playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว CTRL (Netflix) ภัยร้ายของ AI ที่เล่าแบบหนัง Searching ได้เกือบดีแล้ว แต่ดันพังในตอนจบ

CTRL

Summary

หนังแนวไซเบอร์ระทึกขวัญที่ใช้ AI เป็นตัวเดินเรื่องโดยผสมเรื่องราวความรักเข้าไปเป็นประเด็นนิดหน่อยแค่นั้น ตัวหนังสะท้อนปัญหาของการเสพติดใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิดของผู้ใช้งานที่ต้องการเป็นอินฟลูเอนเซอร์แบบไวๆ ไม่ต้องทำอะไรเองให้ AI ทำให้หมด ซึ่งก็เป็นดาบสองคมกลับมาเมื่อความสำเร็จมาไวเกินตัว ก่อนที่ครึ่งหลังจะเปลี่ยนเป็นแนวนักสืบอินเตอร์เน็ตโดยใช้รูปแบบหน้าจอแสดงผลเล่าเรื่องอย่างหนัง Searching แต่เล่นในประเด็นที่ใหญ่กว่ามาก แต่ว่าหนังกลับจบแบบหมดมุกไปต่อกันดื้อๆ ซึ่งทำให้ประเด็นที่เล่ามาถูกโยนทิ้งไปหมด จนเกือบพังทั้งเรื่องไปเลยครับ

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวไซเบอร์ระทึกขวัญที่ใช้ AI เป็นตัวเดินเรื่อง
  • ภาพการเล่าแบบหนัง Searching
  • ประเด็นภัยร้ายของเทคโนโลยี AI
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ตอนจบหมดมุกจนดูแย่
  • AI ดูเว่อร์ไปและตอนหลังไม่มีบทบาทกับเรื่องหลัก

 

CTRL ภาพยนตร์ Original Netflix อินเดีย แนวทริลเลอร์ เรื่องราวของหญิงสาวที่ใช้บริการ AI ช่วยลบข้อมูลรูปภาพและวิดีโอของแฟนหนุ่มที่นอกใจเธอออกไป แต่การลบครั้งนี้ทำให้เธอได้เจอกับความลับที่ซ่อนอยู่ของเขา

รีวิว CTRL

หนังอินเดียที่มาในพล็อตทันสมัยแนว AI ผู้ช่วย ซึ่งถ้าดูแค่หน้าตาภายนอกคงปักใจว่าเป็นหนังรักดราม่าแน่ๆ แต่แท้จริงแล้วหนังแค่เอาเรื่องรักมาบังหน้า ตัวเรื่องกลับเป็นแนวนักสืบอินเตอร์เน็ตแบบเดียวกับหนังอย่าง Searching (ชื่อไทย เสิร์ชหา สูญหาย) ซึ่งเกี่ยวกับตัวเอกที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องมือในอินเตอร์เน็ตสืบหาคนใกล้ตัวที่หายไป โดยใช้การสืบผ่านหน้าจอเป็นจุดขายของเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในรูปแบบเดียวกัน แต่มีความต่างตรงที่มี AI กับประเด็นอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นจุดขายเพิ่มเท่านั้น

หนังให้นางเอก เนลล่า (แสดงโดย Ananya Panday) เป็นสาวคนรุ่นใหม่ที่ไม่คิดจะรับช่วงทำกิจการขนมต่อที่บ้าน และฝันอยากทำช่องยูทูปเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เธอได้พบเจอแฟนหนุ่มที่มีความสนใจแบบเดียวกันและร่วมกันทำช่องยูทูปขึ้นมาจนดัง แต่แฟนหนุ่มกลับนอกใจในวันที่เธอแอบไป Live สดก่อนวันเกิดเขาโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้คลิปนี้แพร่กระจายจนทำให้ทั้งคู่แยกทางกัน แต่เธอกลับมีปัญหาทำช่องต่อไม่ได้เพราะขาดแฟนหนุ่มที่คอยช่วยเธอมาตลอด ซ้ำร้ายยังฝังใจเจ็บที่มีคลิปกับเขาสะสมอยู่ในทุกช่องทางเต็มไปหมด จนมีคอมเมนต์แนะนำให้เธอใช้บริการใหม่ CTRL.AI บริการ AI ผู้ช่วยใหม่ที่ช่วยเธอได้ทุกอย่าง แม้แต่การลบแค่ภาพที่มีแฟนหนุ่มออกไปโดยต้นฉบับเดิมยังคงอยู่ ซึ่งเรื่องราวก็เริ่มจากจุดนี้เมื่อ AI นี้ช่วยเธอได้สารพัดจนกลายมาเป็นคนละคน 

ตัวเรื่องแสดงให้เห็นถึงความหอมหวานของการใช้เทคโนโลยี AI ที่ช่วยทำให้คนก้าวกระโดดทำอะไรใหม่ๆ ได้โดยที่ไม่ต้องลงมือเรียนรู้เอง หนังสะท้อนให้เห็นความอยากได้ชื่อเสียงของนางเอกที่ก้าวเข้ามาในวงการนี้ ทุกอย่างทำเพื่อหาเอนเกจเมนต์เท่านั้น ซึ่งบริการ AI ก็ช่วยคิดและทำให้ทุกอย่างได้แบบปังง่ายๆ จนเธอพร้อมลืมแฟนที่เป็นคนจริงๆ ไป จากนั้นเรื่องก็ค่อยๆ ยกระดับให้นางเอกจากอินฟลูเอนเซอร์ใช้ AI ช่วยทำให้ดัง กลายมาเป็นหนังแบบเดียวกับ Searching แต่เล่นใหญ่กว่ามาก โดยมี AI ที่เธอใช้เป็นเหมือนดาบสองคม ซึ่งเรื่องทำได้น่าติดตามว่าเธอจะต่อสู้กับความลับที่มีแต่เธอล่วงรู้ได้ยังไง โดยเรื่องแสดงให้เห็นถึงผลร้ายของวงการเทคโนโลยีที่เข้ามาครอบงำคนในสังคมโดยเรายินยอมตกลงใช้มันเองผ่านข้อตกลงตอนแรกที่เขียนไว้ยาวๆ และก็ไม่มีใครสนใจจะอ่านมันจริงจังสักเท่าไหร่มาเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้ชมต้องฉุกคิด

หนังมีการเล่าเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างดีเลย แม้จะเล่าเรื่องการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของเธอไวมากจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่หนังก็มาเฉลยให้เห็นว่าเพราะอะไรในตอนหลัง ซึ่งจริงๆ ก็พอเดาได้เพราะเรื่องในตอนแรกที่เธอใช้ AI ก็มีแง้มให้เห็นว่าบริการนี้มันไม่ปกติ แต่สิ่งที่หนังทำผิดพลาดมากคือตอนจบ เมื่อหนังเล่นแนวนักสืบอินเตอร์เน็ตแบบ Searching จบก็กลายเป็นหนังหมดมุกในการไปต่อ AI ที่เล่ามาตลอดว่าเป็นภัยร้ายก็ไม่ได้มีบทบาทให้เห็นอะไร และหนังก็จบลงแบบเหมือนคนเขียนบทหมดแรงคิดแล้ว ทำให้สิ่งที่ดำเนินมาทั้งเรื่องพังไปเลย และยังวนกลับไปในแนวหนังรักเสียดายแฟนเก่า ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรวกกลับมาจุดนี้ได้เลยครับ 

 

สรุป หนังแนวไซเบอร์ระทึกขวัญที่ใช้ AI เป็นตัวเดินเรื่องโดยผสมเรื่องราวความรักเข้าไปเป็นประเด็นนิดหน่อยแค่นั้น ตัวหนังสะท้อนปัญหาของการเสพติดใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิดของผู้ใช้งานที่ต้องการเป็นอินฟลูเอนเซอร์แบบไวๆ ไม่ต้องทำอะไรเองให้ AI ทำให้หมด ซึ่งก็เป็นดาบสองคมกลับมาเมื่อความสำเร็จมาไวเกินตัว ก่อนที่ครึ่งหลังจะเปลี่ยนเป็นแนวนักสืบอินเตอร์เน็ตโดยใช้รูปแบบหน้าจอแสดงผลเล่าเรื่องอย่างหนัง Searching แต่เล่นในประเด็นที่ใหญ่กว่ามาก แต่ว่าหนังกลับจบแบบหมดมุกไปต่อกันดื้อๆ ซึ่งทำให้ประเด็นที่เล่ามาถูกโยนทิ้งไปหมด จนเกือบพังทั้งเรื่องไปเลยครับ


 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!