ่งตรงนี้เองตัวเรื่องจะมีฉากสัมภาษณ์ ตำรวจกับด็อกเตอร์จิตวิทยาที่ประเมิณสภาพเขาตอนถูกดำเนินคดีมาร่วมด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็เห็นตรงกันว่าชมิดท์เองไม่เคยรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ แถมจุดนี้ยังทำให้เขาสามารถก้าวเข้ามาทำเว็บไซต์ขายยาออนไลน์แบบเปิดเผยได้สำเร็จใหญ่โตด้วย เพราะคนส่วนใหญ่คงไม่กล้าหรือมีความรู้สึกว่ามันเสี่ยงไป แต่กลับชมิดท์เองไม่มีความลังเลที่จะทำความผิด และรู้สึกสนุกไปกับมันตั้งแต่แรก เงินที่ได้มาก็ไม่ได้นำไปใช้ เพราะเขาสนุกกับการต่อยอดธุรกิจของตัวเองมากกว่า ซึ่งตรงนี้แหละคือความแตกต่างที่ทำให้ชมิดท์ประสบความสำเร็จในแวดวงอาชญากรรมค้ายาแบบนี้ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน (ในตอนนั้นปี 2014) ซึ่งตลอดเวลาผู้ชมก็คงรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างกับการทำสีหน้าสนุกสนานของตัวชมิดท์ตลอดเรื่อง เหมือนเรามานั่งดูอาชญากรที่ไม่เคยสำนึก แถมยังได้รับโทษเบามากเพราะได้ทนายแก้ต่างให้เขารับโทษในฐานะเยาวชนที่สภาพจิตใจไม่ปกติ
ตัวเรื่องจำลองบอกเล่าเส้นทางของนายตำรวจที่สืบคดีตามรอยเขาด้วย ซึ่งก็มีเรื่องน่าสนใจว่าชมิดท์เองวางแผนหลบซ่อนตัวตนอย่างไรได้หลายชั้นมาก เขาทำสารพัดอย่างที่เรียกว่าให้ย้อนกลับมาทางไปรษณีย์ยังไงก็ไม่เจอตัวตนเขา หรือแม้แต่ทางเว็บไซต์ก็ปกปิดข้อมูลจนตามรอยไม่ได้ จนฝ่ายตำรวจเองสืบไปจนถึงทางตันหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ตามแกะรอยจนสำเร็จจากความผิดพลาดของผู้ร่วมขบวนการห่างๆ ของชมิดท์ที่ส่งยาให้เอง ซึ่งตัวชมิดท์ในเรื่องเองก็ยังมองว่าเขาไม่ได้พลาด แต่คนอื่นพลาดทำให้สาวมาถึงเขาได้ ซึ่งตัวเรื่องจำลองวันที่ตำรวจไปบุกบ้านโดยใช้หน่วยเฉพาะกิจเพราะเชื่อว่าธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ต้องมีหลายคนทำ มีอาวุธไว้ต่อสู้เจ้าหน้าที่แน่ๆ แต่กลายเป็นว่าพบแค่ชมิดท์ ซึ่งในเรื่องก็มีการบอกเล่าถึงตอนโดนจับว่าชมิดท์ถูกปืนตบหน้าจนเป็นแผล แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้สึกตกใจอะไรกับการถูกจับ แค่งงที่ตำรวจตามรอยเขามาได้อย่างไร ซึ่งชมิดท์ในปัจจุบันก็เล่นบทโดนจับอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่าเหมือนได้เอาหนามบ่งบาดแผลในใจวันนั้นของเขา เป็นการพูดแบบสนุกๆ กับฉากจำลองเรื่องราวอีกครั้งจนดูน่าหมั่นไส้เล็กๆ เหมือนกัน
หนังไม่ได้เล่าช่วงที่ขึ้นศาลอะไรมากนัก แต่ข้ามมาเลยว่าหลังออกจากคุกแล้วชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างไร การมีชื่อเสียงที่คนในเยอรมันรู้จักไปไหนก็จำหน้าได้ งานในปัจจุบันคืออะไร รวมถึงการที่มีแฟนสาวในปัจจุบันคบหาด้วย ซึ่งรวมๆ ก็ดูเหมือนชีวิตเขาแฮปปี้เอนดิ้งดี แม้จะมีประเด็นว่าเงินที่เขาได้จากการขายจำนวนมากหายไปไหน ซึ่งตำรวจประเมิณไว้ถึง 4 ล้านยูโร (ประมาณ 157 ล้านบาท) แต่กลับพบแค่สามแสนกว่าในบัญชีที่ตำรวจพบในคอมพิวเตอร์ของเขา ซึ่งในสารคดีเองผู้ทำก็พยายามถามความจริงในเรื่องนี้ แต่แน่นอนว่าเขาก็ต้องตอบว่าไม่มีจริง แต่ตำรวจเองก็ไม่เชื่อและรอเวลาที่เขาจะวนกลับไปหาเงินจำนวนนั้นอีกครั้ง
แม้ทั้งเรื่องเราจะได้เห็นชีวิตแฮปปี้ของชมิดท์ซะมากกว่าความสำนึกผิด จนดูเหมือน Netflix กำลังทำสารคดียกย่องอาชญากรวัยรุ่นคนนี้ให้เป็นฮีโร่ แต่ตอนท้ายเรื่องก็มีเซอร์ไพรซ์ เป็นวิบากกรรมที่ชมิดท์เองต้องเจออีกครั้ง ซึ่งก็มาจากเรื่องจริงที่พึ่งเกิดในตอนต้นปีนี้เอง ซึ่งอันนี้ต้องลองไปดูกันเองว่าเป็นเรื่องอะไรครับ เรียกว่าคนดูเองจากที่รู้สึกตะหงิดติดใจกับประเด็นอาชญากรฮีโร่คงเบาใจได้ว่า Netflix ไม่ได้ทำเพื่อแบบนั้นซะทีเดียวครับ