playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Madness เหยี่ยวข่าวคลั่ง (Netflix) The Fugitive ที่ไม่มีแอ็กชั่น เน้นสะท้อนปัญหาเหยียดผิวในอเมริกา

The Madness

Summary

ซีรีส์แนวตัวเอกต้องหนีคดีฆาตกรรมที่ไม่ได้ก่อแบบหนัง The Fugitive แต่ว่าไม่ได้เป็นแนวแอ็กชั่น เรื่องมาในแนวสืบสวนดราม่าเชิงลึกถึงประเด็นการเหยียดเชื้อชาติเป็นเหตุ ทำให้สังคมคนขาวกดดันตัวเอกคนดำที่ต้องหลบหนีปกปิดซ่อนตัวจนทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมอเมริกาที่การเหยียดเชื้อชาติไม่มีวันหมดไป โดยที่ช่วงสืบสวนก็แทรกไประหว่างการหลบหนี เป็นคดีที่ลึกซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงดีปสเตตรัฐพันลึกในอเมริกา ซึ่งเรื่องเล่าสนุกตื่นเต้นโดยใช้ตัวเอกเป็นแค่คนดำธรรมดาที่พยายามเอาชีวิตรอดจากการถูกใส่ร้ายแค่นั้นมาสะท้อนปัญหาเชิงลึกทางโครงสร้างสังคมอเมริกาได้ดี และแอบตบหน้า CNN ในตอนท้ายที่เลือกขายการปลุกปั่นดราม่ากระตุ้นอารมณ์มากกว่าความจริงแบบข่าวตรงๆ แต่ผู้ชมที่ไม่ได้สนใจปัญหาคนดำในอเมริกาก็อาจจะเบื่อพาร์ทดราม่านี้เพราะค่อนข้างซ้ำทำออกมาบ่อยมากครับ 

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สะท้อนปัญหาการเหยียดผิวในอเมริกาที่ส่งผลถึงครอบครัวคนดำ
  • ช่วงสืบสวนสนุกตื่นเต้นในแบบคนธรรมดาสู้กับอำนาจรัฐพันลึก
  • ตบหน้าสื่อ CNN ที่หากินกับดราม่ามากกว่าความจริง
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • พาร์ทดราม่าปัญหาชีวิตคนดำเยอะกว่าช่วงสืบสวนหลบหนี
  • ไม่มีฉากแอ็กชั่น

ADBRO

The Madness เหยี่ยวข่าวคลั่ง ลิมิเต็ดซีรีส์ 8 ตอนจบ แนวทริลเลอร์ เรื่องราวของ มันซี แดเนียลส์ นักเขียนผิวดำชื่อดังในแวดวงสื่อดังไปออกทริปเพียงลำพังในเทือกเขา แต่แล้วเขากลับพบเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมเข้าและพยายามเอาชีวิตรอด แต่กลับโดนใส่ร้ายโดยผู้มีอิทธิพลเบื้องหลังที่ใหญ่โตระดับชาติ
The Madness (2024) on IMDb

 

รีวิว The Madness เหยี่ยวข่าวคลั่ง (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์ที่เดินเรื่องโดยตัวเอกคนผิวดำและนำเรื่องการเหยียดเชื้อชาติเข้ามาเป็นประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมด โดยมีแนวเรื่องแบบหนัง The Fugitive (1993) ตัวเอกเป็นคนธรรมดาแต่โดนใส่ร้ายต้องหลบหนีจากตำรวจและฆาตกร แต่เขาก็พยายามสู้กลับด้วยการหาความจริงของผู้บงการใส่ร้ายเขาในระหว่างหลบหนี แล้วคดีก็ลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันไม่ใช่อย่างที่เห็นแค่ผิวเผินในตอนแรก แต่ใหญ่โตลึกขึ้นไปถึงปัญหาระดับชาติ ซึ่ง The Madness ก็นำโครงเรื่องแบบเดียวกันมาทำเลย แต่เปลี่ยนจากหมอผิวขาวมาเป็นนักเขียนผิวดำ คดีในเรื่องก็เปลี่ยนเป็นเรื่องเชื้อชาติที่นำโยงสู่ปัญหาการเมืองที่เข้มข้นสะเทือนสังคมเหมือนกัน

ถึงจะมาในแนวถูกไล่ล่าต้องหนี แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ซีรีส์ทุนหนาและก็ไม่ใช่แนวแอ็กชั่นจึงไม่ได้มีการขายฉากแอ็กชั่นเลยสักฉาก ผู้ชมที่หวังเรื่องนี้ต้องปัดผ่านไปเลยเพราะซีรีส์เดินเรื่องด้วยแนวสืบสวนดราม่า ด้วยเหตุการณ์ที่สังคมโหมประโคมข่าวว่าคนดำชื่อดังตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมและกำลังหลบหนี โดยเริ่มตั้งแต่ตอนยังไม่ถูกตั้งข้อหาก็มีแรงกดดันจากสังคมออนไลน์ที่ปล่อยข่าวว่าเขาฆ่าเหยื่อที่เป็นคนผิวขาวชื่อดังในด้านเหยียดคนดำเหมือนกัน ซึ่งมันดูสมเหตุผลกันดีว่าต่างฝ่ายต่างเกลียดกันเป็นแรงจูงใจและยังมีอดีตของพ่อตัวเอกที่เคยเป็นพวกหัวรุนแรงมาก่อนซ้ำเติมไปอีก ซึ่งจากแค่ข่าวออนไลน์ก็โหมกระหน่ำซัดทำให้ครอบครัวตัวเอกอยู่แบบสงบสุขไม่ได้แล้ว เรื่องก็ค่อยๆ ยกระดับความกดดันที่ตัวเอกต้องเจอให้เห็นว่าน่ากลัวแค่ไหนเมื่อเดินๆ ไปก็เจอแต่คนขาวมองเขาแบบเหมือนเชื้อโรคร้าย โดยที่ไม่สามารถหลีกหนีไปได้จนกลายเป็นอาการทางจิตพอกพูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสลัดมันหลุดทิ้งไปไม่ได้ ซึ่งซีรีส์ถ่ายทอดแรงกดดันจากมุมมองคนดำออกมาให้เห็นได้อย่างน่าสะพรึงมาก ซึ่งนี่ก็คือความรู้สึกการถูกเหยียดผิวในสังคมอเมริกาที่แม้แต่การเดินบนพื้นที่สาธารณะท่ามกลางคนมากมายก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัย แบบที่คนดำหลายคนที่มาไทยบอกว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนดำในอเมริกาคุณจะไม่เข้าใจว่าทำไมไทยต่างกับอเมริกาเพราะคนไทยมองคนดำแค่รู้สึกแปลกแตกต่าง แต่ไม่ได้เหยียดแบบคนขาวในอเมริกา ซึ่งซีรีส์แสดงให้เห็นสภาพสังคมอเมริกาตรงนี้ชัดมาก โดยเอาเรื่องคดีที่ใหญ่โตระดับชาติมาโหมกดทับซ้ำไปอีก และก็นำเรื่องเหยียดผิวนี้ผูกเข้ากับประเด็นครอบครัวตัวเอกที่กำลังแยกทางกับภรรยา ลูกชายของเขาก็ได้รับแรงกดดันนี้มาตั้งแต่เด็กและส่งต่อมันออกมาในเหตุการณ์ที่พ่อตกเป็นเหยื่อนี้ด้วยความรู้สึกว่าพ่อต้องรุนแรงกลับไปหาคนขาวที่มาทำกับพวกเรา แต่พ่อก็พยายามไม่ทำรุนแรงกลับไปตามที่ลูกต้องการ ซึ่งซีรีส์ก็หาทางจบประเด็นนี้ด้วยการถ่ายทอดฉากสิ้นหวังสุดท้ายของพ่อกับลูกออกมาได้ดี เสมือนเป็นเหตุการณ์เสี้ยววิที่คนผิวดำหลายๆ คนก็คงต้องเจอและตัดสินใจถูกหรือผิดได้ง่ายๆ เพียงนิ้วลั่นไกปืนเท่านั้น ซึ่งประเด็นที่เรื่องนี้นำเสนอก็คือเหตุผลลึกๆ ที่เรื่องเหยียดผิวในอเมริกาไม่เคยหายจากสังคมเสียทีครับ

แต่ถึงซีรีส์จะมีความพยายามขับเคลื่อนประเด็นปัญหาการเหยียดผิวเป็นหลัก แต่เรื่องการหลบหนีกับสืบสวนของตัวเอกก็ยังใส่แทรกเข้ามาได้สนุกไม่ขาดตอน เมื่อเขาต้องหลบหนีในช่วงแรกที่ยังไม่โดนตั้งข้อหา แต่ก็โดนสังคมคนขาวไล่ล่าจับตา ทำให้การหลบหนีช่วงแรกของเขาคือการปลอมตัวง่ายๆ หลีกหนีคนไปพักโรงแรมเล็กๆ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นเมื่อยุคนี้มีเครือข่ายโซเชียลมีเดียคอยส่งต่อว่าพบเห็นเขาที่ไหน ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องกวนใจตัวเอกกับครอบครัวอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เขาค่อยๆ ยกระดับต้องมีปืนพกติดตัวไว้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะใช้มาก่อนเลย ก่อนที่ช่วงหลังตอน 4 ไปตัวเอกถูกต้องข้อหามีหมายจับ มีเงินรางวัลออกประกาศผ่านทีวี เรื่องจึงยกระดับขึ้นเป็นการหลบหนีที่ตัวเอกต้องใช้เส้นสายที่มีหลบหนีทางการจริงจัง จนถึงขั้นเตรียมหนีออกนอกประเทศ แต่ตัวเอกก็เลือกกลับมาสู้ด้วยหลักฐานที่ตัวเองรวบรวมไว้ แต่ก็ต้องพบกับหน่วยงานรัฐที่ฉ้อฉลทำให้เขาเป็นเหยื่อดิ้นไม่หลุดหนักขึ้นไปอีก ซึ่งทำให้ตัวเอกต้องหาทางหนีอีกครั้งที่คราวนี้คดีหนักแรงขึ้นกว่าตอนแรก กลายเป็นอาชญากรร้ายแรงพร้อมจับตายได้เลย แต่ก็เป็นช่วงเข้มข้นมากเมื่อตัวร้ายเริ่มเผยออกมาและตัวเอกได้จังหวะค่อยๆ สืบสาวเรื่องราวที่แท้จริง โดยมีตัวช่วยอย่าง FBI ที่หวังใช้เขาจับกุมบอสตัวร้ายที่ตามล่ามานาน อีกคนคือภรรยาของเหยื่อคนแรกที่ตายแล้วป้ายความผิดให้ตัวเอก ซึ่งคดีในเรื่องนี้ลึกซับซ้อน มีช่วงหักมุมได้อย่างน่าตกใจในตอน 5 ก่อนที่ความจริงของคดีจะค่อยๆ โยงใยไปถึงระดับชาติเป็นดีปสเตตรัฐพันลึกกันเลย โดยที่ซีรีส์เล่าเรื่องการที่ตัวเอกคนธรรมดาต้องหาทางสู้กับดีปสเตตนี้ได้สนุก ในแบบที่คนธรรมดาพยายามทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยซีรีส์ก็ยังเลือกจบแบบเรียลมากอีกด้วย แต่ก็สะท้อนให้เห็นปัญหาของวงการสื่อที่ตัวเอกเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในตอนสุดท้ายของเรื่อง โดยใช้ CNN มาเป็นสื่อที่เกี่ยวข้องพยายามหากินแนวดราม่าเน้นเอาเรตติ้งมากกว่าความจริงกับคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นการตบหน้าสื่อใหญ่สุดของประเทศไปด้วยพร้อมกัน

สรุป ซีรีส์แนวตัวเอกต้องหนีคดีฆาตกรรมที่ไม่ได้ก่อแบบหนัง The Fugitive แต่ว่าไม่ได้เป็นแนวแอ็กชั่น เรื่องมาในแนวสืบสวนดราม่าเชิงลึกถึงประเด็นการเหยียดเชื้อชาติเป็นเหตุ ทำให้สังคมคนขาวกดดันตัวเอกคนดำที่ต้องหลบหนีปกปิดซ่อนตัวจนทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมอเมริกาที่การเหยียดเชื้อชาติไม่มีวันหมดไป โดยที่ช่วงสืบสวนก็แทรกไประหว่างการหลบหนี เป็นคดีที่ลึกซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จนถึงดีปสเตตรัฐพันลึกในอเมริกา ซึ่งเรื่องเล่าสนุกตื่นเต้นโดยใช้ตัวเอกเป็นแค่คนดำธรรมดาที่พยายามเอาชีวิตรอดจากการถูกใส่ร้ายแค่นั้นมาสะท้อนปัญหาเชิงลึกทางโครงสร้างสังคมอเมริกาได้ดี และแอบตบหน้า CNN ในตอนท้ายที่เลือกขายการปลุกปั่นดราม่ากระตุ้นอารมณ์มากกว่าความจริงแบบข่าวตรงๆ แต่ผู้ชมที่ไม่ได้สนใจปัญหาคนดำในอเมริกาก็อาจจะเบื่อพาร์ทดราม่านี้เพราะค่อนข้างซ้ำทำออกมาบ่อยมากครับ



รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!