รีวิว THE KILLER (Netflix) ลงลึกในกระบวนการทำงานของนักฆ่าสไตล์ เดวิด ฟินเชอร์
THE KILLER
Summary
สรุปนี่เป็นหนังที่ขายเครดิตของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เป็นหลักด้วยสไตล์การเล่าเรื่องนิ่งๆ บอกเล่ากระบวนการทำงานทุกอย่างของนักฆ่าทุกมิติ โดยแทบไม่มีบทพูดจากตัวละครเลย ทั้งเรื่องมีแต่เสียงบรรยายบอกเล่าอารมณ์ต่างๆ ออกมา ซึ่งมันดูแปลก มีความกดดันจากความนิ่งเงียบ แต่ก็ทำให้มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อและก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดูสมจริง แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่แตกต่างก็ยังแนะนำให้ลองดูกันได้อยู่ครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- เล่าเรื่องของการทำงานของนักฆ่าโดยละเอียด
- ผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ + นักแสดงไมเคิล ฟาสเบนเดอร์
- ไม่เน้นบทพูดแต่ใช้เสียงบรรยาย
- มีพากย์ไทย
Cons
- มีฉากที่ดูแล้วขัดแย้งความจริงเยอะ
- มีช่วงเสียเวลาไปกับการบรรยายล้วนๆ มากไป
THE KILLER นักฆ่า หนัง Original Netflix จากผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ (Seven, Fight Club) เรื่องราวของมือสังหารที่ทำงานพลาดและโดนสั่งเก็บ แต่เขากลับตามไล่ล่าเอาคืนในปฏิบัติการไล่ล่าข้ามโลก ซึ่งเขายืนกรานว่าไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว
รีวิว THE KILLER (ไม่สปอยล์)
ด้วยชื่อเสียงของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ กับ Andrew Kevin Walker ผู้เขียนบทจาก Seven (แต่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ Alexis Nolent) พร้อมกับนักแสดงไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ทำให้ผลงานเรื่องนี้เป็นที่คาดหวังมาก ซึ่งผู้เขียนเองก็ชื่นชอบผลงานของทั้งคู่มาตลอด แต่กับเรื่องนี้ทุกอย่างพลิกตรงกันข้ามกับคอนเซ็ปต์นักฆ่าที่พยายามทำให้ดูเหมือนสมจริง แต่มันกลับดูเฟคอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก
ความพยายามทำให้สมจริงในเรื่องเริ่มตั้งแต่การไม่มีชื่อของตัวเอก แทบไม่มีบทพูดใดๆ ออกมา ทั้งเรื่องใช้เสียงบรรยายของตัวละครมาบอกเล่าความคิดการกระทำให้กับผู้ชมฟัง โดยมีลักษณะกึ่งสอนเลคเชอร์บอกเล่าขั้นตอนการทำงาน โดยแบ่งเรื่องเป็นบท (แชปเตอร์) อย่างเช่น ตอนเริ่มเรื่องที่ตัวนักฆ่าต้องกบดานอดทนเฝ้ารอเป้าหมายอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน หนังก็ใช้เสียงบรรยายเล่าถึงทัศนะคติวิธีคิด กระบวนการทำงานของตัวเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ยาวถึง 15 นาที เหมือนต้องการทดสอบผู้ชมเลยว่าสามารถทนเบื่อตามตัวละครในเรื่องนี้หรือไม่ (ซึ่งผู้เขียนเองยอมรับเลยว่าน่าเบื่อจนเผลอวูบหลับไป)
แต่ดีที่เนื้อเรื่องหลังจากนี้ไม่ได้เป็นลักษณะนั้นอีกแล้ว หนังเดินเรื่องเข้าสู่กระบวนการทำงานของนักฆ่าที่อธิบายให้เห็นถึงกระบวนการทำงานละเอียดทุกจุด เริ่มตั้งแต่การทำลายหลักฐานต่างๆ ย้ายประเทศหนีไปแหล่งกบดาน มาจนถึงช่วงที่เขาต้องทำภารกิจส่วนตัวเอาคืนที่โดนล่า (แต่ตัวเอกยืนยันว่าไม่ใช่การล้างแค้นส่วนตัว) เป็นการสืบหาเป้าหมาย ทรมานเหยื่อเพื่อหาข้อมูล หาจุดอ่อนเหยื่อเพื่อลงมือ ซึ่งเป็นการทำงานเองคนเดียวทั้งหมด หนังนำเสนอส่วนนี้ได้ดี โดยเน้นไปที่ความสงบของตัวเอกนักฆ่าที่ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น พร้อมทั้งฉากแอ็กชั่นต่อสู้กับเป้าหมายที่เป็นนักฆ่าด้วยกัน ไม่ใช่การลอบสังหาร ซึ่งฉากจะค่อนข้างมืดเพราะอยู่ในห้องมืดและก็เป็นสไตล์ผู้กำกับฟินเชอร์ที่ชอบทำหนังแนวมืดๆ ทึมๆ อยู่แล้ว แต่ก็ให้อารมณ์ของความป่าเถื่อนดุเดือดได้ดีเลย
ถึงแม้หนังจะนำเสนอรายละเอียดการทำงานของนักฆ่าได้อย่างละเอียดจนดูสมจริง แต่หลายครั้งมันก็ขัดแย้งกับความจริงที่หนังกำลังนำเสนอด้วยเช่นกัน อย่างการทิ้งปืนหรือสิ่งของติดตัวในถังขยะข้างทางง่ายๆ การเดินเข้าไปที่ต่างๆ ไปทั่วในยุคที่กล้องวงจรปิดมีทั่วทั้งเมืองอย่างปารีสที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้ แล้วยังเดินทางไปมาทั่วโลกได้โดยไม่มีการปลอมตัวใดๆ แค่ใช้พาสปอร์ตชื่อใหม่ หรือบางฉากก็เดินเข้าไปหาเหยื่อตรงๆ ในที่สาธารณะโดยไม่ฆ่า โดยเฉพาะตอนท้ายที่ตั้งใจเน้นย้ำว่านี่ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว แม้ผู้ชมจะเข้าใจเจตนาที่เรื่องนำเสนอและสิ่งที่ตัวเอกยึดถือ แต่มันก็ทำให้ความสมจริงในเรื่องพังไปเลยทันทีเช่นกัน
ส่วนของนักแสดง ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ดูเหมาะเจาะกับบทที่แสดงบุคลิกนิ่งๆ แบบนี้อยู่แล้วเพราะเขาก็เล่นแนวนี้มาตลอด อย่างหุ่นแอนดรอยด์ 2 ภาคของ Prometheus ซึ่งบทนี้ก็เหมือนงานง่ายของเขาเพราะแทบไม่ได้พูดแสดงอารมณ์อะไรเลย แม้จะมีฉากดราม่ากับภรรยาที่โดนลูกหลง แต่ก็แค่สั้นๆ เป็นแค่ชนวนเหตุของเรื่องเท่านั้น ส่วน Tilda Swinton บทสั้นนิดเดียวจนไม่ได้มีฉากน่าจดจำอะไร
สรุปนี่เป็นหนังที่ขายเครดิตของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ เป็นหลักด้วยสไตล์การเล่าเรื่องนิ่งๆ บอกเล่ากระบวนการทำงานทุกอย่างของนักฆ่าทุกมิติ โดยแทบไม่มีบทพูดจากตัวละครเลย ทั้งเรื่องมีแต่เสียงบรรยายบอกเล่าอารมณ์ต่างๆ ออกมา ซึ่งมันดูแปลก มีความกดดันจากความนิ่งเงียบ แต่ก็ทำให้มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อและก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดูสมจริง แต่ถ้าใครชอบสไตล์ที่แตกต่างก็ยังแนะนำให้ลองดูกันได้อยู่ครับ