รีวิว Light the Night SS1-2 งานสร้างซีรีส์ไต้หวันย้อนยุคดราม่าฆาตกรรมของ Netflix ที่คุณภาพสูงมาก
Light the Night
-
คะแนน SS1 - 7/10
7/10
-
คะแนน SS2 - 8.5/10
8.5/10
สรุป
สรุปรีวิว SS1 ถือเป็นซีรีส์ที่มีคุณภาพมากเรื่องหนึ่ง ในด้านงานสร้างที่ปราณีตใส่ใจเก็บรายละเอียดย้อนยุคได้ดีเลย เรื่องราวการเล่าอาจจะช้าๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรมากสำหรับคนที่ดูในแนวนี้ได้ จะติดข้อด้อยใหญ่ๆ ข้อเดียวก็คือการกั๊กส่วนสืบสวนฆาตกรรมมากจนเกินไปเพื่อไปต่อซีซั่น 2 เท่านั้นครับ (เรื่องนี้ฉายต่อเนื่องทันทีวันที่ 30 ธันวาคม 2564) แต่ถ้าคิดว่ามาดูซีรีส์แนวดราม่าผู้หญิงจีนย้อนยุคก็ถือว่าเป็นตอบโจทย์ได้อยู่เหมือนกัน
สรุปรีวิว SS2 พลิกเกมการเล่าเรื่องใหม่หมดเลย กลายเป็นซีรีส์สืบสวนที่ซ่อนเงื่อนปมคดีฆาตกรรมที่ดูเหมือนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา มีความลึกลับซับซ้อนหักมุมเรื่องราวในซีซั่น 1 ทั้งหมด มีตัวละครใหม่ปรากฎขึ้นมาในคดีได้อย่างน่าตื่นเต้น เหมือนเป็นหนังคนละม้วน แต่ก็ไม่ทิ้งพาร์ทดราม่าความสัมพันธ์ของตัวละครทุกคนไปเลย แถมยังส่งอารมณ์พาร์ทมิตรภาพกับความรักไปยังจุดที่ทั้งอบอุ่นกับเจ็บปวดใจไปพร้อมกัน ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้ในซีซั่นแรกจะดูเป็นแนวดราม่าผู้หญิงก็ตาม
Overall
7.8/10User Review
( vote)Pros
- เรื่องราวย้อนยุคไปปี 1988 ของผู้หญิงในไนต์คลับญี่ปุ่นที่เปิดในไต้หวัน
- ดราม่ามิตรภาพ ความรัก การทรยศหักหลังของผู้หญิงด้วยกัน
- งานโปรดักชั่นย้อนยุคทำได้ดีมาก
- พาร์ทสืบสวนค่อยๆ เผยออกมาได้น่าติดตาม
- เกลี่ยบทให้ทุกตัวละครมีเรื่องราวลงลึกของตัวเองได้ดีมาก
- นักแสดงเป็นธรรมชาติมากทุกคน
- นักแสดงสาวต้องพูดญี่ปุ่นสลับจีนทั้งเรื่อง
- เพลงประกอบ The Moon Represents My Heart (พระจันทร์แทนใจฉัน) นำมาใช้ได้ลงตัวไพเราะมาก
Cons
- พาร์ทสืบสวน SS1 พยายามปกปิดเหยื่อว่าเป็นใครมากจนเกินไป เพื่อไปต่อซีซั่น 2
- ตัวละครรองเยอะทำให้เส้นเรื่องรองเยอะตามไปด้วย
- SS1 เดินเรื่องด้วยดราม่าชีวิตตัวละครเป็นหลักมากกว่าสืบสวน (ถ้าไม่ใช่สายดราม่าคงไม่ชอบ)
Light the Night แสงราตรี ซีรีส์ไต้หวัน Netflix เรื่องราวของคดีฆาตกรรมผู้หญิงในไนท์คลับญี่ปุ่น ย่านโคมแดงของไทเปเมืองหลวงไต้หวันช่วงทศวรรษ 1980 ที่เต็มไปด้วย มิตรภาพ ความรัก อกหัก ความอิจฉาริษยา และการหลอกลวง
ตัวอย่าง Light the Night แสงราตรี
รีวิว Light the Night SS1 (ไม่มีสปอยล์)
เรียกว่านานๆ ทีจะมีซีรีส์จีนหรือไต้หวันที่สร้างจากทุนเน็ตฟลิกซ์ตรงๆ มาสักที ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในแนวดราม่าสืบสวนคดีฆาตกรรมผู้หญิงในย่านโคมแดงของไทเป เรื่องราวถูกเล่าย้อนอดีตไปช่วงปี 1988 โดยมีตัวละครจำนวนมากมาเกี่ยวข้องผูกพันกันในไนท์คลับญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าแปลกสักหน่อยที่เป็นหนังจีนไต้หวันนำเสนอโลกของไนท์คลับญี่ปุ่น ตัวละครในเรื่องพูดญี่ปุ่นในไนท์คลับกับแขก แล้วก็สลับเป็นภาษาจีนกลาง เป็นซีรีส์ที่ถูกวางยาวไว้ 3 ซีซั่น รวมแล้ว 24 ตอนจบ มีทั้งหมดจำนวน 8 ตอนในซีซั่นแรกความยาวประมาณ 40-50 นาทีต่อตอน กำกับโดย เหลียน อี้-ชิ ที่มีผลงานฉายในไทยอย่าง หักเหลี่ยมโหดตำรวจโคตรระห่ำ Peace Breaker
เนื้อเรื่องเริ่มจากมีกลุ่มนักศึกษาไปพบศพถูกดินถล่มทับกลางป่า ก่อนที่ตำรวจจะสืบกลับมาว่าผู้ตายเป็นผู้หญิงในไนท์คลับญี่ปุ่น “แสงสกาว” เรื่องราวจะเล่าย้อนกลับไป 3 เดือนก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม ที่มีจุดศูนย์กลางของเรื่องราวอยู่ที่มาม่าซัง 2 คน ซูกับโรส ที่ร่วมกันเปิดไนท์คลับแห่งนี้ขึ้นมา และก็มีเรื่องราวเหตุร้ายต่างๆ เกิดขึ้นมากับทุกคนในไนท์คลับในช่วงเวลา 3 เดือน เหมือนต่างคนก็เป็นชนวนเหตุเกี่ยวข้องกับคดีนี้ทั้งสิ้น
ซีรีส์เรื่องนี้มีรสชาติที่อาจจะแปลกแตกต่างจากที่มีในเน็ตฟลิกมากสักหน่อย ด้วยความที่เป็นซีรีส์จีนย้อนยุคเต็มตัว ซึ่งใครที่เกิดไม่ทันยุคซีรีส์จีนดราม่าสมัยก่อนก็อาจจะไม่ชอบหน้าตาของเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในตัวซีรีส์เองไม่ได้ด้อยคุณภาพใดๆ เลย ถือว่าเป็นซีรีส์ที่มีงานสร้างปราณีตพอตัวเลย ทั้งเสื้อผ้า ทรงผม สถานที่ แถมยังต้องจำลองไนท์คลับญี่ปุ่น ใช้นักแสดงญี่ปุ่นมาร่วมด้วย นักแสดงไต้หวันเองก็ต้องพูดญี่ปุ่นสื่อสารในเรื่องผสมกับจีนให้เป็นธรรมชาติอีก ถือว่าเป็นงานยากพอตัวเลยทีเดียว โดยใช้งบถึง 9 ล้านเหรียญสหรัฐในการสร้างเรื่องนี้ ซึ่งก็มากทีเดียวเมื่อเทียบกับซีรีส์เกรดทั่วๆ ไป ดังนั้นในเรื่องโปรดักชั่นก็เรียกได้ว่าผ่านเลยไม่มีอะไรต้องให้ติติงกัน
จุดเด่นของเรื่องนี้ก็ใช้การย้อนยุคเล่าเรื่องราวการสืบสวนที่แบ่งเป็นส่วนของ การเล่าชีวิตผู้หญิงในไนท์คลับกับส่วนของการสืบสวนตำรวจในปัจจุบันและอดีตที่ตำรวจกลุ่มนี้ไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งในส่วนชีวิตผู้หญิงในคลับก็มีตัวละครหลักคือ ซูกับโรส เป็นมาม่าซังที่ก่อตั้งแสงสกาวขึ้นมา เป็นเรื่องราวความรักสามเส้าของทั้งคู่ที่มีต่อผู้ชายคนเดียวกัน ที่มีอาชีพเป็นนักเขียนบทโทรทัศน์ ซึ่งเขามีนิสัยเจ้าชู้ในตัวที่ทั้งคู่ก็รู้ดี แต่ด้วยความรักก็ทำให้เกิดการหักหลังแย่งชิงกันขึ้น แต่ก็ยังเป็นในรูปแบบมิตรภาพระหว่างเพื่อนไปด้วย
นอกจากนี้ในแสงสกาวก็มีทีมงานเป็นสาวๆ ที่มีที่มานิสัยแตกต่างกันหมด เรื่องราวจะซอยย่อยออกเป็นคนๆ ตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องราวของซูกับโรส ทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของสองคนนี้โดยตรงอย่าง ไอโกะ สาวนักศึกษาที่แอบรักเพื่อนหนุ่มที่เรียนด้วยกัน แต่เขากลับมาหลงรักมาม่าซู จนกลายเป็นปมรักซ้อนกันหลายทอด ซึ่งตัวละครแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นกับเรื่องราวที่น่าสนใจ แม้จะเป็นเรื่องชีวิตผู้หญิงๆ ที่มีทั้งเรื่องอิจฉาริษยา การแก่งแย่งลูกค้า แต่ก็ไม่ได้ออกมาน้ำเน่าอะไรมาก แต่ทุกคนก็จะมีจุดร่วมกันอย่างหนึ่งคือ การหลงรักผู้ชายที่อาจจะไม่ได้รักพวกเธอจริง ซึ่งผู้ชายในเรื่องแทบทุกคนจะเป็นคนเลวทั้งนั้น ถือว่าเป็นจุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้เลยที่เล่าเรื่องผู้หญิงหลายคนที่ต้องเจ็บปวดกับความรักความผิดหวังในตัวผู้ชายในแบบต่างๆ กัน ซึ่งโทนเรื่องส่วนนี้จะค่อยๆ ซึมซับดราม่าพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ อาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าถึงเพราะตัวละครเยอะมากจริงๆ แต่พอผ่านไปสัก 3 ตอนผู้ชมจะเริ่มสัมผัสจับจุดเรื่องราวได้แล้ว อาจจะไม่ถึงกับติดมาก แต่ก็ชวนดูได้เรื่อยๆ เช่นกัน
ในส่วนของตำรวจจะแบ่งออกเป็นอีก 2 ช่วงคือ ช่วงในอดีตที่พวกเขาต้องแฝงตัวเข้ามสืบคดียาเสพติดในแสงสกาว แต่กลับกลายเป็นการพบรักกันที่นี่ ซึ่งส่วนนี้เป็นเหมือนช่วงเวลาความรักอีกด้านจากผู้ชายที่ไม่ใช่แขกในแสงสกาวที่ผู้หญิงเหล่านั้นหลงรัก ซึ่งทีมตำรวจจริงใจกว่า แต่เรื่องไม่ได้เป็นในแนวรักหวานๆ อะไร เรียกว่าเป็นความรักแบบธรรมชาติเริ่มผูกพันกันโดยที่ฝ่ายหญิงไม่รู้ตัวว่าฝ่ายตำรวจชายมีใจให้ ซึ่งถือว่าเรื่องนำเสนอออกมาได้ดีเลย โดยให้พวกเธอได้พบกับโลกที่โดนผู้ชายหลอกลวงมาก่อนเจอกับพวกเขา
อีกส่วนในปัจจุบันตัวเรื่องจะเป็นการสืบสวนคดีฆาตกรรมที่ตัวเรื่องพยายามปิดไว้มิดชิดมากว่าใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ โดยให้เห็นแต่เท้ากับรองเท้าสีแดง ซึ่งรองเท้านี้ก็จะถูกเล่าย้อนกลับไปยังเรื่องในแสงสกาวอีกทีว่าเป็นรองเท้าที่ทุกคนถูกแจกให้ใส่งานสำคัญของบาร์ ซึ่งการพยายามปิดบังเหยื่อที่เป็นศพอย่างมิดชิดก็เพื่อเจตนาลากเรื่องราวให้คนดูค่อยๆ ติดตามร่วมเดากันว่าเป็นใครกันแน่ เพราะเรื่องในคลับของแต่ละคนก็มีแนวโน้มที่จะโยงกลับมาว่าเป็นเหยื่อในนี้ได้ทั้งนั้น แต่กลวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ก็เป้นปัญหาในตัวด้วย เมื่อการปิดบังนี้ยาวนานมากเกินไปจนถึงฉากสุดท้ายของตอน 8 ถึงเฉลยว่าเป็นใคร ซึ่งไม่ได้เกินคาดเดามากด้วย ทำให้รู้สึกเฟลเหมือนกันที่เรื่องลากยาวส่วนนี้เกินไป แถมการพยายามปิดบังไว้เยอะก็ทำก็ฉากสืบสวนในปัจจุบันมีน้อยตามไปด้วย จนทำให้ดูเหมือนไม่ได้เป็นซีรีส์สืบสวนสักเท่าไหร่ แม้จะเปิดมาด้วยฉากคดีฆาตกรรมก็ตาม
สิ่งที่ตัวเรื่องทำได้น่าประทับใจคือการแสดงของแต่ละคนในเรื่องเป็นธรรมชาติมาก ซึ่งซีรีส์ไต้หวันค่อนข้างโดดเด่นตรงนี้อยู่แล้ว ตัวละครเด่นๆ โดยเฉพาะไอโกะ สาวนักศึกษาที่มีปมหลายอย่าง เธอทั้งสวยและโดดเด่นมาก อีกทั้งยังเหมือนสาวญี่ปุ่นจริงๆ ด้วย (แต่เป็นนักแสดงไต้หวัน ชื่อ Hsueh-Fu Kuo) หรือนักเขียนบทที่เจ้าชู้เลวๆ ก็มีเสน่ห์จนทำให้เราเข้าใจว่าทำไมมาม่าซังตัวหลักของเรื่องสองคนถึงหลงเขาได้ (แสดงโดย Rhydian Vaughan)
อีกจุดที่ช่วยให้เรื่องนี้มีเสน่ห์มากขึ้นก็คือการนำเพลง The Moon Represents My Heart (พระจันทร์แทนใจฉัน) ของศิลปิน เติ้งลี่จวิน ซึ่งโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน มีนักร้องไทยนำไปร้องกันมากมาย ซึ่งเพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงไตเติล เพลงประกอบ (คนละคนร้องกับไตเติล) มีฉากที่ตัวละครในเรื่องใช้เพลงนี้ร้องหลายครั้ง ซึ่งความไพเราะของเพลงร่วมกับเนื้อเพลงที่กินใจลงตัวทำให้ชวนอินไปกับเรื่องราวมากยิ่งขึ้น
เพลง The Moon Represents My Heart (พระจันทร์แทนใจฉัน)
Light the Night ถือเป็นซีรีส์ที่มีคุณภาพมากเรื่องหนึ่ง ในด้านงานสร้างที่ปราณีตใส่ใจเก็บรายละเอียดย้อนยุคได้ดีเลย เรื่องราวการเล่าอาจจะช้าๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไรมากสำหรับคนที่ดูในแนวนี้ได้ จะติดข้อเดียวก็คือการกั๊กส่วนสืบสวนฆาตกรรมมากจนเกินไปเพื่อไปต่อซีซั่น 2 เท่านั้นครับ แต่ถ้าคิดว่ามาดูซีรีส์แนวดราม่าผู้หญิงจีนย้อนยุคก็ถือว่าเป็นตอบโจทย์ได้อยู่เหมือนกัน
Light the Night SS2 (มีสปอยล์ SS1 ไม่สปอยล์ SS2)
ซีรีส์เรื่องนี้ถูกฉายต่อเนื่องกันทันทีในเวลาไม่นาน ห่างจากซีซั่นแรกแค่ 1 เดือน เป็นซีซั่นที่ต้องบอกเลยว่านี่คือ 1 ในซีรีส์ไต้หวันหรือจีนท่ีดีอันดับต้นๆ ของ Netflix แน่นอน แม้ว่าซีซั่นแรกอาจจะดูเนือยๆ ยืดๆ กับช่วงการซ่อนปมว่าใครคือเหยื่อ แล้วเรื่องก็พยายามปูดราม่าชีวิตตัวละครทุกตัวมากซะเหลือเกิน แต่นั่นคือความต้องการของผู้สร้างที่ปูทุกอย่างละเอียดเพื่อให้จุดพีคทางอารมณ์ทุกอย่างมาอยู่ที่ซีซั่น 2
ตัวอย่าง Light the Night SS2
เนื้อเรื่องคร่าวๆ ของ SS2
ซีซั่น 2 หลังจากเรารู้ว่าเหยื่อคือใคร ตัวเรื่องก็เดินหน้าต่อในจุดนี้ทันที เรื่องราวโฟกัสไปที่โรสที่ถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกร จากการทำงานสืบสวนของตำรวจที่พุ่งเป้ามาที่เธอ โดยหัวหน้าทีมสืบสวนก็เข้ามาใกล้ชิดตีสนิทจนแยกไม่ออกว่านี่คือการสืบสวน หรือว่าเป็นความรู้สึกในเชิงชู้สาวที่เขามีให้เธอ ในขณะที่ข่าวลือว่าโรสเป็นฆาตกรแพร่ไปเรื่อย ก็ทำให้บาร์แสงสกาวต้องอยู่ในจุดตกต่ำที่กอบกู้ไม่ได้ โรสจึงต้องอยู่ในสถานะที่ลำบากมากที่สุดในชีวิต
รีวิว Light the Night SS2
ต้องขอคาราวะงานสร้างเรื่องนี้เลยที่บทเก็บรายละเอียดได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกรายละเอียดที่เราได้เห็นไปในซีซั่น 1 ถูกนำมาใช้ขยายต่อเติมให้สมบูรณ์ในซีซั่น 2 แทบทั้งหมด ทำให้พาร์ทคดีฆาตกรรมของเรื่องนี้มีความลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่คาดเดาไว้มาก ซึ่งจุดนี้เองเป็นข้อด้อยของซีซั่นแรกที่ใส่มาน้อยไป ขอให้ลืมการเดินเรื่องแบบตัดสลับมากมายในซีซั่นแรกไปเลย เพราะซีซั่นนี้ส่วนของการสืบสวนเดินไปข้างหน้าต่อเนื่องตลอดเวลา โดยค่อยๆ ตัดตัวละครที่เนื้อเรื่องชวนให้คนดูคิดว่าอาจจะใช่ฆาตกรหรือไม่ใช่ซีซั่นแรกไปทีละคนๆ พร้อมกับเผยเรื่องราวอีกด้านของตัวละครที่ถูกสงสัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมาทั้งหมดในซีซั่นนี้ ตัวเรื่องยังคงจุดคลุมเครือที่ว่าทุกคนสามารถเป็นฆาตกรได้ไว้แบบเดิม เพื่อไปต่อซีซั่น 3 ซึ่งเป็นซีซั่นจบของเรื่องนี้ด้วย แต่ความคลุมเครือนี้ก็ไม่ใช่ข้อด้อยแบบซีซั่นแรก เพราะตัวเรื่องทำส่วนสืบสวนออกมาได้น่าติดตามมาก แม้จะเป็นแบบค่อยๆ เผยมาทีละนิด แต่ก็มีจุดเซอร์ไพรซ์เล็กๆ เป็นระยะๆ ก่อนที่จะโยนเซอร์ไพรซ์เด็ดไว้ในตอนจบได้พีคสุดๆ แบบเชื่อเลยว่าไม่มีใครคาดถึงแน่นอน
ซีซั่นนี้ยังพาเราย้อนอดีตไปไกลกว่าเดิมถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ซุกับโรสในวัยเด็ก ที่ทั้งคู่สนิทกันได้เพราะซูย้ายบ้านมาอยู่ติดกับโรส จากซูเด็กที่มีปัญหาทางบ้าน ไม่มีใครคบในโรงเรียน ก็ได้โรสมาช่วยปกป้องดูแลตั้งแต่นั้น จนกลายเป็นมิตรภาพยาวนานมาถึงปัจจุบัน ซึ่งส่วนนี้ถูกเล่าออกมาในตอนแรกของซีซั่น 2 ยาวพอสมควร แต่จากนั้นแล้วก็มีแค่นิดหน่อย จุดนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเล่าเติมเต็มดราม่าความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว แต่ถูกนำมาใช้สร้างคาแรกเตอร์นิสัยใหม่ของซูในซีซั่นนี้ที่ต่างไปแบบพลิกเป็นคนละคนกับที่ผู้ชมได้เห็นในซีซั่นแรกเลย แต่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับซีซั่นแรก เป็นการพลิกคาแรกเตอร์แบบเป็นธรรมชาติในแง่ที่ว่า ใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง เราคิดว่าเรารู้จักใครดี แต่สิ่งที่เห็นนั้นอาจจะเป็นแค่สิ่งที่เขาสร้างภาพออกมาบังหน้าไว้ก็ได้ ซึ่งการพลิกคาแรกเตอร์ของซูช่วยทำให้เรื่องราวต่อยอดออกไปอีกมากมาย มีตัวละครใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเธออีกหลายคน และก็เป็นตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทต่อไปอีกในซีซั่นต่อไป ซึ่งเป็นการปูทางวางเรื่องให้มีปมใหม่เกิดขึ้นมาทิ้งไว้ลื่นไหลลงตัวกับเรื่องราวมาก (ไม่ใช่การยัดให้มีปมใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะบทถูกเขียนไว้ต่อเนื่อง 3 ซีซั่นแล้ว)
นอกจากนี้พาร์ทความรักของโรสที่ดูเหมือนจบไปในซีซั่นแรกแล้ว แต่ซีซั่นนี้กลับค่อยๆ เอาจุดนี้กลับมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างในชีวิตของโรสพังทลายลง การที่เรื่องราวนอกจะสานต่อความรู้สึกของนักสืบพันที่เป็นหัวหน้าทีมสืบคดีนี้ในแบบที่ไม่เคยบอกว่าชอบโรส แต่ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ว่าเขาจริงใจกับเธอในแบบห่วงแต่ไม่เผยออกมาตรงๆ เพราะเขารับผิดชอบคดีนี้แล้วโรสเองก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 จุดนี้เองทำให้เรื่องราวการสืบคดีดูอบอุ่นเล็กๆ ไปตลอดเรื่อง แม้โรสจะมองว่าเขามาใกล้ชิดเพราะมองว่าเธอคือผู้ต้องสงสัยก็ตาม และนอกจากนี้ยังนำตัวนักเขียนบทกลับมาเล่าเรื่องอีกด้านของความรัก ทำให้ตัวละครนี้ที่คนดูคงเกลียดมากในซีซั่นแรกได้กลับมามองเขาในแง่ดีขึ้นมาบ้าง ซึ่งตัวเรื่องนอกจากจะทำสำเร็จแล้ว ยังส่งผลให้เรื่องราวความรักของโรสกับเขามีบทสรุปที่ลงตัวชัดเจนมากขึ้น
แต่ที่ต้องตินิดนึงคือตัวละครใหม่ที่เปิดมาในซีซั่นนี้บางคนดูใช้ไม่คุ้ม อย่างมาม่าซังคู่แข่งที่เปิดบาร์ใหม่ชื่อ ซูการ์ (น้ำตาล) ตรงข้ามแสงสกาว ตัวละครนี้ถูกนำเสนอออกมาเป็นกะเทยแต่งหญิงที่มีบุคลิกนิสัยท่าทางโดดเด่นมาก นอกจากที่มีเรื่องแนวธุรกิจคู่แข่งเป็นปัญหารุมเร้าแสงสกาวแล้ว ยังดูเหมือนกุมมีบทกุมความลับของเรื่องไว้มาก แต่จนจบซีซั่นกลับไม่ค่อยมีบทบาทมากอย่างที่เข้าใจ แต่ตรงนี้ต้องรอดูต่อไปว่าอาจจะเป็นการปูทางไว้ก่อนเพื่อมีบทสำคัญในซีซั่นสุดท้ายก็ได้
ในซีซั่นนี้มีนักแสดงรับเชิญสำคัญคือ วิเวียนซู อดีตดาราสาวเจ้าเสน่ห์ในอดีต เธอมีบทเล็กๆ ในช่วงย้อนอดีตของบาร์แสงสกาวก่อนที่โรสกับซูจะได้มาเป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งเป็นการเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์ขึ้น แต่ก็ออกมาแค่ฉากเดียวแล้วไปเลย
สรุป Light the Night SS2 ดีไหม?
ดีแน่นอน และดีกว่า Ss1 แบบหนังคนละม้วนกันเลย ทั้งเรื่องความเร็วในการดำเนินเรื่องมากกว่า พาร์ทสืบสวนที่ค่อยๆ เผยรายละเอียดได้อย่างน่าติดตาม ดราม่าชีวิตที่ไม่เยอะมากไป พาร์ทความรักก็ทำออกมาได้ดี จนกลายเป็นซีรีส์ที่ต้องแนะนำว่าควรค่าแก่ดารดูมาก โดยเฉพาะคนที่มองหาซีรีส์เอเชียที่แตกต่างออกไปจากเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีนแผ่นดินใหญ่ก็ด้วย ซีรีส์เรื่องนี้มีแนวทางที่แตกต่างออกไปชัดเจน และก็ทำออกมาสนุกแบบไม่น่าเชื่อด้วย
Light the Night SS3 มาเมื่อไหร่?
เรื่องนี้เป็นการถ่ายทำกับเขียนบทยาวรองรับไว้ 24 ตอนจบแล้ว เน็ตฟลิกซ์ประกาศแล้วมาลงวันที่ 18 มีนาคม 2565