รีวิว Adolescence วัยลน คนอันตราย (Netflix) ซีรีส์ที่เน้นการถ่ายทำลองเทคที่โดดเด่นกว่าพล็อตเรื่อง
adolescence
Summary
ซีรีส์สืบสวนที่โดดเด่นด้วยเทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทคของจริงยาวๆ แม้พล็อตเรื่องจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่วิธีการนำเสนอทำให้น่าติดตาม โดยเฉพาะตอนแรกที่ถ่ายทำแบบช็อตเดียวยาว 60 นาทีโดย แสดงให้เห็นกระบวนการจับกุมและสอบสวนเด็กอายุ 13 ปีที่เต็มไปด้วยตึงเครียดและความสับสนของตัวละครกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที แต่ในตอนต่อๆ มาจะกลายเป็นแนวดราม่าที่แต่ละตอนนำเสนอมุมมองที่แตกต่างกัน ทั้งในโรงเรียน ห้องบำบัดจิตวิทยา และครอบครัวเด็ก โดยเน้นไปที่การแสดงของนักแสดงโดยเฉพาะเด็กอายุ 13 ปีที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่แสดงอารมณ์ซับซ้อนในตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แต่พวกฉากลองเทคจะไม่ได้หวือหวาแบบตอนแรกอีกแล้ว โดยหันไปเน้นวิเคราะห์ถึงปัญหาต้นตอความกลียดชังเพศหญิง ซึ่งซีรีส์นำเสนอปัญหาผ่านบทสนทนาอย่างละเอียดอ่อน โดยไม่ได้ตัดสินว่าใครผิด ด้วยแนวทางการเล่าเรื่องเช่นนี้ ซีรีส์จึงอาจเหมาะกับผู้ชมที่สนใจประเด็นปัญหาสังคมเป็นพิเศษ มากกว่าผู้ชมที่คาดหวังเนื้อหาแนวสืบสวนเข้มข้นตลอดทั้งเรื่องครับ
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทค
- การแสดงที่เข้มข้นของนักแสดง
- การวิเคราะห์ประเด็นทางสังคม การเกลียดชังเพศหญิง
Cons
ADBRO
Adolescence วัยลน คนอันตราย รีวิว มินิซีรีส์แนวดราม่าสืบสวน Original Netflix 4 ตอนจบ จากอังกฤษ เมื่อเด็กอายุ 13 ปีถูกกล่าวหาว่าฆ่าเพื่อนร่วมชั้น ครอบครัว นักบำบัด และตำรวจ จึงพยายามหาคำตอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ คืออะไร?
รีวิว Adolescence วัยลน คนอันตราย
ซีรีส์สืบสวนอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กเรื่องนี้ แม้เส้นเรื่องอาจไม่ได้แปลกใหม่โดดเด่น แต่กลับสะกดผู้ชมด้วยเทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take ที่ดำเนินต่อเนื่องในแต่ละตอน นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างกันแต่เชื่อมโยงกันอย่างลงตัว
ตอนแรกเปิดเรื่องด้วยฉากที่ตำรวจบุกเข้าจับกุมเด็กอายุ 13 ปี ผู้ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมเพื่อนร่วมโรงเรียน ภาพการพังประตูบุกเข้าไปในยามเช้าขณะที่ครอบครัวยังหลับใหล การนำตัวผู้ต้องหาออกมา การเดินทางไปสถานีตำรวจ และกระบวนการสอบสวนอย่างเข้มข้น ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทำในฉากลองเทคเพียงช็อตเดียวยาวนานถึง 60 นาที ซึ่งเผยให้เห็นทุกขั้นตอนของปฏิบัติการตำรวจอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความตึงเครียดและความสับสนของตัวละครที่ไม่เข้าใจสถานการณ์
เบื้องหลังการถ่ายทำเปิดเผยว่า นี่เป็นการใช้เทคนิค one-shot อย่างแท้จริง ไม่ได้ใช้การตัดต่อแอบแฝงเพื่อหลอกผู้ชมเหมือนหลายๆ เรื่อง หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ทีมงานต้องถ่ายทำใหม่ทั้งหมด โดยมีการสร้างฉากสถานีตำรวจจำลองขึ้นมาโดยเฉพาะ ความทุ่มเทในการสร้างสรรค์ส่วนนี้ทำให้สมควรได้รับคะแนนเต็ม 10 อย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่สองเปลี่ยนบรรยากาศไปยังฉากโรงเรียน ที่ตำรวจต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่ไม่คุ้นเคย พวกเขาต้องถอดรหัสสัญญาณความรุนแรงที่ซุกซ่อนอยู่ในสังคมเด็ก ตอนที่สาม นำเสนอมุมมองของนักจิตวิทยาที่พยายามค้นหาสาเหตุเบื้องลึกของเหตุการณ์ ผ่านการสนทนายาวในห้องเดียวกับเด็กตลอดทั้งตอน ส่วนตอนที่สี่ เจาะลึกผลกระทบที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้ต้องหาและการเผชิญหน้ากับสังคมภายนอก
แม้ว่าเทคนิคลองเทคในสามตอนหลังจะไม่ได้ซับซ้อนเท่าตอนแรก แต่จุดเด่นอยู่ที่การแสดงอารมณ์อันซับซ้อนของนักแสดง โดยเฉพาะเด็กอายุ 13 ปีที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกอันซับซ้อนของวัยที่เริ่มเข้าใจโลกรอบตัว แต่ก็ยังตกเป็นเหยื่อของระบบสังคมในกลุ่มเพื่อนที่บีบคั้นหลายด้าน โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา
ซีรีส์พยายามนำเสนอประเด็นลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาสังคมชายเป็นใหญ่และวัฒนธรรม incel หรือการเกลียดชังเพศหญิง ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในสังคมไทย แม้จะแพร่หลายในโลกออนไลน์ เรื่องแสดงให้เห็นว่าแม้ครอบครัวจะดูปกติไร้ปัญหา แต่กระบวนการเลี้ยงดูที่ดูเหมือนจะถูกต้องกลับแฝงข้อผิดพลาดร้ายแรง เช่น การปล่อยให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์อยู่ในห้องโดยลำพังด้วยความคิดว่าจะไม่สร้างปัญหา หรือการส่งต่อพฤติกรรมความรุนแรงจากรุ่นสู่รุ่นที่แม้พยายามแก้ไขแล้วก็ยังส่งผลกระทบถึงรุ่นหลาน ซึ่งซีรีส์ใช้บทสนทนาค่อยๆ เปิดเผยปัญหาอย่างละเอียดอ่อน โดยไม่ได้ชี้นิ้วตัดสินว่าใครผิด แต่แสดงให้เห็นว่าปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
สรุป ซีรีส์สืบสวนที่โดดเด่นด้วยเทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทคของจริงยาวๆ แม้พล็อตเรื่องจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่วิธีการนำเสนอทำให้น่าติดตาม โดยเฉพาะตอนแรกที่ถ่ายทำแบบช็อตเดียวยาว 60 นาทีโดย แสดงให้เห็นกระบวนการจับกุมและสอบสวนเด็กอายุ 13 ปีที่เต็มไปด้วยตึงเครียดและความสับสนของตัวละครกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที แต่ในตอนต่อๆ มาจะกลายเป็นแนวดราม่าที่แต่ละตอนนำเสนอมุมมองที่แตกต่างกัน ทั้งในโรงเรียน ห้องบำบัดจิตวิทยา และครอบครัวเด็ก โดยเน้นไปที่การแสดงของนักแสดงโดยเฉพาะเด็กอายุ 13 ปีที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่แสดงอารมณ์ซับซ้อนในตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แต่พวกฉากลองเทคจะไม่ได้หวือหวาแบบตอนแรกอีกแล้ว โดยหันไปเน้นวิเคราะห์ถึงปัญหาต้นตอความกลียดชังเพศหญิง ซึ่งซีรีส์นำเสนอปัญหาผ่านบทสนทนาอย่างละเอียดอ่อน โดยไม่ได้ตัดสินว่าใครผิด ด้วยแนวทางการเล่าเรื่องเช่นนี้ ซีรีส์จึงอาจเหมาะกับผู้ชมที่สนใจประเด็นปัญหาสังคมเป็นพิเศษ มากกว่าผู้ชมที่คาดหวังเนื้อหาแนวสืบสวนเข้มข้นตลอดทั้งเรื่องครับ