รีวิว Cruella (Disney+) กว่าจะเป็นเจ้าแม่ครูเอลล่า ใน 101 ดัลเมเชี่ยน หนังภาคแยกที่ทำได้เกินคาด
Cruella
สรุป
หนังเล่าที่มาของตัวร้ายสุดคลาสสิดของดิสนีย์ สำรวจที่มาที่ไปของตัวร้ายนี้ที่ไม่เคยทำมาก่อน เอ็มม่า สโตน แสดงได้สุดยอดมาก หนังเล่าสนุก แม้จะมีความเป็นหนังดิสนีย์สูงก็ตาม แต่ก็เพิ่มความดาร์กขึ้นมานิดหน่อย
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เล่าที่มาของเอสเตลล่า ก่อนจะเป็นครูเอลล่า ได้สนุก ฉูดฉาด และมีที่มาที่ไป
- เอ็มม่า สโตน แสดงได้สุดยอด
- ผสมผสานหนังหลายแนวเข้าด้วยกันได้สนุก ทั้งแนว สืบสวน ปล้น ดราม่า หนังเด็ก
- เป็นการขยายจักรวาลตัวร้ายหรือตัวละครรองๆในหนังและการ์ตูนดิสนีย์เก่าๆที่ทำได้ดีมาก
- อธิบายว่าทำไมครูเอลล่าถึงทำเรื่อยร้ายกับหมาดัลเมเชี่ยนในการ์ตูนดั้งเดิม
- มีพากย์ไทย
Cons
- แม้จะพยายามสร้างความเชื่อมโยงกับเนื้อหาในหนัง 101 ดัลเมเชี่ยน แต่มีจุดที่ดูขัดกันพอสมควร
- เป็นหนังสไตล์ดิสนีย์แบบเดิมๆที่เพิ่มความดาร์กขึ้นอีกนิดหน่อย
- ภาพรวมของหนังไปไม่สุดว่าเป็นแนวไหน
- หนังยัดประเด็นเฟมินิสต์เข้ามาแบบงั้นๆ
Cruella Disney+ รีวิว กว่าจะเป็น ครูเอลล่า จากเรื่อง 101 ดัลเมเชี่ยน เป็นหนังภาคแยกเล่าที่มาการกำเนิดตัวร้ายที่คนจดจำได้มากที่สุดคนหนึ่งในการ์ตูนดิสนีย์ ซึ่งหนังสร้างออกมาได้ดีเกินคาด ต้องยกให้การแสดงของ เอ็มม่า สโตน กับการคืนชีพบทบาทตัวร้ายคนนี้ให้มีมิติน่าสนใจมากขึ้น
หนังเข้าฉายโรงครั้งแรกในสหรัฐ เดือนพฤษภาคม หลังจากโรงภาพยนตร์เปิดให้บริการหลังจากโควิด-19 ทำรายได้ทั่วโลกราว 224 ล้านเหรียญ แล้วจึงลงสู่แอปสตรีมของ Disney+ เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดอันดับ 7 ของปีนี้
ตัวหนังมีความยาว 2.14 ชม. รับชมได้เลยใน Disney+
ตัวอย่าง Cruella Disney+ Trailer
Cruella Disney+ เรื่องย่อ
เรื่องราวของ เอสเตลล่า เด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับสีผมสุดแปลกไม่เหมือนใครคือเป็นสีผมตัดขาวดำ เธอใช้ชีวิตอยู่กับแคทเธอรีนผู้เป็นแม่ซึ่งเป็นห่วงในความแปลกโดดเด่นของลูกสาว จึงพยายามบอกให้เธอทำตัวให้ธรรมดาเข้าไว้ แต่เด็กสาวเอสเตลล่าก็ยังแสดงความเป็นเด็กหญิงหัวขบถในโรงเรียน กระทั่งเธอและแม่ต้องย้ายไปอาศัยที่ลอนดอน
แต่ระหว่างทางแม่ของเธอได้พาไปยังปราสาทแห่งหนึ่งของเคาน์ทบารอนเนสซึ่งกำลังจัดงานเลี้ยงสุดหรู แล้วตอนนั้นเองที่เอสเตลล่าได้ทำความผิดพลาดบางอย่างจนทำให้แม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เธอจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่โซซัดโซไปพร้อมกับหมาน้อยคู่ใจอย่างบัดดี้ กระทั่งเธอได้เจอกับเด็กผู้ชายหัวขโมยสองคนคือแจสเปอร์และฮอเรส ชีวิตของเอสเตลล่าจึงได้เริ่มขึ้นใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้มีโอกาสเข้าสู่วงการแฟชั่นจากการแสดงตัวตนของเธอเองที่ไปเข้าตาบารอนเนส อย่างไม่ตั้งใจ แต่เธอก็กลับค้นพบความลับสุดช็อกที่ทำให้เธอตัดสินใจสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของแม่เธอ ซึ่งนั่นรวมถึงการสร้างตัวตนใหม่ของเธอในฐานะ “ครูเอลล่า” ผู้ที่จะกลายเป็นเจ้าแม่แห่งวงการดีไซเนอร์ในอนาคต
Cruella Disney+ รีวิว
ช่วงหลังจะมีการสร้างภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่บอกเล่าและสำรวจตัวละครรองๆหรือตัวร้ายในหนังคลาสสิกรุ่นเก่าออกมาหลายเรื่องให้เห็นกันมากขึ้น เรียกว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของวงการฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้ ซึ่งน่าทึ่งที่ส่วนใหญ่ค่อนข้างประสบความสำเร็จ บางเรื่องถึงขั้นขยายจักรวาลหนังหรือซีรีส์ของตนเองให้ใหญ่โตขึ้น และสามารถขายคนรุ่นใหม่ที่อาจจะไม่ได้สนใจหนังฉบับแรกด้วยซ้ำ ตัวอย่างของซีรีส์ในกลุ่มนี้ที่เราเห็นกันช่วงหลังก็เช่น Cobra Kai, Castle Rock, Ratched , Mandalorian ในขณะที่ภาพยนตร์ก็จะมีพวก Hook, Oz the Great and Powerful, Joker ฯลฯ
Cruella ก็มาในแนวนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าสาเหตุที่แนวทางนี้กำลังได้รับความนิยม แล้วส่วนใหญ่สร้างออกมาก็ไม่ค่อยแป้ก (สัดส่วนรุ่งมากกว่าร่วง) อาจเพราะคนดูยุคหลังชื่นชอบความเป็นสีเทาๆ ของตัวละครมากกว่าจะแบ่งแยก ขาวดำ ชัดเจนแบบหนังก่อนยุค 80 ส่วนใหญ่ ในขณะที่หนังหลังยุค 90 เป็นต้นมา จะเริ่มเห็นว่ากระแสแนวแอนตี้ฮีโร่ได้รับความนิยมมากขึ้น แม้ว่าบางเรื่องอาจเขียนหรือถูกสร้างมาก่อนหน้านั้น แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนักจนกระทั่งหลังจากยุคนั้นมาแล้ว ผลงานหลายเรื่องที่สร้างสรรค์ตัวละครเอกหรือตัวร้ายมาแนวเทาหรือกึ่งเทา เริ่มได้รับความสนใจ ในขณะที่ตัวร้ายของหนังเหล่านั้นก็เริ่มจะถูกมองและตีความใหม่ๆ เริ่มมีการสำรวจลงลึกไปถึงจิตใจและที่มาของตัวร้ายเหล่านั้นว่า “ทำไมถึงร้าย” มากกว่าจะเขียนออกมาแค่ว่า เป็นตัวร้ายเพราะเป็นตัวร้าย
สำหรับ ครูเอล่า เดอวิล เป็นหนึ่งในตัวร้ายที่มีชื่อเสียงมากและคนจดจำภาพลักษณ์ของเธอได้มากเป็นอันดับต้นๆ ในหนังดิสนีย์จากยุค 60 อาจเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น ทั้งทรงผมและสีผมสุดแปลก การแต่งกายฉูดฉาด ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบกับเหล่าแม่มดร้ายหรือแม่เลี้ยงใจร้ายในการ์ตูนดิสนีย์รุ่นเก่า ครูเอลล่ามีความจับต้องได้และออกแอ็กชั่นลงมือก่อการอย่างดุเดือดจนน่าจดจำได้มากกว่า อีกทั้งตัวละครนี้ก็ไม่ได้มีพลังพิเศษหรือเวทมนต์อะไร เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่บ้าแฟชั่นและมีรสนิยมด้านนี้รุนแรงกับความคิดสุดโต่งเกินไปเท่านั้น เรียกว่าเราสามารถพบเจอผู้หญิงแบบนี้ได้ในสังคมทั่วไป โดยเฉพาะโลกของการทำงาน
ทีนี้พอจับตัวละครนี้มาทำการสำรวจลงลึกหรือตีความใหม่ นับว่าตัวละครนี้เข้าข่ายน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะความเป็นตัวละครที่แสดงออกถึงความหัวขบถ แถมยังเข้ากับยุคสมัยที่มีการเชิดชูเฟมินิสต์ ความกล้าฉีกกรอกสังคม ที่ในภาพยนตร์ตีความใหม่ว่าเธอเป็นเสมือนหนึ่งในผู้ที่มาก่อนกาล ตรงนี้หากเทียบกับ Joker ซึ่งเป็นตัวร้ายอมตะตลอดกาลของวงการคอมิค นับว่าครูเอลล่ามีความคล้ายคลึงบางอย่างที่แปลกประหลาดมาก ทั้งในแง่การแต่งตัวและการทำตัวหลุดโลก ความบ้าคลั่งต่างๆ ที่แสดงออกมา แม้ว่าครูเอลล่าจะมีความโหดเหี้ยมน้อยกว่า แต่ก็ยังมีมุมมืดเหมือนกันในแง่การทารุณสัตว์ (ในต้นฉบับเดิม ครูเอลล่าวางแผนใช้หนังสุนัขดัลเมเชี่ยนมาเป็นหนังของเสื้อคลุม) แต่เนื่องจากภาพยนตร์ฉบับล่าสุดต้องการทำให้ครูเอลล่ามีความเป็นตัวละครแนวแอนตี้ฮีโร่มากขึ้น จึงยังไม่พูดถึงแนวคิดที่ว่านั้นของเธอ แม้ว่าในเรื่องจะมีฉากที่เธอพูดเรื่องนี้ออกมาบ้างก็ตาม
ด้านการแสดง ต้องยกให้พลังของ เอ็มม่า สโตน การแสดงของเธอคู่ควรกับรางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงที่เคยได้รับมาจริงๆ เรื่องนี้เธอเป็นศูนย์กลางของเรื่องที่ทำให้เรื่องราวเดินหน้าไปได้จนจบ แล้วยังสามารถแสดงในบทของ เอสเตลล่าและครูเอลล่า ที่แม้จะเป็นคนเดียวกันแต่มีบุคลิกและการแสดงออกที่แตกต่างกันสุดขั้วได้สุดยอดมากๆ อีกคนที่ต้องชมคือ เอ็มม่า ทอมป์สัน ในบทบาทรอสเนส ที่แสดงได้ยอดเยี่ยมในฐานะนักแสดงรุ่นใหญ่และเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องนี้ ในขณะที่นักแสดงคนอื่นๆในเรื่องนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เช่น โจเอิล ฟราย ที่ทำให้ภาพของตัวละครแจสเปอร์โดดเด่นขึ้นมาเลย แล้วยังรวมถึงเหล่าน้องหมาในหนังเรื่องนี้ที่น่ารักเอามากๆ
แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีไปหมด เนื่องจากหนังต้องการนำเสนอตัวร้ายของหนังดิสนีย์ยุคเก่าในแบบแอนตี้ฮีโร่ ที่ผสมระหว่างความเป็น เฟมินิสต์+คนหัวขบถรุ่นใหม่ หนังจึงดูเหมือนความพยายามนำเสนอความกล้าฉีกให้มาปะทะกับแนวทางอนุรักษ์นิยมและแบบเดิมๆรวมถึงสังคมชายเป็นใหญ่ที่หนังใส่เข้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ประเด็นนี้หนังแตะเพียงผิวเผินเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้ไปต่อมากกว่าแค่บอกเราว่าครูเอลล่าเป็นพวกคนหัวใหม่กล้าฉีก แล้วก็จบเท่านั้น อีกจุดที่หนังขาดความสมจริงอย่างแรงก็คือพวกฉากการปะทะ ฉากแอ็กชั่นต่างๆ ที่หนังทำมาในแนวดิสนีย์ คือแม้จะมีแอ็กชั่นแค่ไหนแต่มันก็เป็นแอ็กชั่นแนวเด็กๆ อยู่ดี เพียงแต่เพิ่มความดาร์กเข้ามาในเนื้อหาขึ้นอีกนิดหน่อย
สำหรับแนวทางการเดินเรื่อง หนังใช้การผสมผสานหลายแนว ยำเข้าด้วยกัน มีทั้งแนว ปล้น ดราม่า สืบสวน หนังเด็ก หนังแฟชั่น เรียกว่าเหมือนเรากำลังดูการยำรวมกันระหว่าง 101 + Devil Prada + Ocean Eleven + Bird of Prey ตรงนี้จะมองว่าเป็นข้อด้อยก็ได้ เพราะหนังไปไม่สุดสักด้าน แต่ยังดีว่าที่หนังมีเป้าหมายของเรื่องที่ชัดเจนอยู่ เลยทำให้มันไม่หลุดออกทะเลจนน่าเกลียดไป
หนังยังมี Easter Egg บางอย่างไปถึงเรื่อง 101 Dalmatians อยู่พอสมควร แต่ที่จริงแล้วก็มีจุดขัดกับหนังต้นฉบับอยู่เหมือนกันชนิดที่ว่าหากจะมีการรีเมคหนัง 101 ขึ้นมาใหม่ให้ต่อเนื่องจากครูเอลล่า คงต้องมีการเขียนเรื่องราวหลายจุดขึ้นมาใหม่หมดเลย ตรงนี้ขอแจงเป็นข้อๆ ซึ่งคงไม่เป็นการสปอยล์มากนัก
1.ครูเอลล่า ในหนังเรื่องนี้แม้จะมีความบ้าคลั่งไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่คนชั่วช้าที่จะทารุณสัตว์ แถมเธอยังมีสุนัขคู่ใจอย่างบัดดี้ด้วย แม้ว่าแนวคิดเรื่องเอาหนังสุนัขมาทำเสื้อจะมีพูดถึงกันเล่นๆในหนังเรื่องนี้ แต่ถ้ามีการสร้าง 101 คงต้องปรับบทตรงนี้กันใหม่
2.แอนนิต้า ในต้นฉบับเดิมเป็นดีไซเนอร์หญิงผิวขาว ที่เป็นลูกน้องของครูเอลล่า แต่ในหนังเวอร์ชั่นนี้นอกจากจะแปลงให้เธอเป็นคนผิวสีแล้ว ยังให้เธอเป็นเพื่อนเก่าของครูเอลล่า แล้วเธอยังทำงานเป็นนักข่าวสายกอสซิบที่ร่วมมือกับครูเอลล่าในการเล่นงานบารอนเนส เรียกได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกันมาก ไม่เหมือนในต้นฉบับเดิม ดังนั้นถ้าจะเขียนให้เกิดการปะทะกันในหนังภาคหลักคงต้องแปลงบทเยอะเลย
3.ความสัมพันธ์ฉันท์ครอบครัวระหว่างครูเอลล่า กับคู่หูแจสเปอร์และฮอเรส ถึงแม้ว่าในช่วงต้นเรื่องหนังจะมีเวลาปูทางจำกัด แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสามคนออกแนวครอบครัวที่รักและห่วงใยกัน ไม่ใช่แนวหัวหน้าลูกน้องในต้นฉบับเดิม แม้ว่าในหนังจะมีการเขียนให้เห็นถึงพัฒนาการในความเป็นบอสของครูเอลล่าที่มีต่อทั้งสองคน แล้วพวกเขาก็ยอมรับก็ตาม
4.หนังใส่ฉากขับรถสุดบ้าคลั่งของครูเอลล่าเข้ามา ซึ่งจะอ้างอิงกับฉากขับรถสุดระห่ำเพื่อตามไล่ล่าสุนัขดัลเมเชี่ยนในภาคดั้งเดิม ตรงนี้น่าจะเป็นความจงใจของผู้สร้างที่ทำออกมาในแนว Nostalgia
สำหรับ End Credit หลังจบเรื่อง จะมีการเชื่อมโยงไปยัง 101 ดัลเมเชี่ยนเล็กน้อย คงต้องรอดูว่าจะได้สร้างหนังฉบับรีเมคออกมาจริงๆไหม แต่ถ้าสร้างจริงก็อย่างที่ว่าคือคงต้องดัดแปลงบทกันเยอะพอสมควร
สรุปภาพรวมแล้ว นี่เป็นภาพยนตร์ Disney Live Action ที่สร้างออกมาได้ดีเป็นอันดับต้นๆเท่าที่เคยสร้างกันมาเลย ขอชื่นชม เอ็มม่า สโตน และทีมนักแสดง รวมถึงทีมเขียนบทที่เล่าเรื่องราวที่ไม่น่าจะสนุกให้ออกมาสนุกได้ในระดับหนึ่ง แล้วน่าจะช่วยขยายจักรวาลของ 101 หรือการสร้างหนังเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้ออกมามากขึ้นได้
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website