รีวิว On the Verge ซีรีส์งานโชว์ของ จูลี เดลฟี เล่นเอง เขียนบทเอง กำกับเอง ลง Nteflix
On the Verge
สรุป
เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ แต่ถ้าได้เปิดดูก็เพลินๆ ไม่ติดขัดอะไรได้เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ซีรีส์ที่ต้องแนะนำให้ดู แต่ก็ไม่แย่ถ้าคุณชอบจูลี เดลฟี การได้เห็นเธอจิกกัดตัวเองในฐานะนักแสดงก็เป็นอะไรที่ขำๆ ดีเหมือนกันครับ
Overall
6/10User Review
( vote)Pros
- ผลงานโชว์ของ จูลี เดลฟี โดยเฉพาะ
- ตลกร้ายชวนให้ขำได้เรื่อยๆ
- เรื่องราวก่อนโควิด 19 ระบาดนิดนึง
- มีเสียงพากย์ไทยที่ดีฟังได้เพลินๆ เลย
Cons
- เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
- เรื่องย่อพูดถึงโควิด แต่พอเรื่องจริงพึ่งถึงโควิดระบาดเอาตอนจบเรื่อง เหมือนโดนหลอก
- ความยาว 12 ตอนที่มากกว่าปกติไปสักหน่อย โดยที่ไม่ได้มีอะไรลึกมากด้วย (น่าจะตัดให้กระชับกว่านี้)
On the Verge ออน เดอะ เวิร์จ ซีรีส์ดราม่าคอมเมดี้ชีวิตคุณแม่วัยกลางคน ที่มีจุดขายอยู่ที่ “จูลี เดลฟี” อดีตดาราสาวฝรั่งเศสคนดังที่มาควบตำแหน่งนักแสดงนำกับเขียนบทและกำกับเอง เป็นเรื่องราวก่อนเกิดโรคระบาดโควิด 19 ในลอสแอนเจลิสที่พวกเธออาศัยอยู่
ตัวอย่าง On the Verge
ซีรีส์แนวดราม่าชีวิตคุณแม่วัยกลางคน 4 คนที่เป็นเพื่อนรักกันมานานอาจจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือความน่าสนใจนัก ซึ่งหลังดูจบก็ต้องยอมรับว่าพล็อตกับเรื่องราวไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ยังคงดูสนุกเพลินๆ และน่าสนใจได้อยู่คือการแสดงของนักแสดงหลัก 4 คนในเรื่องที่เป็นนักแสดงหญิงรุ่นเก่าเก๋าวงการ โดยมีจูลี เดลฟีเป็นตัวเอกหลักที่คนน่าจะรู้จักกันดีสุดจากบทนางเอกในหนังอินดี้อาร์ทๆ ชื่อดังอย่าง Before Sunrise กับ Before Sunset หรือย้อนไปสมัยสาวๆ ก็ An American Werewolf in Paris (ปี 1997) ซึ่งคราวนี้เธอเขียนบทกับกำกับเองพร้อมกันไปด้วย และยังใส่มุกล้อเลียนตัวเองในฐานะนักแสดงลงไปซ้อนทับกับคาแรกเตอร์ใหม่ในเรื่องนี้อีกด้วย
เรื่องราวเริ่มต้นก่อนหน้าเกิดโควิด 19 สองเดือน อาจจะชวนให้คนดูสงสัยว่าจะมีเรื่องโควิดมาเกี่ยวข้องแค่ไหน แต่ตรงนี้ขอสปอยล์ให้ฟังก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องในซีซั่นแรกพึ่งจะไปถึงช่วงโควิดเอาตอนจบซีซั่นไปแล้ว ก็เหมือนหลอกคนดูนิดๆ จากในเรื่องย่อที่โปรยเอาไว้ว่าพวกเธอต้องเจอกับโรคระบาดโควิดใน LA แต่กลายเป็นค้างไว้ไปเริ่มที่ซีซั่น 2 ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งๆ ที่การเล่นเรื่องโควิดในตอนนี้กับการเป็นคนเป็นแม่น่าจะเข้ากระแสกับมีอะไรใหม่ๆ มาให้เล่นมากกว่า แต่เรื่องไปจับช่วงเวลาก่อนหน้าสองเดือนเพื่อปูชีวิตของแม่ 4 คนที่มีนิสัยกับวิถีชีวิตส่วนตัวแตกต่างกันมาก แต่พวกเธอก็เป็นเพื่อนรักกันจริงๆ โดยจัสตินที่จูลีเล่นเป็นตัวนางเอกหลักมีอาชีพเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศสที่เปิดร้านในอเมริกา โดยย้ายมาปักหลักอยู่ที่นี่กับสามีที่สถาปนิกฝรั่งเศสเช่นกัน ในขณะที่ชีวิตหน้าที่การงานเธอรุ่งเรืองกลายเป็นเชฟคนดัง สามีกลับถูกคนอเมริกันด้อยค่าไม่ยอมรับจนแทบตกงาน ซึ่งราวก็ดำเนินไปแบบชีวิตคู่ที่ลุ่มๆ ดอนๆ ขาดสีสันจนแทบหมดมนต์เสน่ห์ของคู่รักไปแล้ว ในขณะที่เพื่อนสนิทของเธอก็มีปัญหาต่างๆ นาๆ แตกต่างกันไปทั้งกับคู่รักและลูกๆ อย่าง เอล คุณแม่ลูก 3 จากพ่อ 3 คน คนละเชื้อชาติ ที่ต้องกัดฟันหาอะไรทำเพื่อเลี้ยงลูกให้ได้ จนสุดท้ายลองเป็นยูทูบเบอร์ตลกขายตัวเองกับลูกๆ แบบซิทคอม หรือ ยาสมิน ที่มีเชื้อชาติมาจากตะวันออกกลาง นิสัยขี้วิตกกังวลจนแทบจะใกล้ๆ โรคไบโพล่าร์ไปกลายๆ และ แอน ที่ถูกแม่รวยเข้ามาจุ้นจ้านดูแลทุกอย่างจนน่าอึดอัด
อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่ในความเดิมๆ ของเรื่องราวต้องยอมรับว่าบทของจูลี เดลฟีเขียนได้สนุกแบบเพลินๆ ดูเหมือนซิทคอมเรื่องยาวมีดราม่าเบาๆ แทรกมุกตลกที่อดขำตามไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะมุกล้อเลียนตัวเธอเองล้วนๆ ขนาดที่มีเรื่องว่าเธอต้องเจอตัวเองในเรื่องนี้ และต้องขอให้ตัวเองแท็กร้านอาหารของเธอช่วยโปรโมทลง IG ให้หน่อย แต่แล้วกลับพบว่าจูลี เดลฟี คนในเรื่องกลับไม่เหมือนแบบที่คนดูคิดเลย มีความจิกกัดตัวเองด้วยตลกร้ายๆ จนอดขำไม่ได้ ซึ่งพวกมุกตลกร้ายในเรื่องนี้และคือจุดที่ทำให้เรื่องนี้ยังดูได้เพลินๆ อยู่แม้ยาวถึง 12 ตอนละประมาณ 30 นาที แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดไว้ก่อนดูเลย แต่ถ้าคนไม่ได้ติดตามหรือรู้จักนักแสดงอย่างจูลีมาก่อนก็อาจจะไม่เก็ทกับมุกจิกกัดตัวเธอได้เหมือนกัน
ถึงแม้โดยรวมจะเป็นเรื่องราวดราม่าวุ่นๆ ในชีวิตคุณแม่กับลูกทั่วไปก็ตาม แต่ในเรื่องก็แอบมีพิเศษหน่อยจากเรื่องของยาสมิน ที่มาเฉลยตอนกลางเรื่องว่าเธอเป็นอดีตสายลับตะวันออกกลาง และต้องกลับมาทำหน้าที่สืบความลับในอเมริกาช่วยประเทศชาติกำเนิดเธออีกครั้ง ซึ่งพอเรื่องเปิดมาตรงนี้มาก็ทำให้มีเรื่องราวแปลกแตกต่างขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นหนังสายลับอะไรแบบนั้น เป็นแนวปมอดีตที่ซ่อนไว้ทำให้คนดูได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ชอบให้ลูกเล่นอะไรเกี่ยวกับปืนทั้งหมด หรืออาการแพนิคใกล้ไบโพล่าร์ของเธอมาจากไหน ซึ่งก็เป็นสีสันเล็กๆ ของเรื่องนี้ที่พิเศษน่าติดตามกว่าคนอื่นหน่อย
ตัวเรื่องก็ไม่ได้แค่โฟกัสที่แม่อย่างเดียว แต่มีเรื่องราวของพ่อของแต่ละบ้านด้วย ซึ่งก็มีความแตกต่างกันไป แต่บทอาจจะไม่ได้มากมาย ยกเว้นสามีของจัสตินนางเอกหลักในเรื่องที่เยอะหน่อย ประมาณว่าความเก่งของจัสตินในอเมริกาทำให้เธอกลายเป็นช้างเท้าหน้าเลี้ยงสามี โดยที่เขาเองก็เก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ตลอด จนทำให้ชีวิตคู่ดูอึดอัดเมื่อเขาทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จนแอบพาลหาเรื่องภรรยาอยู่ร่ำไป สุดท้ายกลายเป็นจัสตินเองก็เบื่อและนอกใจสามีของเธอในตอนท้ายซีซั่น แต่ปมในเรื่องนี้อาจจะไม่ได้หนักหนาอะไรเพราะถูกทำให้เป็นเรื่องตลกร้ายไปซะทั้งหมด แล้วก็ดูเหมือนว่าซีรีส์ตั้งใจเล่าเรื่องราวก่อนโควิดระบาดเพื่อไปต่อซีซั่น 2 เล่นเรื่องนี้จริงจังในภายหลัง ก็ต้องรอดูว่าการปูปมดราม่าในซีซั่นนี้จะถูกนำไปใช้กับโควิดระบาดได้ยังไงครับ
สรุปโดยรวมถึงตัวเนื้อเรื่องจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ แต่ถ้าได้เปิดดูก็เพลินๆ ไม่ติดขัดอะไรได้เหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ซีรีส์ที่ต้องแนะนำให้ดู แต่ก็ไม่แย่ถ้าคุณชอบจูลี เดลฟี การได้เห็นเธอจิกกัดตัวเองในฐานะนักแสดงก็เป็นอะไรที่ขำๆ ดีเหมือนกันครับ