playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Quiet Place: Day One ไม่ได้เน้นขายฉากหายนะวันแรก แต่เน้นขายแมวได้อย่างน่าประทับใจ

A Quiet Place: Day One

Summary

หนังยังคงเล่นธีมหลักการเข้าถึงชีวิตจิตใจของตัวละครมนุษย์ได้อย่างดีเหมือนเดิม โดยมีแมวเข้ามาเป็นทั้งอุปสรรคและความรักผูกพันกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และน่าประทับใจมากในตอนจบ แต่ใครที่หวังฉากหายนะล้างโลกวันแรกก็อาจจะผิดหวังหน่อยเพราะมีแค่สั้นๆ เท่านั้น แต่ความตื่นเต้นลุ้นระทึกทั้งเรื่องก็ยังอยู่และทำได้ดีไม่แพ้ภาคก่อนนี้ครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แมวน่ารักและมีบทบาทสำคัญมาก
  • บทยังคงสำรวจจิตใจมนุษย์ในแบบดราม่าได้ดีเหมือนเดิม
  • นักแสดงเล่นได้เป็นธรรมชาติมาก

Cons

  • ฉากหายนะวันแรกสั้น
  • สำหรับคนไม่ได้เลี้ยงแมวอาจจะมองว่าเป็นอุปสรรคที่น่ารำคาญ

A Quiet Place: Day One ดินแดนไร้เสียงวันที่หนึ่ง แซมหญิงผิวดำกับแมวติดอยู่ในนิวยอร์กซิตี้ในช่วงแรกของการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่จู่โจมทุกอย่างที่มีเสียง
A Quiet Place: Day One (2024) on IMDb

ADBRO

 

รีวิว A Quiet Place: Day One ดินแดนไร้เสียงวันที่หนึ่ง (ไม่สปอยล์)

แฟรนไชนส์เอเลี่ยนบุกโลกที่ไม่เหมือนใครด้วยการเล่นกับความเงียบ โดยภาคนี้นับเป็นภาคที่ 3 แต่ย้อนไปเล่าเรื่องวันแรกอีกครั้ง หลังจาก Part II ได้ทำบางส่วนมาให้เห็นแล้วในเมืองชนบทเล็กๆ แต่คราวนี้ย้ายโลเกชั่นมาอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กซิตี้ ที่เปิดมาก็มีคำบรรยายให้เห็นว่าเมืองนี้มีเสียงเฉลี่ย 90 เดซิเบล เท่ากับคนกรีดร้องอยู่ตลอดเวลา แต่เนื้อเรื่องไม่ได้โฟกัสภาพหายนะวงกว้างมากนัก มีฉากทำลายล้างให้เห็นเพียงสั้นๆ ตอนแรกเท่านั้น ก่อนกลับไปจำกัดวงเน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมนุษย์ไม่กี่คนแบบเดิม โดยเรื่องนอกจากจะต้องเอาตัวรอด ก็ยังต้องมีอุปสรรคสำคัญทำให้ต้องเกิดเสียงที่ห้ามไม่ได้เหมือนที่เคยเล่นในภาคก่อนเป็นเด็กทารก แต่ในภาคนี้คือ แมวลายวัวที่ชื่อว่า ‘โฟรโด’ ซึ่งเป็นแมวของแซม (แสดงโดย Lupita Nyong’o) โดยเธอเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งแมวตัวนี้ก็เหมือนเป็นเพื่อนช่วยบำบัดเยียวยาจิตใจ และยังทำหน้าที่หลักคือช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบไปพร้อมกับตัวละครมนุษย์ด้วยเช่นกัน

โจทย์ทารกห้ามร้องของภาคที่แล้วว่ายากแล้ว แต่ก็ยังมีอุปกรณ์ช่วยเก็บเสียงอย่างกล่องเก็บเสียงช่วยได้ แต่พอภาคนี้เป็นแมวในตอนแรกอาจจะดูยากกว่า ผู้เขียนเองก็เป็นทาสแมวคนหนึ่งเข้าใจดีว่าแมวเป็นสัตว์ที่เราแทบไปควบคุมพฤติกรรมมันไม่ได้เลย มีความอินดี้เป็นตัวเองที่สุด แล้วโจทย์การติดอยู่ในดงเอเลี่ยนที่ตรวจจับทุกอย่างด้วยเสียงจะทำมันออกมาได้ยังไง ซึ่งหนังก็เลือกเล่นฉากลุ้นระทึกกับแมวโดยไม่ได้มีเสียงแมวร้องเลยสักครั้ง ซึ่งแมวจริงๆ ก็แทบไม่ได้ร้องอยู่แล้วนอกจากตอนหิวขอกินหรือไปไล่ฟัดกับแมวอื่น และในเรื่องนี้คือแมวบำบัดผู้ป่วยมะเร็งในสถานบำบัดจึงต้องมีนิสัยไม่รบกวนคนอื่นอยู่แล้ว หนังจึงตัดปัญหานี้ออกไปได้และก็สมเหตุผลในตัว แล้วก็ย้ายไปเล่นกับฉากที่เป็นการกระทำปกติของแมวที่มักสอดรู้สอดเห็นกับทุกอย่าง มีอาการตกใจวิ่งเตลิดไปแล้วต้องตามหา นิสัยเกาประตูอยากออกจนทำให้เกิดเสียง หรือการปีนไปที่สูงยากที่จะจับได้ ซึ่งพวกนี้คือพฤติกรรมปกติของแมวจริงๆ โดยที่แต่ละฉากผู้ชมจะไม่ได้ลุ้นแมวจะโดนเอเลี่ยนฆ่าอย่างที่คิดกันเลย แต่เป็นตัวละครมนุษย์ที่พยายามไปช่วยต่างหากที่ต้องหวาดเสียวแทน เปรียบง่ายๆ แมวในเรื่องก็เหมือนตัวละครหน้าโง่ในหนังสยองขวัญที่ชอบเดินไปหาเรื่องนั่นแหละ แต่พอเป็นแมวกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันโง่ เพราะนี่คือนิสัยตามปกติของแมวเองอยู่แล้ว โดยที่เรื่องก็เพิ่มน้ำหนักความสำคัญทำให้มันมีความหมายผูกพันกับตัวละครมนุษย์ทุกคนในเรื่องด้วย (เป็นแมวรักของทุกคน) ซึ่ง Michael Sarnoski ผู้กำกับเรื่องนี้คนที่ทำหนังเรื่อง PIG ที่ได้นิโคลัส เคจเล่นขายฝีมือจนกลับมาได้ในช่วงหลังนี้ โดยเนื้อเรื่อง PIG ก็คือตัวเอกที่ผูกพันกับหมูที่หาเห็ดทรัฟเฟิลและโดนจับตัวไปให้พระเอกต้องตามหา แต่หนังไม่ได้เน้นบู้ล้างผลาญ มาในแนวดราม่าชีวิตที่เขาผูกพันกับหมูและขาดหมูไม่ได้เพราะอะไร? ซึ่งก็คือปมสำคัญที่หนังซ่อนไว้ในเรื่อง มาในเรื่องนี้ผู้กำกับก็นำอารมณ์แบบนั้นกลับมาได้เหมือนกัน ซึ่งทุกครั้งที่โฟรโดรถูกช่วยไว้ได้นี่ฮีลใจทาสแมวมากๆ ครับ แล้วก็นำแมวตัวนี้มาเป็นเงื่อนไขคลายล็อกชีวิตของตัวละครแซมในตอนจบได้อย่างน่าประทับใจมากเช่นกัน ซึ่งผู้ชมที่เป็นทาสแมวหรือแม้แต่หมาก็น่าจะเข้าใจอารมณ์นี้กันดีแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้รักหรือเลี้ยงสัตว์อาจจะเฉยๆ ไปแทนก็ได้เหมือนกันครับ

นอกจากเรื่องจะสร้างแมวให้เด่นและน่าติดตามไปกับเรื่องได้แล้ว หนังก็ยังไม่ลืมใส่รายละเอียดชีวิตของตัวละครแซมได้อย่างสมเหตุผลไปพร้อมกับช่วงเวลาวันสิ้นโลกวันแรกได้เป็นอย่างดี เมื่อเธอไม่ได้คิดเหมือนคนอื่นที่กำลังหนีตายเอาตัวรอด แต่แซมกลับพยายามใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยหา “พิซซ่า” ร้านดังที่เธออยากกินตั้งแต่แรกและต้องกินให้ได้ ฟังดูอาจจะตลก แต่หนังก็ทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ว่าพิซซ่านี้สำคัญยังไง เพราะเธอคือผู้ป่วยมะเร็งที่ใกล้ตายอยู่แล้ว โดยเธอมีเพื่อนร่วมทางอีกคนที่ชื่อ ‘เอริก’ (แสดงโดย Joseph Quinn) ที่เจอเขากลางทางและเป็นทาสแมวด้วยเช่นกัน ซึ่งเอริกคือตัวละครที่หว้าเหว่ขาดที่พึ่งต้องมาตามแซม แต่บทของเขาก็ไม่ได้เป็นภาระ เอริกเป็นตัวละครที่ฉลาดแก้ไขสถานการณ์ได้ดี แต่ก็มีอาการแพนิกในบางครั้ง ซึ่งบทของทั้งคู่ส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี ผู้ชมต้องลุ้นเอาใจช่วยทั้งคู่ให้รอดไปด้วยกันในสถานการณ์ที่ติดอยู่ในเมืองนิวยอร์คแห่งนี้ครับ

หนังยังมีจุดเชื่อมต่อกับภาคก่อนด้วยการให้เห็นจุดเริ่มของตัวละคร ‘เฮนริ’ (แสดงโดย Djimon Hounsou) ซึ่งภาคก่อนคือผู้นำชุมชนบนเกาะหลบภัย หนังนำเสนอเรื่องของเขาสั้นๆ แต่ก็มีจุดคลิกพ้อยท์สำคัญกับชีวิตที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากคนธรรมดากลายมาเป็นผู้นำให้เห็น ซึ่งแม้ฉากนี้จะสั้นมาก แต่ก็ทำให้เห็นว่านี่เป็นการตัดสินใจที่แม้จะส่งผลร้ายกับจิตใจเขา แต่ก็ทำให้ทุกคนรอดตายได้เช่นกัน 

 

สรุป หนังยังคงเล่นธีมหลักการเข้าถึงชีวิตจิตใจของตัวละครมนุษย์ได้อย่างดีเหมือนเดิม โดยมีแมวเข้ามาเป็นทั้งอุปสรรคและความรักผูกพันกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และน่าประทับใจมากในตอนจบ แต่ใครที่หวังฉากหายนะล้างโลกวันแรกก็อาจจะผิดหวังหน่อยเพราะมีแค่สั้นๆ เท่านั้น แต่ความตื่นเต้นลุ้นระทึกทั้งเรื่องก็ยังอยู่และทำได้ดีไม่แพ้ภาคก่อนนี้ครับ

 

ปล.สำหรับผู้ที่รอดูในสตรีมมิ่งอาจจะผิดหวังได้ เพราะเรื่องนี้ของพาราเมาท์ที่ยังไม่ได้เปิดสตรีมมิ่งในไทยครับ แต่ก็น่าจะดูผ่าน apple TV แบบซื้อหรือเช่าได้อยู่ (ช่วงที่หนังฉาย 2 ภาคก่อนก็ลดราคาเหลือ 99 บาท)

รวมรีวิวหนังโรงคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!