playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Let Go (Netflix) หนังดราม่าครอบครัวใกล้แตกแบบเรียบๆ แต่ก็มีดีซ่อนอยู่

Let Go

Summary

หนังดราม่าครอบครัวใกล้แตกที่วางปมปัญหาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในปัจจุบันออกมาได้ดีเลย หนังดูดราม่าทะเลาะกันจนน่าอึดอัดในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังเป็นเรื่องราวคลายปมครอบครัวที่ดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ มีความน่าประทับใจเล็กๆ อยู่ตลอด โดยมีปมสำคัญของแม่ซ่อนอยู่นอกเหนือจากความขัดแย้งในครอบครัว หนังจบแบบสะเทือนใจนิดๆ แต่การดำเนินเรื่องทั้งหมดก็ยังดูเรียบๆ มาก จนถ้าไม่ใช่สายชอบแนวดราม่าหนังนอกกระแสจริงๆ ก็คงมองว่าน่าเบื่อสุดๆ ครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • หนังดราม่าสะท้อนปัญหาครอบครัวแตกร้าวในปัจจุบัน
  • ผู้กำกับ เขียนบท นำแสดงเอง
  • นักแสดงเล่นได้เข้ากับบทบาท
  • มีพากย์ไทย

 

Cons

  • เรื่องนำเสนอแบบเรียบๆ ทั้งเรื่องมาก

ADBRO

Let Go ปล่อยวาง ภาพยนตร์ดราม่า Original Netflix จากนอร์เวย์ แม่ผู้เหนื่อยล้าจากการดูแลลูกที่ดื้อรั้น แถมสามีมาขอหย่าเพราะทนเธอไม่ไหว แต่เธอตัดสินใจพาทั้งครอบครัวไปชมการแข่งขันโพลแดนซ์ของลูกสาววัยรุ่นที่ไม่อยากให้พ่อแม่มายุ่งเกี่ยวเลย แต่การเดินทางนี้ได้เปลี่ยนชีวิตครอบครัวนี้ไปทั้งหมด

Let Go (2024) on IMDb

รีวิว Let Go ปล่อยวาง (ไม่สปอยล์)

หนังดราม่าเรียบๆ จากผู้กำกับหญิง Josephine Bornebusch ที่เธอเคยรับกำกับผลงานซีรีส์ผู้หญิงดีๆ มาแล้วหลายเรื่องอย่าง Baby Reindeer (Netflix) กับ Bad Sisters (Apple TV) แต่ไม่ได้เป็นครีเอเตอร์เท่านั้น มาเรื่องนี้เธอทั้งเขียนบทและกำกับเอง รวมถึงยังเล่นเองเป็นนักแสดงนำในบท สเตลล่า แม่ผู้เหนื่อยล้ากับการเลี้ยงลูกในช่วงสองวัย แถมสามีก็ยังมาขอหย่าซ้ำไปอีก ซึ่งจากพล็อตเรื่องก็ดูไม่น่าสนใจเรียบๆ และหนังก็เรียบๆ ตามพล็อตที่เห็นจริงๆ ไม่มีความหวือหวา แต่ว่าในเรื่องราวนี้ก็มีส่วนดีซ่อนอยู่เหมือนกันครับ

หนังถ่ายทอดวิกฤตของครอบครัวที่กำลังเสี่ยงใกล้แตก โดยเป็นเรื่องราวที่แสนธรรมดา อย่างลูกสาววัยรุ่นที่อยากทำอะไรห่ามๆ ในสายตาผู้ใหญ่ที่เห็นตรงข้ามกัน ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือ โพลแดนซ์หรือการเต้นรูดเสาที่คนทั่วไปก็มักติดภาพว่ามันคือการเต้นเปลื้องผ้าหรือใส่น้อยชิ้นที่เห็นตามผับบาร์ต่างๆ ซึ่งมันไม่น่าสนับสนุนเลยที่จะให้เด็กวัยรุ่นเข้าไปทำกิจกรรมแบบนั้น แต่สิ่งที่ลูกสาวเห็นคือทางออกของชีวิตที่ตรงกันข้าม มันคือสีสันที่น่าท้าท้ายในแบบกิจกรรมสมัยใหม่ และจริงๆ แล้วมันก็เป็นศิลปะประเภทหนึ่งที่ต้องฝึกฝนเรียนรู้มาเยอะถึงทำได้ มันไม่ใช่ภาพของการเต้นอนาจารแก้ผ้าให้คนอื่นดูอย่างที่ผู้ใหญ่หัวเก่าคิดกัน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พ่อแม่ต้องหันมาสนใจเรียนรู้สิ่งที่ลูกชอบ โดยตัดอคติส่วนตัวไปก่อน สิ่งนี้ไม่ว่าครอบครัวไหนก็คงต้องเจอ จนสุดท้ายถ้าไม่เข้าใจกันจากเรื่องเดียวก็กลายเป็นรอยแยกของพ่อแม่กับลูกก็ห่างกันขึ้นเรื่อยๆ ลามไปจนถึงทุกเรื่องในชีวิตเสมอ 

นอกจากเรื่องของลูกสาวแล้วก็ยังมีพ่อที่ทำหน้าที่แค่หาเงินส่งให้ภรรยาใช้เลี้ยงลูก โดยไม่ได้สนใจจะมาเลี้ยงดูจริงๆ แบบที่ควรทำ กลับมาบ้านก็พบกับภรรยาขี้หงุดหงิดจากการดูแลบ้านเลี้ยงลูกชายคนเล็กที่ยังไม่รู้ประสีประสามาก พอเขาเริ่มทนไม่ไหวก็มองหาผู้หญิงอื่นที่ดูดีกว่ามาคุย แล้วก็เริ่มคิดแยกทางกับภรรยา ด้วยข้ออ้างว่าเธอเปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิมก่อนแต่ง ซึ่งนี่ก็คือปมพื้นๆ ที่ไม่ว่าครอบครัวไหนก็มีสิทธิต้องเจอ ถ้าปล่อยให้พ่อมีแค่หน้าที่หาเงินส่งครอบครัวเท่านั้นครับ

หนังหยิบจับปัญหาความแตกแยกพื้นๆ พวกนี้มาบอกเล่า ผ่านการเดินทางไกลไปดูลูกเต้นโพลแดนซ์ ซึ่งเรื่องราวระหว่างทางก็เพิ่มความขัดแย้งขึ้นไปอีก เมื่อแม่ก็เจ้ากี้เจ้าการดูแลลูกจนเกินไป พ่อก็มองว่าแค่ร่วมทางไปเฉยๆ แต่ใจไม่อยู่ด้วยเลยโดยติดมือถือคุยกับสาวที่หวังว่าจบทริปนี้จะได้ไปอยู่ด้วยกัน ลูกสาวก็รำคาญที่พ่อแม่ต้องตามมาด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ แถมการมาไกลครั้งนี้ก็มาพักบ้านพ่อแม่ที่ห่างไปนานเพราะมีปัญหาเช่นกัน ซึ่งหนังก็เล่าเรื่องราวพวกนี้ไปตามแนวดราม่าที่น่าอึดอัดแบบเรียบๆ จนมาถึงจุดกลางเรื่องที่เรื่องเฉลยบางอย่างออกมา ซึ่งก็ทำให้ผู้ชมเข้าใจต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดว่าเธอต้องรับภาระอะไรที่นอกเหนือจากการเป็นแม่ปกติ จากนั้นหนังก็ค่อยๆ ถอดเกลียวคลายความขัดแย้งเหล่านี้ลง ด้วยการเริ่มใส่ใจยอมรับสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างมองว่าอีกคนเป็นตัวปัญหา แต่แท้จริงแล้วทุกคนก็สร้างปัญหาเหล่านั้นกันขึ้นมาเอง ซึ่งช่วงหลังหนังจากการเล่าเรื่องเรียบๆ เต็มไปด้วยความขัดแย้งที่อึดครึมมาตลอดก็ค่อยๆ สดใสขึ้น ปมเล็กๆ ก็ถูกแก้ไขอย่างน่ารัก ตัวเรื่องเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวละครทุกคนไปในทางที่ดีจนน่าประทับใจ แต่ก็ยังคงปมปัญหาใหญ่กับความลับของแม่ที่ซ่อนไว้ ซึ่งก็ส่งท้ายด้วยบทบาทที่สะเทือนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับตอกย้ำทำร้ายจิตใจผู้ชมมาก หนังเลือกนำเสนอภาพการปล่อยวางและก้าวผ่านสู่หนทางต่อไปของครอบครัวที่กลับมาเชื่อมต่อกันติดอีกครั้งครับ ซึ่งก็คือชื่อเรื่องนี้นั่นเอง

ตัวนักแสดงเองเล่นได้อย่างดีมาก โดยเฉพาะบทแม่ที่ผู้กำกับเล่นเองแสดงเองได้อย่างเข้าถึงมากๆ แค่ช่วงแรกของเรื่องผู้ชมก็รับรู้ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยที่เธอต้องเจอผ่านใบหน้าอิดโรยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ส่งผลให้คนดูก็เชื่อเลยว่าผู้หญิงแบบนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย ทำให้เหตุผลของพ่อในตอนแรกที่พร้อมหย่าขาดทิ้งภรรยากับลูกไปดูมีน้ำหนักขึ้นมา แต่ก็รู้สึกว่าพ่อเป็นไอ้เลวที่คิดแค่ความสุขของตัวเอง ซึ่งนักแสดงก็เล่นบทนี้ผ่านใบหน้าตีหน้าซื่อๆ เรียบเฉยกับทุกปัญหาที่มองว่าตัวเองไม่ต้องแก้เพราะโยนภาระนี้ให้แม่ไปแล้ว ซึ่งก็ดูน่าหมั่นไส้มาก จนครึ่งหลังพอตัวละครเปลี่ยนไปเป็นคนที่ค่อยๆ เป็นพ่อขึ้นมา เขาก็สลายความรู้สึกแง่ลบนั้นไปได้ ดูน่ารักอบอุ่นและก็เข้าใจว่าเขาเองก็ผิดพลาดไปจริงๆ ไม่ใช่ชายชั่วติดหญิงแบบที่ตอนแรกวางไว้ ส่วนลูกสาวจากที่ดูเหมือนวัยรุ่นไม่เอาพ่อแม่น่ารำคาญ เธอดูเอาแต่ใจอย่างมากตั้งแต่แรกจนกระทั่งเจอกับหนุ่มที่มาเต้นโพลแดนซ์ด้วยกันและถูกใจเขา หนังก็ค่อยๆ ละลายพฤติกรรมแย่ๆ ของเธอออกไป และก็ค่อยๆ เผยให้เห็นด้านดีสดใสแบบเด็กวัยรุ่นที่จริงๆ เธอก็มีมาตลอดอยู่แล้ว แค่ถูกอคติที่มีต่อพ่อแม่ครอบงำไว้เท่านั้น ซึ่งฉากการเต้นโพลแดนซ์ตอนท้ายของเธอก็เป็นสิ่งที่กระชากความรู้สึกเหล่านี้ออกไปครับ

 

สรุป หนังดราม่าครอบครัวใกล้แตกที่วางปมปัญหาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในปัจจุบันออกมาได้ดีเลย หนังดูดราม่าทะเลาะกันจนน่าอึดอัดในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังเป็นเรื่องราวคลายปมครอบครัวที่ดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ มีความน่าประทับใจเล็กๆ อยู่ตลอด โดยมีปมสำคัญของแม่ซ่อนอยู่นอกเหนือจากความขัดแย้งในครอบครัว หนังจบแบบสะเทือนใจนิดๆ แต่การดำเนินเรื่องทั้งหมดก็ยังดูเรียบๆ มาก จนถ้าไม่ใช่สายชอบแนวดราม่าหนังนอกกระแสจริงๆ ก็คงมองว่าน่าเบื่อสุดๆ ครับ

 

   รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!