รีวิว Deadloch สืบสวนฆาตกรรมต่อเนื่องที่ชวนวุ่นวายกับปัญหาเฟมินิสต์
Deadloch
Summary
โดยรวมเป็นซีรีส์ที่ลงลึกในเรื่องการไขคดีฆาตกรต่อเนื่อง แต่มาในแนวเฟมินิสต์เชื่อมโยงกับตัวละครต่างๆ ในชุมชน ซึ่งคาดเดาคนร้ายไม่ได้เลยว่าเป็นใคร แต่ปัญหาคือรายละเอียดยิบย่อยมากมายที่ใส่ไว้ทำให้ดูปวดหัว เป็นตัวไล่ผู้ชมออกไปมากที่สุดครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- แนวสืบสวนด้วยตัวเอกหญิง
- คดีฆาตกรรมต่อเนื่องหลายศพมาก
Cons
- ใส่รายละเอียดปมเชื่อมโยงแบบเฟมินิสต์เยอะจนดูงง
- บท Eddie Redcliffe ดูแล้วน่ารำคาญมากที่สุด
- ฉากตลกฝืดมาก
Deadloch เดดล็อค ดับปริศนา ซีรีส์ออสเตรเลียของ Amazon Prime Video แนวสืบสวนติดตลก 8 ตอนจบ เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นในเมือง Dead Loch เมืองเล็กๆ บนเกาะของรัฐแทสมาเนีย ตำรวจนักสืบสาวเฟมินิสต์ต้องลงมือสืบสวนร่วมกับตำรวจนักสืบที่ส่งมาไขคดีบนเกาะแห่งนี้
รีวิว Deadloch (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์ที่หยิบเอาเรื่องฆาตกรรมมาเป็นเมนหลัก โดยมีเรื่องราวส่วนตัวของตัวเอกสาว 2 คน ที่คนหนึ่งเป็น LGTBQ แบบเปิดเผยว่าคบกับใครอยู่ ในชื่อ Dulcie Collins (แสดงโดย Kate Box) อีกคนคือตำรวจสาวสูงวัยที่พูดบ่นสืบสวนไปเรื่อยเหมือนคนไม่ตั้งใจทำงาน ในชื่อ Eddie Redcliffe (แสดงโดย Madeleine Sami) ซึ่งในช่วง 3 ตอนแรกคือช่วงที่ผู้ชมจะต้องปวดหัวกับการบ่นบ้าบอไปเรื่อยของ Eddie Redcliffe มาก เนื้อเรื่องแทบไม่ไปไหน เพราะตัวละครนี้จะพาไปให้ถึงจุดจบแบบไม่ต้องสืบอะไรมากมาย จนไม่แปลกใจว่าทำไมคนดูถึงเทซีรีส์นี้ทิ้งทันที แต่ในตอน 3 เนื้อเรื่องจะเฉลยว่าเพราะอะไร เธอถึงมีพฤติกรรมหลุดโลกแบบที่เห็นได้ แม้เรื่องนี้จะเป็นแนวติดตลกอยู่แล้วก็ตาม ซึ่งพอตัวละครนี้ปรับอารมณ์ให้มาอยู่ในแนวสืบสวนปกติได้ ก็ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ค่อยๆ ดูดีขึ้นมา แม้จะยังมีลุคเดิมตามติดมาด้วยครับ
ซีรีส์ยังคงโฟกัสที่แนวทางการสืบสวนในเมืองเล็กๆ ที่ไม่เคยเกิดคดีฆาตกรรมมาก่อนเลย แถมนี่ยังเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่มีผู้ตายยาวเหยียดเกิน 10 คน และเป็นผู้ชายล้วนทั้งหมด ทำให้เรื่องต้องย้อนไปถึงอดีตของศพแรกที่ตายไปหลายปีก่อน เพื่อหามูลเหตุแรงจูงใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อคนนี้ แล้วก็ค่อยๆ ลากมาเชื่อมโยงกับศพที่โผล่มาทุกตอนในเวลาปัจจุบัน ซึ่งตัวเรื่องสร้างศพจำนวนมากมาประกอบ โดยมีวิธีฆ่าแบบพิสดารแตกต่างไปเรื่อยๆ ทำให้เรื่องยิ่งขยายใหญ่โตขึ้นจนกลายเป็นคดีดังในท้ายที่สุด
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการพยายามใส่รายละเอียดสืบสวนเล็กๆ มากมาย เป็นความเชื่อมโยงแนวเฟมินิสต์ในชุมชน ซึ่งประเด็นความรุนแรงในครอบครัว การบังคับข่มขืนเด็ก และอื่นๆ มากมายในเรื่องกลายเป็นส่วนยิบย่อยชวนให้งงมากกว่าว่าใส่มาทำไม เมื่อตัวเรื่องจริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปแนวทางนั้นในท้ายที่สุด ส่วนประกอบพวกนี้เลยเป็นแค่องค์ประกอบเล็กๆ เพื่อให้เรื่องมีอะไรเล่าไปเรื่อยๆ จนครบ 8 ตอนค่อยเฉลยออกมาว่าฆาตกรคือใคร ซึ่งก็คาดเดาได้ยากสมใจเพราะประเด็นที่หยิบมาเล่านั้นไม่ได้ทำให้ผู้ชมเข้าถึงตัวร้ายนี้ได้เลยสักนิด และบางประเด็นก็เป็นเรื่องราวแตกต่างออกไปด้วยซ้ำ
จุดเด่นของเรื่องกลายเป็นชีวิตของตัวเอกทั้งคู่ในสภาวะจำยอมต้องสืบแบบนี้มากกว่า เมื่อผู้คนในเมืองก็ไม่ชอบตัวเอกทั้งคู่ ทำให้ชีวิตปกติของทั้งคู่กำลังเข้าสู่ภาวะล้มเหลว ถ้าไขคดีนี้ไม่ได้ ทำให้เรื่องดูมีส่วนที่น่าเห็นใจเมื่อตำรวจหญิงสองคนต้องทำงานในสภาวะที่ทุกอย่างตีบตันถึงที่สุด และสุดท้ายต้องเปลี่ยนมือให้ตำรวจชายยศใหญ่กว่ามาคุมงานนี้เอง ซึ่งนี่คือจุดจบของอาชีพตำรวจทั้งคู่แน่นอน
นอกจากนั้นก็มีตัวละครรอง Abby Matsuda (แสดงโดย Nina Oyama) ทำหน้าที่เป็นลูกมือของทั้งคู่ แต่ก็พยายามสืบสวนจากหลักฐานที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งเป็นบทเสริมเล็กๆ แต่ก็ออกมาดีอยู่
โดยรวมเป็นซีรีส์ที่ลงลึกในเรื่องการไขคดีฆาตกรต่อเนื่อง แต่มาในแนวเฟมินิสต์เชื่อมโยงกับตัวละครต่างๆ ในชุมชน ซึ่งคาดเดาคนร้ายไม่ได้เลยว่าเป็นใคร แต่ปัญหาคือรายละเอียดยิบย่อยมากมายที่ใส่ไว้ทำให้ดูปวดหัว เป็นตัวไล่ผู้ชมออกไปมากที่สุดครับ