playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Place Called Silence (Netflix) ฆาตกรรมต่อเนื่องลูกโซ่จากการเพิกเฉยของผู้คนในสังคม

A Place Called Silence

Summary

หนังแนวฆาตกรรมต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีสารสำคัญที่เรื่องใช้ผลักดันเรื่องราวได้อย่างหนักแน่นก็คือการเพิกเฉยต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมเล็กๆ ตั้งแต่ครอบครัว  ชุมชนไปจนถึงเหตุการณ์ในโรงเรียนที่ร้ายแรงแต่ก็ถูกเพิกเฉยด้วยปมชนชั้นกับอาชีพ โดยเรื่องเป็นเมืองสมมุติที่มีหลายเชื้อชาติร่วมกันอย่างอินเดีย แต่ใช้ตัวละครจีนเป็นหัวหน้าหลัก ซึ่งจะดูแปลกๆ ทั้งโลเกชั่นกับตัวละครหลากหลายในเรื่อง แต่ก็ช่วยส่งเสริมประเด็นที่หนังต้องการเล่าได้ดี ซึ่งหนังเล่าเรื่องทั้งแนวดราม่าและฆาตกรรมได้หนักหน่วงโหดร้ายทารุณจิตใจ แต่ตอนจบก็คลายปมได้สวยงามน่าประทับใจ ซึ่งน้อยเรื่องที่บทหนังแนวฆาตกรรมหนักๆ แบบนี้จะทำได้ครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวฆาตกรรมต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่
  • ปมการเพลิกเฉยต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้น
  • เมืองสมมุติที่มีเชื้อชาติหลากหลาย

Cons

  • เรื่องย้อนยุคกับเมืองสมมุติจะดูแปลกๆ
  • ตัวคนร้ายถูกเฉลยออกมาง่ายๆ
  • ไม่มีพากย์ไทย

ADBRO

A Place Called Silence เรื่องราวของเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ จนนำมาสู่เหตุฆาตกรรมมากมายพร้อมกับความลับที่ซ่อนอยู่ของทุกคน
A Place Called Silence (2024) on IMDb

 

รีวิว A Place Called Silence (ไม่สปอยล์)

หนังจากทีมสร้างฮ่องกงที่แปลกสักหน่อยเพราะไปถ่ายทำที่ปีนัง แล้วสร้างเป็นเมืองสมมุติที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติอินเดีย มาเลย์ จีน แต่ตัวละครหลักในเรื่องก็ยังเป็นนักแสดงฮ่องกงอยู่ ซึ่งการเซ็ตติ้งเมืองแบบนี้มีส่วนสำคัญกับแมสเซจสำคัญที่เรื่องต้องการเล่นไว้ ก็คือการเพิกเฉยต่อการเห็นความผิดในชุมชนต่างๆ อย่างเด็กที่ถูกบูลลี่ในฉากเปิดเรื่องนี้ก็มีการแสดงให้เห็นว่า ยามของโรงเรียนที่เป็นคนอินเดียก็เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ด้วยสถานะของชนชั้นกับตำแหน่งงาน ที่มีสถานะคนปกครองโรงเรียนนี้คือคนจีนเป็นเจ้าของอยู่ หนังใช้ประเด็นนี้ขับเคลื่อนเรื่องราวทุกช่วงและเป็นปมเหตุของฉากฆาตกรรมในเรื่องที่มีต่อเนื่องหลายศพ ซึ่งหนังร้อยเรียงเรื่องราวเหล่านี้เข้ากันอย่างดี

หนังเริ่มต้นด้วยการใข้แนวฆาตกรปริศนาไล่เชือดเหยื่อที่เป็นนักเรียนสาวหลายคน โดยใช้ค้อนไล่ทุบเหยื่อจนตายอย่างอำมหิต แต่ฉากฆ่าโหดนี้ไม่ใช่จุดขายจริงของเรื่อง หนังใช้แรงจูงใจการฆ่ามาเล่าเรื่องราวทั้งหมดแทน โดยเหยื่อเป็นกลุ่มเด็กสาวไฮโซที่บูลลี่เด็กในโรงเรียน ซึ่งเรื่องก็หลอกล่อให้ผู้ชมคิดว่าคนร้ายต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน ซึ่งหนังก็เฉลยตัวคนร้ายอย่างง่ายตั้งแต่กลางเรื่องเลย ก่อนจะไปต่อที่เหยื่อคนอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องบูลลี่ แต่ทั้งหมดมันกลับเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ กลายเป็นการก่ออาชญากรรมหลายระดับ จากความรุนแรงในครอบครัวไปหาอาชญากรรมต่อคนในชุมชนจนถึงโรงเรียน โดยที่หนังก็ใช้ประเด็นการเพิกเฉยนี้เป็นตัวจุดระเบิดของลูกโซ่อาชญากรรมแต่ละครั้งให้มาเชื่อมต่อกันได้อย่างสนิทไร้รอยต่อ โดยมีการเฉลยเรื่องอยู่ช่วงกลางเรื่องไปยาวเป็นการย้อนอดีตของตัวละครแต่ละตัว แต่เรื่องซ่อนเร้นการเฉลยเรื่องทั้งหมดไว้แล้วเล่าเป็นขยักๆ เพื่อหลอกล่อหักมุมผู้ชมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตอนจบ โดยมีฉากสุดท้ายของเรื่องที่สวยงดงามมากหลังจากผ่านความรุนแรงหดหู่มาตลอด ซึ่งน่าประทับใจไม่น้อยกับบทสรุปของเรื่องราวอันแสนทารุณจิตใจนี้ และฉากจบนี้ก็จะถูกนำไปเชื่อมต่อกับฉากเปิดเรื่องที่ดูเหนือจริงจนน่าสงสัยตั้งแต่แรกอีกด้วยครับ 

*แต่หนังก็ใส่เอนเครดิตที่ขัดแย้งกับฉากจบเผื่อไว้ด้วยเช่นกัน 

 

ด้วยความที่เรื่องถูกถ่ายในปีนัง โลเกชั่นในเรื่องจึงดูเป็นป่าซะเยอะ หนังดูเป็นแนวอินโดนีเซียจนดูแปลกๆ เหมือนกัน ทั้งเรื่องเราจะได้เห็นตัวละครอินเดียทำอาชีพตำรวจ นักข่าว ภายใต้ตัวละครหัวหน้าที่เป็นคนจีน ซึ่งทำให้เรื่องดูไม่เป็นธรรมชาติตามที่เคยเห็นกัน และยังเล่าย้อนไปปี 2006 หลังการเกิดสึนามิใหญ่หลายประเทศรอบมหาสมุทรอินเดีย 1 ปี โดยนำเรื่องสึนามินี้มาผูกเข้ากัยตัวละครหลักในเรื่องด้วย และก็ทำให้ฉากเรื่องนี้จะดูเก่าไปหมด มือถือที่ใช้ก็ยังเป็นโนเกียปุ่มกดกันอยู่ แต่กล้องวงจรปิดในเรื่องก็ดันชัดเหลือเกินจนดูไม่สมจริงเท่าไหร่เหมือนกันครับ 

สรุป หนังแนวฆาตกรรมต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีสารสำคัญที่เรื่องใช้ผลักดันเรื่องราวได้อย่างหนักแน่นก็คือการเพิกเฉยต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมเล็กๆ ตั้งแต่ครอบครัว  ชุมชนไปจนถึงเหตุการณ์ในโรงเรียนที่ร้ายแรงแต่ก็ถูกเพิกเฉยด้วยปมชนชั้นกับอาชีพ โดยเรื่องเป็นเมืองสมมุติที่มีหลายเชื้อชาติร่วมกันอย่างอินเดีย แต่ใช้ตัวละครจีนเป็นหัวหน้าหลัก ซึ่งจะดูแปลกไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ทั้งโลเกชั่นกับตัวละครหลากหลายในเรื่อง แต่ก็ช่วยส่งเสริมประเด็นที่หนังต้องการเล่าได้ดี ซึ่งหนังเล่าเรื่องทั้งแนวดราม่าและฆาตกรรมได้หนักหน่วงโหดร้ายทารุณจิตใจ แต่ตอนจบก็คลายปมได้สวยงามน่าประทับใจ ซึ่งน้อยเรื่องที่บทหนังแนวฆาตกรรมหนักๆ แบบนี้จะทำได้ครับ

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!