รีวิว The Shrink Next Door Apple TV+ สร้างจากเรื่องจริงของจิตแพทย์ใกล้ตัวที่ลวงเอาเงินเป็นล้าน
The Shrink Next Door
สรุป
สร้างจากพอดแคสเรื่องจริง คดีความจริงๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เกี่ยวกับจิตแพทย์ที่คืบคลานเข้ามาเอาเปรียบและลวงเอาผลประโยชน์จากคนไข้ แต่เล่าเรื่องช้าและอืดมาก
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- ดัดแปลงจากเรื่องจริงที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้
- นักแสดงหลักเล่นดีมาก สลัดภาพดาราตลกออกได้
- งานสร้างมีคุณภาพ สร้างบรรยากาศกึ่งไม่น่าไว้ใจได้ทั้งเรื่อง
Cons
- เดินเรื่องช้ามาก ช่วงแรกไม่สนุกเลย
- เล่าเรื่องยืดพอสมควร
- ตรรกะและการกระทำของตัวละครชวนหงุดหงิดมาก ถึงจะสร้างจากเรื่องจริงก็เถอะ
The Shrink Next Door Apple TV+ รีวิว ซีรีส์ สร้างโดยอิงจากคดีจริงที่ลงในพอดแคส เกี่ยวกับเรื่องของชายคนหนึ่งที่มีปัญหาพานิคและความไม่มั่นใจในตนเอง จึงไปเข้ารับบำบัดกับจิตแพทย์แล้วอาการของเขาก็ดีขึ้นมาก แต่มันกลับนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ที่จะพัวพันอยู่ในชีวิตของเขาไปอีกกว่า 27 ปี โดยที่เขาเองก็ไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ซีรีส์มีทั้งหมด 8 ตอนจบ รับชมได้เลยใน Apple TV+
ตัวอย่าง The Shrink Next Door Trailer
The Shrink Next Door เรื่องย่อ
พล็อตเรื่องดัดแปลงจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่ถูกบอกเล่าผ่านทางพอดแคส โดยได้นักแสดงหลักทั้งสองคนที่จัดว่าค่อนข้างดัง คือ Will Farrell และ Paul Rudd
Will Farrell รับบทเป็น มาร์ตี้ ชายวัยกลางคนเจ้าของกิจการผ้าม่านที่มีทรัพย์สินส่วนตัวในระดับเศรษฐีขนาดย่อมๆ มีความละเอียดและจุดยืนในเชิงธุรกิจ แต่กลับมีปัญหาเรื่องบุคลิก อาการพานิคเมื่อถูกกดดันและการเข้าสังคมไม่เก่ง ทั้งยังไม่มีความมั่นใจในตนเอง
Paul Rudd รับบทเป็น หมอไอก์ จิตแพทย์หนุ่มที่มากความสามารถ พูดจาดี มีเสน่ห์ เก่งในด้านจิตวิทยาและการโน้มน้าวใจผู้คน มีนิสัยร่าเริง พลังงานมาก แต่ที่จริงแล้วการดูแลคนไข้ของเขาโดยเฉพาะคนไข้หลักอย่างมาร์ตี้นั้น กลับแอบแฝงไปด้วยการแสวงหาผลประโยชน์และการเอาเปรียบจากฐานะการเงินของอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่ากลัวคือ เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนในสังคม หากคุณไม่หนักแน่นในตนเองมากพอแบบมาร์ตี้ หรือในทางกลับกัน คุณก็อาจจะเป็นคนที่กำลังเอาเปรียบใครบางคนแบบหมอไอก์อยู่ก็ได้
The Shrink Next Door รีวิว
เรื่องราวเกี่ยวกับ “มาร์ตี้” ชายวัยกลางคนที่เป็นเจ้าของกิจการผ้าม่านในเมือง ซึ่งมีปัญหาเรื่องบุคลิกภาพส่วนตัวเลยต้องไปขอคำปรึกษาจาก “หมอไอก์” จิตแพทย์ผู้มากความสามารถ ซึ่งหลังจากเข้าบำบัด ดูผิวเผินแล้วอาการของมาร์ตี้ดูดีขึ้น แต่กลายเป็นว่าหมอไอก์คนนี้ก็ได้นำปัญหาที่ยิ่งกว่านั้นเข้ามาสู่ชีวิตของมาร์ตี้ ทั้งความสัมพันธ์กับน้องสาว กับครอบครัว และยังลามไปถึงธุรกิจ และชีวิตส่วนตัวของเขาด้วย
ซึ่งพลอตเรื่องลักษณะนี้ก็หมายความว่าทั้งซีรีส์จะโฟกัสอยู่ที่ความสัมพันธ์ของตัวละครหลักทั้งสองคน จากคนไม่รู้จักกัน กลายเป็นคนรู้จักที่สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้วเกิดเรื่องราวอะไรหลังจากนั้น ซึ่งเราต้องชื่นชมสองนักแสดงนำอย่าง Will Farrell และ Paul Rudd เป็นจุดแข็งที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งสองคนมอบพลังการแสดงในแบบที่ไม่จำเป็นต้องระเบิดอารมณ์ ไม่ต่องเล่นใหญ่ ไม่ต้องแสดงแบบทนทุกข์ดราม่ามากมาย แต่ใช้การแสดงออกมาเป็นคาแรคเตอร์ชายสองคนที่เราสามารถพบได้ทั่วไปในสังคม ที่สำคัญคือคนดูมักติดภาพนักแสดงทั้งสองจากหนังตลกคอเมดี้มากกว่า แต่เรื่องนี้พวกเขาค่อนข้างปล่อยของในการแสดงบทดราม่าออกมาได้ดีอย่างคาดไม่ถึง แถมเป็นบทการแสดงดราม่าในแบบที่ไม่ต้องเล่นใหญ่มากมายนักด้วย จัดว่าเป็นผลงานที่นักแสดงทั้งสองทำได้ดีไม่น้อยเลย
ด้านโปรดักชั่น งานสร้าง ดนตรีประกอบ งานภาพ ถือว่าเป็นผลงานที่ทำออกมาค่อนข้างดี โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศในแบบที่ดูๆไปแล้วชวนให้รู้สึกว่าตัวละครมีมุมที่ไม่น่าไว้ใจ จะมาไม้ไหนกันแน่ รวมถึงฉากเปิดของแต่ละตอนที่ทำออกมาไม่ซ้ำกัน แต่จะแสดงให้เราเห็นภาพของการ “ค่อยๆคืบคลานชอนไช” ที่หมอไอก์ทำกับมาร์ตี้และครอบครัวของเขา
สำหรับการเล่าเรื่อง ซีรีส์จะเริ่มจากการเล่าเรื่องราวตามสูตรดราม่า เมื่อตัวเอกอย่างมาร์ตี้มีปัญหาหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจ เขาจึงถูกน้องสาวเกลี้ยกล่อมให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ แล้วก็ได้มาพบกับหมอไอก์ ซึ่งเป็นหมอหนุ่มที่มีชื่อเสียงพอสมควร แล้วทั้งสองก็เริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ จากความสัมพันธ์ในสถานะคนไข้และจิตแพทย์ มันกลับยกระดับมาเป็น เพื่อนเที่ยว ไปจนถึงพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ แล้วทั้งสองยังคบหากันต่อเนื่องมาจนกลายเป็นเพื่อนสนิทเป็นเวลานานกว่า 27 ปี ซึ่งในซีรีส์ทั้ง 8 ตอนจะพบว่าทุกตอนเรื่องราวจะขยับไทม์ไลน์มาเรื่อยๆจากช่วงยุค 90s มาจนถึงยุค 2010s ตรงนี้ก็ต้องชมทีมงานคอสตูมและเมคอัพที่พยายามแต่งหน้าให้ดาราหลักทั้งสองคนดูแก่ขึ้นตามวัยจริงๆ ตัวนักแสดงเองก็ทำได้ดีไม่น้อยในการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนมีอายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มทรุดโทรมลง การเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว การแสดงออกทางสายตาก็ดูเหมือนคนที่ผ่านชีวิตมากขึ้นจริงๆ
แต่ตรงนี้เองที่ก็เป็นจุดด้อยของเรื่อง เพราะกว่าคนดูอย่างเราๆ จะเริ่มจับจุดได้ว่าซีรีส์ต้องการนำเสนออะไร ต้องใช้เวลาพอสมควร แถมในช่วง 1-3 ตอนแรก เดินเรื่องได้ช้าและน่าเบื่อเอามากๆ ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบแนวดราม่าแล้วอยากรู้จริงๆดูไปแล้วอาจจะอยากดรอปเลยตั้งแต่ตอน 2 เลย อีกทั้งบุคลิกของตัวเอกอย่างมาร์ตี้ทั้งในด้านตรรกะ ความคิดอ่าน การตัดสินใจ มีหลายจุดที่ดูแล้วคนดูหลายคนอาจจะอดรู้สึกไม่ได้ว่า “ทำไมโง่จังฟะ” หรือถึงขั้น “คนแบบนี้มีชีวิตมาจนถึงวัยนี้และเป็นเจ้าของกิจการมาได้ยังไง”
แต่ถ้ามองในมุมที่ว่า โลกนี้ก็มีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ คือเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ เข้าสังคมไม่เก่ง ไม่มั่นใจตนเอง เข้ากับใครลำบาก แล้วก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจซะด้วย จนต้องหันไปพึ่งพา “คนนอกครอบครัว” อย่างเช่น จิตแพทย์ ซึ่งที่จริงแล้วการพึ่งพาจิตแพทย์ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรในสังคมอเมริกัน แต่เรื่องนี้มันแจคพอตตรงที่ตัวเอกอย่างมาร์ตี้ไปเจอจิตแพทย์เหลี่ยมจัดแบบไอก์เข้าให้
แล้วก็มีแง่หนึ่งที่ทำให้คนดูอาจจะต้องย้อนกลับมามองตนเองเมื่อดูเรื่องนี้ก็คือ เรามีโอกาสจะกลายเป็นคนแบบมาร์ตี้มากน้อยแค่ไหน หรือบางคนอาจจะเป็นแบบหมอไอก์อยู่ก็ได้ นี่จึงเป็นซีรีส์ที่เอามุมมืดส่วนหนึ่งในสังคมของคนเราออกมาตีแผ่ ว่าการหลอกลวงต้มตุ๋นนั้นบางทีมันไม่ได้มาในรูปแบบจะแจ้ง แต่มันค่อยๆคืบคลานเข้ามาเคาะอยู่ข้างประตูบ้านคุณโดยไม่รู้ตัวสมกับชื่อเรื่อ
อันที่จริงหากเรื่องนี้ปรับมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มีระยะเวลาจำกัด อาจจะทำออกมาได้สนุกและน่าติดตามกว่านี้ก็ได้ แต่พอทำออกมาเป็นซีรีส์ มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า เฮ้ย แล้วเมื่อไหร่ตัวละครจะรู้สึกตัวซะทีว่าตัวเองกำลังถูกเอาเปรียบ ตรงนี้เลยค่อนข้างขัดใจในการรับชมพอสมควรครับ
ภาพรวมแล้ว สำหรับสายดราม่าแนวความสัมพันธ์ของตัวละคร เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงที่เป็นอุทาหรณ์ที่ดี เพียงแต่ด้วยการเดินเรื่องอะไรหลายอย่างทำให้ความสนุกของเรื่องค่อนข้างน้อย ทั้งที่โดยพลอตเรื่องแล้วมีแง่มุมค่อนข้างน่าสนใจมาก และบางคนอาจจะรู้สึกสะท้อนกับชีวิตของตัวเองก็ได้
ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่
Reference Website