playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ The Silent Sea ไซไฟระทึกขวัญงานสร้างสุดเนี๊ยบของเกาหลีที่เทียบชั้นฝรั่งได้สบายๆ (ไม่มีสปอยล์)

สรุป

ซีรีส์ไซไฟระทึกขวัญในอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี ที่ยกระดับงานสร้างองค์ประกอบทุกอย่างให้ทัดเทียมฝรั่งได้ในทันที ตัวเรื่องสนุกต่อเนื่องในแนวระทึกขวัญ ไม่มียืดเยื้อปูเรื่องหรือขยี้ดราม่าแบบสูตรสำเร็จเดิมๆ เลย รวมถึงมีปมปริศนาหลายอย่างซ่อนไว้น่าติดตามในแบบที่แตกต่างกัน เป็นเหมือนการนำเอาหลายแนวระทึกขวัญมารวมกันในเรื่องเดียว หรือใครที่จะมาดูเพราะกงยูก็ตอบโจทย์เพราะบทเขาก็มีความลึกซับซ้อนซ่อนไว้โดยไม่ใช่พระเอกแบบตรงๆ โดยบทของแบดูนาคือตัวเอกหลักมากกว่า แต่สิ่งที่เรื่องดูแย่หน่อยคือความไม่เมคเซนส์ของการกระทำตัวละครที่ใส่มาแบบตามสูตรหนังสยองขวัญ หรือการที่เรื่องละเลยหลักการทางวิทยาศาสตร์แบบปล่อยผ่านไปเลยแบบง่ายๆ ก็ทำให้ดูไปตะหงิดๆ กับเรื่องพวกนี้ตลอดจนจบเรื่อง

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
2.67 (3 votes)

Pros

  • พล็อตไซไฟระทึกขวัญในอวกาศเรื่องแรกของเกาหลี
  • เดินเรื่องเร็ว เน้นระทึกขวัญต่อเนื่อง
  • โปรดักชั่นงานสร้างมีคุณภาพสูงมาก
  • ได้กงยูมาเล่นเป็นตัวเอก
  • มีเสียงพากย์ไทยที่ดีมาก (ดีกว่าซับที่มีแปลผิดบางจุดด้วย)

Cons

  • มีหลายฉากที่ไม่เมคเซนส์ทั้งจงใจกับปล่อยผ่านให้เป็น
  • ซับมีแปลผิดบางจุดคนละความหมายกับเหตุการณ์
  • ประเด็นแบ่งชนชั้นบนโลกใส่มาแบบหลวมๆ ยังไม่เน้นให้สำคัญมาก

 

ADBRO

The Silent Sea ทะเลสงัด ซีรีส์เกาหลี Original Netflix แนวไซไฟระทึกขวัญ 8 ตอนจบ ที่นำแสดงโดยดาราดัง “กงยูกับแบดูนา” เรื่องราวของภารกิจเสี่ยงตายที่จะเผยความลับอันดำมืดที่สุดของดวงจันทร์ ที่มีส่วนผสมของหลายแนวรวมกัน โดยยังไม่ทิ้งกลิ่นอายดราม่าของเกาหลีไว้ด้วย

 The Silent Sea (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Silent Sea ทะเลสงัด

เป็นครั้งแรกที่ซีรีส์เกาหลีมาแนวไซไฟในอวกาศ ซึ่งงานสร้างครั้งเกิดขึ้นได้อาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องทุนสร้างโดยตรง แต่ติดที่แนวการเดินเรื่องแบบไม่ได้เน้นลงละครทีวีดราม่าเรื่องรักๆ ตามสูตรไม่เปิดโอกาสให้เกาหลีทำอะไรแบบนี้ลงไปได้ ตัวอย่างก่อนนี้ก็จาก Squid Game ที่ผู้กำกับก็บอกเองว่าคิดบทมา 10 ปีไปนำเสนอแต่ไม่ผ่านเพราะรุนแรงเกินไป ซึ่งการได้เน็ตฟลิกซ์มาเป็นที่ฉายพร้อมทั้งเป็นแหล่งเงินทุนซัพพอร์ทก็ทำให้วงการซีรีส์เกาหลีก้าวกระโดดครั้งใหญ่กลายมาเป็นซีรีส์ที่สามารถโกอินเตอร์ได้ในทันที ซึ่งไม่ใช่แค่แนวเรื่องที่แปลกใหม่กว่าแนวดราม่ารักเดิมๆ ที่ทำให้คนดูวงกว้างมาสนใจ แต่มีเรื่องงานพากย์กับคำบรรยายที่รองรับภาษาอังกฤษกับภาษาอื่นๆ ทั่วโลกพร้อมกันในวันฉายด้วย จุดนี้เองทำให้คนดูในสากลเริ่มหันมาดูและยกซีรีส์เกาหลีเทียบเคียงตะวันตกได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งที่ผ่านมาก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นได้กับงานสร้างของเน็ตฟลิกซ์ช่วงหลังๆ แต่เรื่องนี้คือเด่นชัดที่สุดว่ายังไงผู้ชมทั่วโลกจำนวนมากก็คงสนใจดูแน่ๆ ในฐานะซีรีส์สากล โดยไม่ใช่การดูแบบตามกระแสแบบที่ผ่านมาอย่าง Squid Game

เนื้อเรื่องแบบไม่สปอยล์

เนื้อเรื่องเริ่มจากโลกกลายเป็นดาวที่เริ่มขาดน้ำจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ซงจีอา (เล่นโดย แบดูนา) นักชีววิทยาได้รับการติดต่อให้มาร่วมทีมไป “บัลแฮ” สถานีวิจัยบนอวกาศบนดวงจันทร์ที่เกิดอุบัติเหตุทำให้คนในสถานีวิจัยเสียชีวิตหมด และถูกปิดทิ้งร้างมากกว่า 5 ปี โดยมีทหารอวกาศฮันยุนแจ (เล่นโดยกงยู) เป็นหัวหน้าปฏิบัติการณ์นี้ แต่ปัญหาคือภารกิจนี้กลับไม่มีข้อมูลเชิงลึกให้ทุกคนรู้เลย มีแต่คำสั่งให้นำตัวอย่างทดลองที่เหลืออยู่กลับมาภายใน 24 ชั่วโมงให้ได้เท่านั้น ก่อนที่ทุกคนจะพบว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในที่แห่งนี้ ซึ่งนำมาซึ่งความตายของลูกเรือแบบปริศนา

ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้เน้นความลับเยอะตั้งแต่พล็อตเรื่องการไปทำภารกิจบนดวงจันทร์เพื่อเก็บตัวอย่างจากสถานีร้างโดยที่ทีมไม่ได้รู้ข้อมูลอะไร ดังนั้นรีวิวนี้จะไม่พยายามให้ผู้อ่านรู้เรื่องอะไรมากไปกว่านี้ แต่จะใส่สปอยล์ส่วนสำคัญไว้เป็นระยะๆ ซึ่งถ้าสนใจก็กดคลิกอ่านดูได้เลยครับ

โครงเรื่องราวการไปอวกาศ ติดในที่จำกัด ก่อนที่จะเจอเรื่องสยองขวัญลึกลับ นับว่าเป็นสูตรสำเร็จของแนวนี้จากตะวันตกที่ฉีกแนวแตกต่างออกไปยากมาก การที่ซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้พยายามทำแนวนี้ขึ้นมาก็เลยเป็นจุดที่เลี่ยงไม่พ้นจริงๆ เรื่องราวในช่วงแรกจึงเริ่มต้นด้วยอุบัติเหตุที่ทำให้ลูกเรือทั้งหมดต้องมาติดในสถานีบัลแกโดยเสียยานที่ลงบนดวงจันทร์ ตรงนี้เป็นเหมือนช่วงโชว์ออฟงานเทคนิคการถ่ายทำมนุษย์อวกาศเดินบนดวงจันทร์ที่เราคงได้เคยเห็นบ่อยในซีรีส์ฝรั่ง แต่คราวนี้เป็นเกาหลี ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะเทคนิคการถ่ายทำการเดินในอวกาศมีกันมานานแล้ว แต่จุดนี้ผู้เขียนรู้สึกว่าเกาหลีจะพยายามเน้นท่วงท่าเดินที่ช้าไปสักหน่อย ตัวคนก็ไม่ค่อยลอย จนดูไม่ค่อยสมจริงนิดๆ สำหรับคนดูที่แนวนี้มาเยอะๆ แต่ถ้าไม่คิดมากอะไรก็ไม่ติดใจตรงนี้หรอกครับ

The-Silent-Sea งานถ่ายทำเบื้องหลัง
The-Silent-Sea งานถ่ายทำเบื้องหลังเป็นการสร้างฉากขึ้นมาทั้งหมด

ตัวเรื่องเปิดมาถึงก็มาอวกาศเลย ซึ่งใช้ส่วนนี้โชว์ผู้ชมให้เห็นตั้งแต่ช่วงแรกอย่างไว โดยไม่มีการปูเรื่องราวบนโลกให้รับรู้มากจากเรื่องการที่น้ำกำลังจะหายไปจากโลก จนทำให้มีกฎหมายการแบ่งได้น้ำจากรัฐบาลแบบแบ่งตามชนชั้น ซึ่งผู้ชมก็อาจจะงงๆ ได้ว่าเรื่องนี้มาเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์หลักในเรื่องที่โผล่มาก็อยู่บนดวงจันทร์ไปแล้ว ซึ่งเรื่องจะใช้แฟลชแบ็คของตัวนางเอกค่อยๆ เล่าเรื่องย้อนกลับไปตอนต้นทุกตอนแทน โดยใช้เวลาสั้นๆ ในการเล่าเรื่อง ซึ่งใครที่ติดซีรีส์เกาหลีมักมีช่วงดราม่ายืดยาวถ่วงเวลาของเรื่องค่อนข้างนานก็หมดห่วง เพราะเรื่องนี้ไม่มีช่วงบทดราม่ายืดยาวอะไรให้เห็นเลย บทสนทนากับเรื่องราวมีการผลักเดินเรื่องไปข้างหน้าติดต่อกันไปเรื่อยๆ ไม่มีอ้อยอิ่งอยู่กับอะไรมาก ซึ่งการที่เรื่องใช้เวลา 1 วันมาบีบก็ทำให้เรื่องราวดูเร็วต่อเนื่องขึ้นด้วย แม้จะไม่มีเรื่องเส้นตายเวลามาใช้เร่งในเรื่องนัก แต่คนดูก็จะรู้สึกได้ถึงการเดินหน้าไปของเรื่องที่ค่อนข้างไวจริงๆ แต่ก็ไม่ได้รวบรัดหรือไม่อธิบายอะไรจนงง เรียกว่าสามารถดูแบบไม่ต้องคิดตีความอะไรต่อเลย เพราะเรื่องราวก็เฉลยทุกอย่างไปตามสูตรตามลำดับของหนังแนวนี้อยู่แล้ว

ตัวเรื่องในช่วงสำรวจสถานีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ในตอนแรกนั้นถูกทำให้อารมณ์คล้ายๆ โพรมีธีอุส ภาพยนตร์ดังของ  ริดลีย์ สก็อตต์ ผู้ให้กำเนิดหนังเอเลี่ยนที่คงรู้จักกันดี ซึ่งการที่ตัวเอกทั้งหมดค่อยๆ เจอเรื่องลึกลับแบบน่ากลัวแบบเงียบๆ ไปจนถึงช่วงที่มีอะไรบางอย่างเริ่มคร่าชีวิตลูกเรือในแบบติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงอิทธิพลของเจ้าสิ่งนี้ที่ทำให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้นมากับสิ่งมีชีวิต เป็นส่วนที่คล้ายกันมากกับน้ำดำในโพรมีธีอุส แต่ก็ไม่ถือว่าลอก เพราะสุดท้ายจุดนี้ของเรื่องก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก และนำไปสู่การเชื่อมโยงกลับมายังปัญหาบนโลกในตอนแรก ซึ่งค่อนข้างทำได้ดีเลยในแง่พล็อตเรื่องที่เชื่อมโยงกับสิ่งประหลาดที่พวกลูกเรือต้องไปเจอบนดวงจันทร์

สิ่งที่ตัวละครไปเจอในตอนแรกคือละองน้ำบนดวงจันทร์ที่แค่โดนร่างกายก็ฆ่าคนได้ รวมถึงยังทำให้สิ่งมีชีวิตเกิดเติบโตอย่างไวกับวิวัฒนาการไปยังสิ่งใหม่ๆ ได้

ย่อหน้าก่อนนี้คือปริศนาความลับแรกของเรื่อง ซึ่งก็ทำได้น่าติดตามมาก เพราะเรื่องราวเกิดขึ้นไวฉับพลันทันทีในตอน 2 แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าติดตามกว่าก็คือการใส่ปมปริศนาควบคู่ไปด้วยกันทันทีกับฉากลูกเรือตายแบบจะๆ คาตานางเอกที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์คนเดียว ในลักษณะเหลือเชื่อ โดยที่เรื่องทำให้เห็นทุกอย่างแบบแวบๆ แค่บางส่วน เหมือนหนังผี+เอเลี่ยน ซึ่งทำให้ผู้ชมต้องสงสัยทันทีว่าเรื่องนี้เป็นแนวไซไฟทริลเลอร์ระทึกกับการทดลองวิทยาศาสตร์ หรือเป็นเรื่องแนวเอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว สัตว์ประหลาดที่แอบซ่อนอยู่กันแน่? ซึ่งเป็นความคลุมเครือที่เรื่องนำมาใช้หลอกล่อให้ผู้ชมติดตามได้อย่างอยู่หมัด และผู้ชมก็จะได้รับความรู้สึกหลายๆ แนวเรื่องทำนองนี้มารวมกัน โดยมีส่วนของดราม่าสะเทือนใจตามประสาเกาหลีเจือปนอยู่ด้วย

สิ่งลึกลับที่นางเอกเจอคือ เด็กสาวประหลาดที่กลายพันธ์จนแข็งแรงว่องไวเหมือนสัตว์ประหลาด และเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในอดีตเมื่อ 5 ปีก่อน

The Silent Sea ใช้ปริศนาสิ่งลึกลับทั้ง 2 อย่างในการเดินเรื่องไม่พอ ยังใส่ปมที่ 3 ไว้ในเรื่องอีก โดยมีการเอ่ยถึงกลุ่มลึกลับที่ใช้ความรุนแรงก่ออาชญากรรมในอวกาศมาแทรกในบทสนทนาตอนแรกแบบผ่านๆ ก่อนที่จะค่อยๆ เผยตัวออกมาในภายหลัง และก็กลายเป็นเส้นเรื่องหลักในช่วงหลังของเรื่องไปจนจบที่ออกแนวสายลับ การหักหลัง การทรยศ โดยตัวละครในเรื่องตั้งแต่แรกเริ่มก็มีความไม่น่าไว้ใจกันหลายคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะบทของกงยูที่ดูน่าสงสัยแบบปริศนามาตลอด และตัวกงยูเองก็แสดงสีหน้าท่าทางแบบทหารที่กุมความลับสำคัญของเรื่องไว้ตลอดได้ดีมาก จนเราเองคงไม่แน่ใจว่าบทนี้จะเป็นดีหรือร้าย ซึ่งตัวละครนี้จะมีความขัดแย้งกับซงจีอานางเอกในเรื่องอยู่ตลอดว่า เขาให้การปฏิบัติภารกิจมาก่อนทุกอย่างเสมอ แม้จะมีเรื่องราวประหลาดในสถานี การตายของลูกเรือเกิดขึ้นก็ไม่คิดจะสืบสวนหาสาเหตุใดๆ แต่ปมนี้กลับทำให้เกิดการตายในเรื่องมากที่สุด กลายเป็นความเลวร้ายต่อมนุษย์กันเองกลับร้ายกาจกว่าอย่างอื่นทั้งหมดเลย ซึ่งถือว่าเรื่องได้ผนวกเอาแทบทุกแนวระทึกขวัญเข้าไว้ด้วยกันหมดได้อย่างชาญฉลาดเลย แบบจะทำทั้งทีก็ขอใส่องค์ประกอบทุกอย่างให้ครบไปเลยในเรื่องเดียวดีกว่า และก็ทำมันออกมาได้ดีด้วย

องค์ประกอบงานสร้างที่ดูดีทุกจุด

ต้องยอมรับเลยว่าเรื่องนี้มีงานสร้างโปรดักชั่นที่เนี๊ยบไล่ๆ กับทางฝรั่งมาก ฉากต่างๆ ในเรื่องถูกสร้างขึ้นมาซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้การแสดงในสถานีอวกาศดูมีความสมจริง อีกทั้งในเรื่องยังไม่ได้มีแค่ฉากในถานีอย่างเดียว แต่ยังมีฉากที่เหมือนผสมผสานป่าเข้ากับสถานีอวกาศอีก ชุดอวกาศก็ละเอียด มีเครื่องมือติดตัวหลายอย่างแบบหนังไซไฟ อย่างเครื่องตรวจจับสิ่งมีชีวิต ที่นำมาใช้ในฉากหนึ่งเหมือนอย่างหนังเอเลี่ยน CG ต่างๆ ในเรื่องละเอียดมาก จนดูเหมือนเป็นสเกลภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ลงโรงได้เลย ซึ่งกลายเป็นผลงานที่นอกจากจะฉีกแนวเดิมๆ ของเกาหลีแล้ว ยังเป็นหมุดหมายใหม่ว่างานสร้างแนวไซไฟอวกาศของเกาหลีเรื่องแรกก็เทียบเท่าฝรั่งได้เลยทันที

 

จุดด้อยของเรื่อง The Silent Sea ทะเลสงัด

แม้องค์ประกอบทุกอย่างของเรื่องจะใส่มาลงตัวได้ดีหมด แต่ตัวเรื่องก็มีปัญหาแบบที่เห็นได้ชัดจนขัดตาก็คือ ความไม่สมเหตุผลในหลายๆ ฉากกับการกระทำของตัวละคร โดยเป็นแนวสูตรสำเร็จหนังสยองขวัญที่เหมือนไฟต์บังคับให้ต้องเป็นไปแบบนี้ ซึ่งเริ่มให้เห็นตั้งแต่ตัวนางเอกเองที่ตามไปดูเหตุการณ์สยองขวัญแบบไม่เรียกใครมาช่วย ทำนองเดียวกับพวกหนังผีหนังฆาตกรที่ตัวละครเห็นอะไรแปลกๆ ต้องเดินตามไปดู แทนที่จะหนีไป หรือหาคนมาช่วย  แถมยังดูเป็นปกติเว่อร์กับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า ยังมีกะใจตามหาที่มาของสิ่งที่เกิดสดๆ อีก ซึ่งผู้ชมอาจจะคิดว่าถ้าไม่ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้โชว์ฉากพวกนี้สิ โอเคตรงนี้อาจจะพอหยวนๆ ได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จที่ต้องทำ แต่เรื่องก็ยังไม่ได้หมดแค่จุดนี้ แต่กลับมีเรื่องไม่เมคเซนส์ตามมาเรื่อยๆ อีก อย่างการที่ตัวละครเริ่มมีการติดเชื้อปริศนาขึ้นมาตัวนางเอกเองก็ยังไปตามเก็บที่มาของเชื้อโดยไม่สวมชุดป้องกันอะไรเลย แบบมีคนตายทั้งห้องกลับเดินเข้าไปกับชุดเปล่าๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านชีวะ และต้องการหาสาเหตุของการติดเชื้อเองแท้ๆ 

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังใส่เรื่องการติดเชื้อในตอนแรกมาอย่างเว่อร์มาก แค่เป็นละอองนิดเดียวก็สามารถคร่าชีวิตคนได้เลย จนดูร้ายแรงป้องกันยากมาก แต่หลังจากนั้นเหมือนผู้สร้างเลิกสนใจความระวังตัวในจุดนี้แล้ว กลายเป็นหลังจากนั้นแม้มีฉากที่เสี่ยงอันตรายจากเจ้าสิ่งนี้ให้เห็นแบบจะๆ อย่างตัวละครที่ตายต่อหน้าคนอื่นใกล้ๆ หรือการนำเจ้าสิ่งนี้มาทดลองส่องกล้องจุลทรรศน์แบบไม่สวมชุดป้องกันเลย การเจอสิ่งนี้ในระยะประชิดตัวมากๆ ก็ไม่เป็นอะไร ทำให้คนดูคงเกิดข้อกังขาทุกทีเวลาเห็นฉากแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่การจับผิด แต่บทกลับมองข้ามความสำคัญในสิ่งที่แสดงให้เห็นเองแต่แรกจนดูแล้วตะหงิดติดใจกับเรื่องนี้ไปจนจบเลย (แถมช่วงท้ายตอนหลังมีอะไรแบบนี้หนักๆ เยอะด้วย)

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังพยายามใส่ดราม่าอบอุ่นมาไว้ด้วย ทั้งๆ ที่เป็นแนวระทึกขวัญ ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะนี่เป็นซีรีส์เกาหลียังไงก็ต้องคงจุดนี้ไว้ แต่การที่เรื่องนำจุดนี้มาใช้กับสิ่งที่เป็นปมสยองขวัญของเรื่อง แบบนำเสนอซะเว่อร์ในตอนแรก แล้วมากลับลำในตอนหลังกลายเป็นแนวอบอุ่นน่ารัก มันค่อนข้างขัดกันอยู่พอสมควร แถมยังทำให้อยู่ๆ เรื่องดูแปลกๆ มีจุดไม่เมคเซนส์เพิ่มเข้ามาอีก

นอกจากนี้ก็มีเรื่องประหลาดในตอนท้ายที่เป็นหายนะถล่มสถานีแห่งนี้แบบดูยังไงก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์มากด้วย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าผู้สร้างอยากขายฉากใหญ่โตให้เหมือนหนังบล็อกบัสเตอร์ก็เลยใส่ฉากนี้มา ซึ่งมันก็ดันไปส่งให้ตอนจบท้ายสุดมีอะไรที่แปลกๆ ขัดตาแบบไม่มีคำอธิบายมาให้เข้าใจได้อีก ก่อนที่จะตัดจบห้วนๆ แบบไปต่อซีซั่น 2 ก็ได้ หรือจบเลยก็ได้อีกเช่นกัน

สปอยล์ช่วงท้ายตอนจบ

มีเหตุการณ์น้ำไหลถล่มสถานี ตัวละครของกงยูใช้ชีวิตตัวเองช่วยคนอื่นโดยการปิดประตูแอร์ล็อกกันน้ำไว้ แต่ตอนจบกลับหลุดออกจากแอร์ล็อกมาบนดวงจันท์รอดตายได้แบบงงๆ 

The Silent Sea ทะเลสงัด เป็นซีรีส์ไซไฟระทึกขวัญที่นำเอาแนวทางสูตรสำเร็จของฝรั่งมาใช้ แต่มีพล็อตที่ฉีกแนวเป็นของตัวเองได้น่าสนใจดีมาก องค์ประกอบของเรื่องลงตัวหมด แต่มีแค่จุดด้อยเรื่องความไม่สมเหตุผลเท่านั้นที่อาจจะดูไปตะหงิดใจไป แต่ยังไงก็เป็นซีรีส์ที่ผู้ชมไม่ว่าใครจะใช่สายเกาหลีหรือไม่ก็ควรดูอยู่ดีครับ เพราะนี่ถือเป็นงานที่ถ้าประสบความสำเร็จมากพอ ก็คงกลายเป็นหมุดหมายทำให้ทางเน็ตฟลิกซ์กับเกาหลีกล้าสร้างซีรีส์ฉีกแนวเดิมๆ มายังจุดนี้กันเพิ่มอีก หรืออย่างน้อยก็ควรมี SS2 ของเรื่องนี้ต่อไป  เพราะปมในเรื่องยังสามารถขยายจักรวาลเรื่องราวนี้ได้อีกมากครับ

อ่านรีวิวซีรีส์เกาหลี Original Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!