playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Titans ss3 Netflix การกลับมาของทีมไททันส์สู่เมืองวิปลาส ก็อตแธม มีดราม่าเยอะไปหน่อย

สรุป

ภาคต่อ Titans DC ที่ดัดแปลงจากผลงานชื่อดังของค่าย WB คราวนี้โยกมาเมืองก็อตแธม แต่เน้นดราม่าเยอะเกินไป บอสหลักดรอปลงกว่าภาคก่อน

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • งานโปรดักชั่นและโทนภาพยังคงสไตล์เฉพาะตัว
  • นักแสดงยังคงเล่นดี
  • คนที่ชอบคอมิคแบทแมนน่าจะชอบซีซันนี้
  • เอาเหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งในแบทแมนมาขยายต่อได้ดี

Cons

  • ดราม่าเยอะมากกว่าฉากแอ็กชั่น
  • เน้นวนเวียนดราม่าตัวละครมากเกินไป
  • บอสหลักภาคนี้ดูไม่น่าสนใจเท่าสองภาคก่อน
  • วัตถุดิบดีแต่ยังใช้ไม่ดีเท่าไหร่

ADBRO

Titans ss3 Netflix รีวิว ซีรีส์ การกลับมาของทีมไททันส์ DC เมื่อ ดิ๊ก เกรย์สัน หรือ โรบินที่กลายเป็นไนท์วิงได้รวมทีมเหล่าฮีโร่หนุ่มสาว ออกต่อสู้ปราบเหล่าร้าย คราวนี้เรื่องราวได้ย้ายมาที่เมืองก็อตแธม เมื่อ เจสัน ท็อด หรือโรบินคนที่สองถูกโจ้กเกอร์เล่นงาน และแบทแมนข้ามเส้นแบ่งการฆ่าศัตรูของตนเองทำให้เขาจากไป แล้วมอบภารกิจกอบกู้เมืองก็อตแธมให้กับดิ๊ก ทำให้เขาเรียกสมาชิกทีมไททันส์มาเพื่อช่วยเหลือ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคาดคิดเลย

สำหรับสองซีซันแรกเป็น Original Netflix ส่วนในซีซันสามได้ย้ายไปที่ HBO Max แต่ก็ยังเข้าฉายใน Netflix เช่นกัน ซึ่งซีซันสามก็ออกมาแล้ว 13 ตอนจบ สามารถรับชมได้เลยใน Netflix

ตัวอย่าง Titans ss3

Titans ss3 Netflix รีวิว ซีรีส์Titans ss3 เรื่องย่อ

เรื่องราวในซีซันสาม เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาปีกว่าหลังจากความสูญเสียของเหล่าไททันส์ในท้ายซีซันสอง เมื่อทีมต้องเสีย ดอนน่า ทรอย หลังจากนั้นเหล่าสมาชิกทีมไททันส์ที่เหลือบางส่วนก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทาง โดยเฉพาะ เรเชล หรือ เรเวน ที่ตัดสินใจออกเดินทางไปที่เกาะเธมิสกีร่าร่วมกับเหล่านักรบอเมซอนเพื่อหาทางคืนชีวิตให้ดอนน่าและเรียนรู้พลังของตนเองเพิ่ม แต่สมาชิกบางส่วนก็ยังคงรวมทีมทำหน้าที่พิทักษ์ความสงบให้ผู้คนอยู่ โดยมีฐานอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งทีมไททันส์ก็ยังคงนำทีมโดย ดิ๊ก เกรย์สัน ที่ยกระดับจาก โรบิน กลายเป็น ไนท์วิง (Nightwing) เต็มตัว

ในขณะเดียวกัน เจสัน ท็อดด์ หรือ โรบินคนที่สอง ก็ได้แยกออกจากทีมไททันส์แล้วกลับไปทำงานให้กับ บรู๊ซ เวย์น หรือ แบทแมน ที่เมืองก็อทแธม ได้ตามรอยเจอโจ้กเกอร์ แต่ด้วยความใจร้อนเขาเลยโดนโจ้กเกอร์สังหาร และสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อจิตใจของบรู๊ซเวย์นอย่างหนัก ฝ่ายดิ๊กซึ่งเป็นห่วงจึงต้องเดินทางกลับมาที่เมืองก็อทแธมและพบกับเพื่อนเก่าอย่าง บาบาร่า กอร์ดอน หรือ แบทเกิร์ล ในอดีต ที่ในตอนนี้กลายเป็นอธิบดีกรมตำรวจแทนพ่อของเธอที่ตายไป แล้วระหว่างนั้นดิ๊กก็ได้พบเรื่องราวน่าสงสัยมากมายกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเมืองก็อทแธมหลังจากบรู๊ซเวย์นเลือกจากไป

เมื่อเมืองก็อทแธมไม่มีแบทแมนอีกแล้ว ดิ๊กจึงตัดสินใจเรียกสมาชิกทีมไททันส์มาที่เมืองนี้เพื่อหวังจะกู้สถานการณ์ของเมือง แต่ดูเหมือนความจิตวิปลาสของเมืองแห่งนี้จะกัดกินจิตใจของเหล่าสมาชิกทีมไททันส์จนแทบจะทำลายทั้งทีม แม้ว่าแต่ละครจะมีพลังวิเศษแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ก็ตาม

Titans ss3 Netflix รีวิว

Titans ss3 รีวิว

การกลับมาของไททันส์ DC ในซีซันที่สาม ซึ่งยังคงคอนเซปต์หลักเหมือนในสองซีซันแรกอย่างชัดเจน นั่นคือการรวมทีมของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่วัยรุ่นที่แม้จะมีพลังและความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ก็ยังเต็มไปด้วยปัญหาชีวิตที่รุมเร้ามากมาย รวมถึงการลงมือทำสิ่งต่างๆที่มักเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและมักไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ตัวเรื่องก็ยังคงโทนบรรยากาศมืดหม่น แม้ว่าชุดคอสตูมของเหล่าฮีโร่จะเต็มไปด้วยสีสัน แต่ก็ถูกกลืนไปกับโทนสีเย็นออกหม่นและความดาร์กของเรื่องที่ทำให้เรื่องราวดูมีความดิบ ลึกลับ ไม่น่าไว้ใจ อยู่แทบตลอดทั้งเรื่องราว แม้แต่ในตอนที่เหล่าตัวละครมีความสุขหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่น่ารื่นเริง แต่เราก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าจะต้องมีอะไรที่ไม่เข้าท่าเกิดขึ้นอีก ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดแข็งของเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะทำให้ซีรีส์นี้แม้ว่าจะเต็มไปด้วยตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่ในชุดคอสตูมตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่มันกลับดูสมจริงอย่างน่าประหลาด ซึ่งอารมณ์นี้ต้องยอมรับว่า ไททันส์ ทำได้เหนือกว่าซีรีส์ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องๆ อื่นของ DC ที่ฉายทางช่อง CW โดยเฉพาะกลุ่มของ Arrowerse ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมีแค่ซีรีส์ Watchmen เรื่องเดียวที่ทำอารมณ์ส่วนนี้ได้ไม่แพ้กัน

ซีซันนี้ยังมีการย้อนกลับไปตั้งคำถามถึงแนวทางหลักของแบทแมนที่ใช้ในการปราบเหล่าอาชญากรทั้งหลายในเรื่อง โดยเฉพาะการใช้ “ความกลัว” ให้เป็นอาวุธ ซึ่งประเด็นนี้เคยถูกพูดถึงมากในภาพยนตร์แบทแมนทั้งของ ทิมเบอร์ตัน และโดยเฉพาะใน Batman Begins ที่ชูขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก โดยในไททันส์มีการตั้งคำถามและวิจารณ์ถึงแนวทางนี้หลายครั้ง ผ่านปากของตัวละครหลักหลายคน ที่วิจารณ์ว่า บรู๊ซ เวย์น ก็เป็นพวกโรคจิตคนหนึ่ง รวมถึงแนวทางที่แบทแมนใช้ ตัวร้ายหลักของภาคนี้อย่าง เครน หรือ สแครโครว์ ก็พยายามปั่นประเด็นนี้ขึ้นมาด้วย แต่ที่น่าสนใจคือกลายเป็นว่าคนที่สนับสนุนแนวทางการใช้ความกลัวเป็นอาวุธ ก็คือ ดิ๊ก ซึ่งถือว่าเป็นเสมือนลูกชายคนโตและศิษย์เอกของแบทแมน ว่ามันมีความจำเป็นยังไงในการเอาชีวิตรอด โดยเฉพาะการปราบอาชญากรรมในเมืองเถื่อนอย่างก็อทแธม (ซึ่งเป็นภาพจำลองของนครนิวยอร์กในยามราตรีและอีกหลายเมืองในโลก)

อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นพัฒนาการสำคัญด้านบทของดิ๊กในภาคนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับบทบาทของเขาที่มีในคอมิคนั่นก็คือการที่เขาถูกเลือกให้กลายเป็น “แบทแมนคนต่อไป” ถือว่าซีรีส์หยิบวัตถุดิบในส่วนนี้มาใช้งานได้ดี เพียงแต่ดิ๊กก็ยังสวมชุดและบทบาทในฐานะไนท์วิงอยู่ต่อไปมากกว่าจะไปสวมชุดแบทแมน และพยายามหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดีกว่าที่แบทแมนทำไว้ แต่ยิ่งทำเขากลับยิ่งพบว่าสถานการณ์มันเละเทะและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ถือว่าทีมงานเขียนบทได้ดี เพราะมันทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบทั้งจากตัวดิ๊กและคนอื่นๆเองว่าถ้าเป็นสถานการณ์เดียวกัน แบทแมนจะทำได้ดีกว่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นตลกร้ายเอามากๆเพราะในตอนที่แบทแมนยังอยู่ ตัวละครชุดเดียวกันนี่เองที่วิจารณ์แบทแมนถึงความโรคจิต การเล่นเกมกับตัวร้ายอย่างโจ๊กเกอร์ที่ลากผู้คนไปเกี่ยวข้อง และอื่นๆ แต่เมื่อเมืองขาดแบทแมนไป ก็ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้ ดิ๊กในฐานะไนท์วิงแล้วพยายามเข้ามากอบกู้แทนก็มีข้อผิดพลาดมากมาย แถมสถานการณ์ก็มีแต่ละจะแย่ลงเรื่อยๆในทุกตอน ทำให้เราต้องคอยมาลุ้นว่า สุดท้ายแล้วแบทแมนจะยอมกลับมาที่ก๊อทแธมหรือไม่ แล้วยังไง หรือทีมไททันส์จะแก้ปัญหาได้ แม้ที่จริงเราจะพอรู้ว่าสุดท้ายแล้วทีมไททันส์ก็ต้องกลับไปประจำการที่ซานฟรานซิสโกอยู่ดีก็ตาม แต่จะเป็นการจากไปโดยทำภารกิจให้ลุล่วงได้ยังไงนั่นเอง

แต่ข้อเสียที่เป็นมาตั้งแต่ซีซันแรกแล้วก็อาการหนักขึ้นในซีซันสองซึ่งมาถึงซีซันสามแล้วก็ยังเป็นอยู่นั่นคือ “ความดราม่าเยอะของตัวละคร” ที่เรียกว่าเป็นเนื้อหาหลักของเรื่องราวมาตลอด อีกทั้งตัวร้ายที่ดูเหมือนจะลดสเกลพลังลงมาเรื่อยๆ จากซีซันแรกตัวร้ายหลักมีพลังระดับปีศาจต่างมิติและเหล่าสาวกซึ่งตรงนี้ทำได้น่าสนใจดี ส่วนในซีซันสองตัวร้ายหลักคือเดธสโตรกซึ่งเป็นนักฆ่าอันดับต้นๆ ของโลกและเป็นตัวร้ายฝีมือฉกาจคนหนึ่งในจักรวาลแบทแมนและเป็นตัวร้ายที่คนดูชื่นชอบ แต่เป็นตัวละครที่ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไร ตรงนี้ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงสู้กับพวกที่มีพลังพิเศษได้ แต่การที่เป็นตัวร้ายหลักเพียงคนเดียวในซีซันสองทำให้เรื่องราวค่อนข้างวนไปมากับดราม่าตัวละครในทีมจนกลายเป็นข้อเสีย พอมาซีซันสามมีการย้ายฉากหลักไปเล่าเรื่องในเมืองก็อตแธมซึ่งเป็นเมืองหลักของแบทแมน ทำให้สามารถจัดตัวร้ายดังๆในจักรวาลแบทแมนมาใช้ได้ แต่ปรากฏว่าซีรีส์กลับไปเลือกตัวละคร สแกร์โครว์ ซึ่งเป็นตัวร้ายระดับรองๆในจักรวาลแบทแมนให้มาเป็นบอสหลักของภาคนี้ซะงั้น แล้วความที่สแกร์โครวเป็นตัวร้ายประเภทที่ไม่ได้มีจุดขายด้านฉากแอ็กชั่นแต่ใช้การเล่นกับจิตวิทยา ความกลัว ปมดราม่าทางจิตใจ การใช้สารเคมีและยาหลอนประสาทเพื่อเล่นงานศัตรู ก็เลยทำให้ฉากแอ็กชั่นที่เคยเป็นจุดขายในภาคแรกยิ่งลดหายไปอีก

 

จากหลายอย่างที่ว่ามาก็เลยทำให้ซีซันสามเน้นหนักไปที่การแก้ปมดราม่าสุดยุ่งเหยิงของเหล่าตัวละครในทีม ซึ่งก็ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควร แต่ก็ยังดีที่ว่าหนึ่งในดราม่าหลักของภาคนี้คือตัวละคร เจสัน ท็อดด์ ผู้เป็นโรบินคนที่สอง ซึ่งแฟนคอมิคจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขารับหน้าที่โรบินแค่ช่วงสั้นๆก่อนจะกลายเป็น เร็ดฮู้ด ซึ่งถือว่าเป็นตัวละครแนวแอนตี้ฮีโร่สายโหด ซึ่งในภาคนี้จะทำให้เราเห็นเส้นทางสู่การเป็นเร็ดฮู้ดของเขาว่าเกิดจากอะไร การเล่าเรื่องราตรงนี้ยังถือว่าใช้ได้อยู่ เพราะในฉบับคนแสดงยังไม่เคยมีการหยิบตรงนี้มาเล่า แต่สำหรับดราม่าอื่นๆ จัดว่าน่าเบื่อพอสมควร อีกทั้งราศีความเป็นบอสหลักของสแกร์โครวก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้ว่าตัวนักแสดงจะทำได้ดีกับบทนี้ก็ตามที

แต่แม้ว่าจะมีข้อเสียหลายด้าน ข้อดีของซีซีซันสามก็มีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งในด้านงานถ่ายทำและงานโปรดักชั่นก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนงาน CG แม้จะมีหลอกตาไปบ้างแต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานงานซีรีส์ อีกจุดที่รู้สึกได้ว่าพัฒนาขึ้นจากสองซีซันแรกก็คือการลงงบไปกับฉากต่างๆที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนการเกลี่ยบทก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่ภาคนี้อาจจะแปลกตาไปไม่น้อยจากการที่ตัวละครหลักอย่างเรเชลที่มีบทเด่นและเป็นศูนย์กลางของเรื่องในซีซันแรกถูกลดบทบาทลงไปมาก กว่าจะกลับมามีบทก็เป็นตอนกลางเรื่องไปแล้ว แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเพราะซีซันสามโยกย้ายฉากมาเล่นที่ก๊อทแธม ทำให้ผู้สร้างต้องการเน้นไปที่สมาชิกครอบครัว Bat Family และปมขัดแย้งต่างๆที่ทำให้ครอบครัวแบทต้องแตกแยกกัน อีกจุดที่ผู้เขียนชอบก็คือ การเปิดตัวละคร บาบาร่า กอร์ดอน หรือ แบทเกิร์ล ลูกสาวของอดีตผู้การจิมส์ กอร์ดอน ซึ่งเธอยังมีอีกบทบาทหนึ่งหลังเลิกเป็นแบทเกิร์ลแล้วก็คือ ออราเคิล ซึ่งมีหน้าที่สั่งการและคอยมอนิเตอร์ผ่านหน้าจอ แล้วในซีรีส์ก็หยิบบทบาทด้านนี้ของเธอมาใช้งานด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ในฐานะคู่รักเก่าของดิ๊ก ตรงนี้ถือว่าซีรีส์เคารพต้นฉบับจากคอมิคได้ดี ส่วนบทบาทของหนึ่งในนางเอกหลักอีกคนอย่างสตาร์ไฟเออร์ในภาคนี้ก็มีการเขียนบทให้กลับมาร่วมทีมเฉพาะกิจกับแบล็กไฟเออร์ ทำให้หาทางเขียนเรื่องราวต่อได้น่าสนใจดี

สรุปแล้ว เป็นซีซันที่สามของซีรีส์ไททันส์จากค่าย DC ที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะของเรื่องราวได้ดี แต่การเดินเรื่องยังคงมีปัญหาในแง่ความดราม่าของกลุ่มตัวละครที่มากเกินไปและการวางบทของตัวร้ายหลักที่ดรอปลงจากสองซีซันแรก ทั้งที่ได้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมจากจักรวาลแบทแมนมาเล่น ตรงนี้ถือว่าน่าเสียดายเอามากๆ เลยได้แต่หวังว่าในซีซัน 4 ที่จะมีแน่นอนจะมีการเขียนบทเรื่องราวให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt1043813/?ref_=ttep_ep_tt

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!