รีวิว The Trip (Netflix) หนังตลกร้ายของสองสามีภรรยาที่ไปทริปบ้านพักแล้ววางแผนฆ่ากัน
The Trip
สรุป
หนังตลกร้ายวายป่วง เลือดสาด ดิบเถื่อน ดีกรีความโหดสุดขีด ที่ต้องการลดโทนความโหดของเรื่องลงด้วยการนำเสนอเป็นหนังตลกร้าย ดูได้เพลิน แต่เป็นมุกตลกร้ายแนวยุโรปเหนือที่คนไทยอาจจะไม่เก็ต
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- เป็นแนวตลกร้ายที่รวมสารพัดมุก เดินเรื่องเดาทางได้ยาก
- สนองนีดคนชอบแนวเลือดสาด เอามันส์
- หักมุมเป็นระยะ ตอนจบทำได้ดี
Cons
- หนังเป็นมุกตลกสไตล์ยุโรปเหนือ ที่หลายคนอาจจะไม่เก็ต
- มีช่วงเนือยไปบ้าง
- พาร์ทดราม่าทำได้ดี แต่คนที่คาดหวังหนังตลกอาจเบื่อ
The Trip Netflix รีวิว ภาพยนตร์นอร์เวย์ แนวตลกร้าย วายป่วง วินาศสันตะโรแบบคาดเดาอะไรไม่ได้ เลือดนองทั้งเรื่อง เรต 18+ เมื่อสองสามีภรรยาไปทริปบ้านพักในป่าแล้ววางแผนฆ่ากันเอง แต่กลับเจอเรื่องราวหักมุมไม่หยุดหย่อน
นักแสดงหลัก ได้นางเอก นูริ ราเปซ ที่เคยมีผลงานชื่อดังอย่าง The Girl with Dragon Tattoo (เวอร์ชั่นต้นฉบับ) มารับบทเป็น ลิซ่า นางเอกของเรื่อง และเป็นหนังแนวตลกเรื่องแรกด้วย ผู้กำกับโดย ทอมมี่ เวียร์โคบ้า รับชมได้เลยใน Netflix
The Trip Netflix Trailer
TheTrip Netflix เรื่องย่อ
เรื่องราวของ สองสามีภรรยา ลิซ่า นักแสดงหญิง และ ลาร์ส ผู้กำกับละครเวที ที่กำลังมีปัญหาชีวิตคู่อย่างรุนแรง รวมถึงปัญหาด้านการเงินและอื่นๆ พวกเขาเลยวางแผนที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้วยการเดินทางไปทริปพักผ่อนในบ้านกระท่อมกลางป่าซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศของพ่อของลาร์สที่ปลูกไว้
แต่ทั้งสองสามีภรรยาต่างฝ่ายก็มีแผนลับของตนเองอยู่ นั่นคือการหาทางฆาตกรรมอีกฝ่าย เพื่อตัดปัญหาชีวิตคู่ และจะได้เป็นอิสระอีกครั้ง แต่หารู้ไม่ว่า แผนการณ์ของพวกเขากลับไม่ได้ดำเนินอย่างราบรื่น แถมยังมีสถานการณ์สุดวายป่วงที่เข้ามาเป็นระยะจากผู้คนที่กรูกันเข้ามาที่บ้านพักตากอากาศหลังนี้โดยบังเอิญ
จากทริปพักผ่อนที่สองสามีภรรยาวางแผนฆ่ากัน เลยกลายเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองคนต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากเหตุนองเลือดท่วมบ้านที่ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นทุกขณะที่หนังฉายไปเรื่อยๆ
The Trip Netflix รีวิว
เรื่องนี้เป็นหนังแนวตลกร้าย ผสมเลือดสาด มุกซกมก สุดเถื่อน ถ้าให้อธิบายว่าคล้ายกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดชื่อดังเรื่องไหน สไตล์ของเรื่องก็มีส่วนคล้ายกับหนังอย่าง Snatch ของผู้กำกับ กาย ริชชี่ เพียงแต่เพิ่มดีกรีความเลือดสาดมากกว่า ดูไปแล้วจะคล้ายกับหนังอย่าง Piranha 3D มากกว่า ซึ่งในภาพรวมของหนังจัดว่าเป็นแนวตลกวายป่วง ที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ เนื้อเรื่องพร้อมจะหักมุมตลอดเวลา และพร้อมจะยัดตัวละครหรือสถานการณ์วายป่วงเข้ามาแบบไม่ต้องสนใจความสมจริงใดๆทั้งสิ้น ประมาณว่าจังหวะเวลาและไทม์มิ่งทุกอย่าต้องมาเกิดขึ้นที่บ้านกลางป่าซึ่งเป็นฉากหลักของเรื่องนี้ทั้งหมด
หนังก็มีข้อเสียไม่น้อยเหมือนกัน เพราะหนังจะมีช่วงน่าเบื่อและช่วงเนือยแทรกเป็นระยะอยู่บ้าง เพียงแต่ในภาพรวมแล้วการเดินเรื่องค่อนข้างสนุก คาดเดายาก หนังยังเลือกใส่สถานการณ์พิสดารสุดวายป่วงเข้ามาในเรื่องแบบที่เราสามารถแบ่งออกมาได้เป็นแต่ละบทหลักในระหว่างเรื่อง เหมือนเรากำลังชมละครเวทีสักเรื่องที่จะมีการแบ่งเนื้อหาออกมาเป็นทีละองก์
ที่สำคัญคือหนังยังมีความโหดดิบในตัวสูง ไม่ค่อยมีความปราณีให้ตัวละครเท่าไรนัก ซึ่งก็เป็นสไตล์ของหนังจากยุโรปอยู่แล้วที่มีความดิบโหด มักมองโลกในแง่ร้าย และที่สำคัญคือหนังไม่ค่อยเดินตามสูตรหนังฮอลลีวูดที่เราพบเห็นกันประจำด้วย
ในช่วงกลางเรื่องหนังดูจะยืดและมีการเปลี่ยนโทนอารมณ์ให้มาเป็นแนวจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่สามโจรที่แหกคุกออกมาจับสองสามีภรรยาตัวเอกเป็นตัวประกัน ช่วงนี้ใช้เวลาแอร์ไทม์ค่อนข้างมาก และมุกตลกก็ไม่ค่อยขำสักเท่าไหร่ เป็นช่วงที่หนังเปลี่ยนมูดอารมณ์ของเรื่องให้ไปทางดราม่า แต่มันก็ดราม่าจริงจังอยู่ได้แค่ระยะหนึ่ง ก่อนที่หนังจะพาเรื่องเข้าสู่ความวายป่วงอีกรอบ
มุกตลกบางอย่างอาจจะดูแปลกๆ เพราะเป็นมุกตลกในสไตล์ยุโรปเหนือหรือสแกนดิเนเวีย ที่แฝงการจิกกัดสภาพสังคม การเหยียดเชื้อชาติ และมุกตลกทางเพศบางอย่าง ซึ่งคนไทยดูแล้วอาจจะสงสัยว่ามันตลกยังไง แต่ถ้าเป็นคนที่ดูหนังอเมริกันและหนังยุโรปมาเยอะ อาจจะเข้าใจลักษณะความเป็นหนังตลกของเรื่องนี้อยู่บ้าง ว่ามันเป็นแนวทางแบบตลกร้าย หรือ Dark Comedy ที่หนังตะวันตกค่อนข้างชอบทำแนวนี้ หากให้อธิบายอย่างเข้าใจง่าย ก็คือเป็นการจับตัวละครเอกให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ซีเรียส เสี่ยงอันตราย หรือบางทีก็เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่ามีอะไร แต่กลับสร้างความหงุดหงิดให้ตัวละคร แล้วก็ทำให้คนดูขำไปกับความเครียดของตัวละครเอก ที่จะต้องหาทางเอาตัวรอดจากความวายป่วงที่เกิดขึ้นด้วย
สำหรับโทนของหนัง ช่วงแรกถึงกลางเรื่องที่พวกกลุ่มตัวร้ายอย่างสามโจรในเรื่องโผล่ออกมาช่วงแรก หนังยังมีความเป็นตลกร้ายสูง แต่หลังจากนั้นหนังพยายามปรับโทนให้จริงจังและมีความดราม่ามากขึ้น จนเรียกว่ากลายเป็นหนังกึ่งแอ็คชั่น กึ่งเอาตัวรอดไปแทน ตรงนี้หากเป็นคนที่คาดหวังหนังตลกแอ็คชั่นไปเลยอาจจะน่าผิดหวังไปบ้าง แต่ถ้าเป็นคนคาดหวังความเป็นหนังแอ็คชั่นกึ่งเอาตัวรอดที่มีมุกตลกร้ายเข้ามาแทรกบ้างก็อาจจะชอบมากกว่าครับ
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบข้อดีอย่างหนึ่งของหนังในแง่ที่ใช้เทคนิคการเรื่องแบบแฟลชแบ็กเข้ามาใช้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าตัวละครที่เข้ามาร่วมวงวายป่วงในบ้าน ว่าเกิดออะไรขึ้นพวกเขาถึงเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ได้
ส่วนพาร์ทสุดท้ายถือว่าหนังพลิกจากความดราม่าจริงจังกลับมาเป็นตลกร้ายได้อีกรอบแบบคาดไม่ถึงเหมือนกัน แถมตอนจบก็ทำออกมาได้สมกับเป็นหนังตลกร้ายสุดแสบได้ดีมาก แล้วยังมีการจิกกัดวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดแบบสุดแสบ ทั้งที่เป็นซีนท้ายเรื่องเล็กๆ
สองสามีภรรยาเอาเรื่องราวที่พวกเขาเจอในบ้านพักไปขายลิขสิทธิ์ให้กับฮอลลีวูดเอาไปสร้างหนัง แล้วทั้งสองคนก็บิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนผู้สร้างหนังก็ต้องปรับตัวละครเอาคนผิวสีมาเป็นตัวเอกแทน เรียกว่าแอบกัดวงการฮอลลีวูดที่ตอนนี้เอะอะอะไรก็ปรับบทให้เป็นคนผิวสีไปซะหมด
ในภาพรวมแล้วเป็นหนังตลกร้ายวายป่วง เลือดสาด ดิบเถื่อน ดีกรีความโหดสุดขีด ที่ต้องการลดโทนความโหดของเรื่องลงด้วยการนำเสนอเป็นหนังตลกร้าย เพราะเอาเข้าจริงแล้วเรื่องนี้คือหนังแนวเลือดสาดสุดโหดเหี้ยมที่ไม่ปราณีตัวละครใดๆทั้งสิ้นเรื่องหนึ่งเลยครับ
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website