รีวิว THE ELECTRIC STATE (Netflix) การลงทุนมหาศาลที่ไม่เข้าใจวิญญาณของต้นฉบับ…
THE ELECTRIC STATE
Summary
เป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดของพี่น้องรุสโซ่กับทีมงานขาประจำของเขาเอง ทั้งๆ ที่ขนนักแสดงชื่อดังมายัดใส่ทั้งเรื่อง แถมด้วยงบประมาณมหาศาล 320 ล้านเหรียญที่สูงสุดของหนังเน็ตฟลิกซ์ที่เคยทำมา แต่หนังเรื่องนี้กลับล้มเหลวในการนำเสนอในทุกทาง นักแสดงในลุคที่ไม่เข้ากัน บทไร้อารมณ์และไม่ตลก ไม่ซึ้ง ไม่อิน ฉากแอ็กชั่นเหมือนของเด็กเล่นตีกัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทุนสร้างมหาศาลไม่สามารถทดแทนความเข้าใจในงานต้นฉบับและวิสัยทัศน์ทางศิลปะของไซมอน สตอเลนฮากที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่ถูกลดทอนเหลือเพียงภาพยนตร์ไซไฟตลกธรรมดาที่ขาดเอกลักษณ์และไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เลย (แต่ถ้าผู้ชมเน็ตฟลิกซ์ไม่คิดอะไรก็คงดูขำๆ ได้อยู่ครับ)
Overall
4/10User Review
( votes)Pros
- รวมนักแสดงดังเยอะทั้งเล่นและพากย์
- มีพากย์ไทย
Cons
- ผู้สร้างขาดความเข้าใจในงานต้นฉบับ
- การออกแบบตัวละครขัดแย้งกับโครงเรื่อง
- ไม่ได้ใช้ศักยภาพของนักแสดง
- ฉากแอกชันไร้พลัง
- บทภาพยนตร์ไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้เลย
ADBRO
THE ELECTRIC STATE ท่องแดนจักรกล ภาพยนต์ Original Netflix แนวไซไฟคอมเมดี้ เรื่องราวของหญิงสาวที่ออกเดินทางพร้อมกับหุ่นยนต์ลึกลับเพื่อตามหาน้องชายที่หายสาบสูญของเธอ โดยมีนักลักลอบขนของและคู่หูหุ่นยนต์จอมขี้เล่นร่วมทางไปด้วย
รีวิว THE ELECTRIC STATE ท่องแดนจักรกล
ภาพยนตร์ไซไฟเรื่องนี้ถือเป็นงานที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดของเน็ตฟลิกซ์ ด้วยงบประมาณมหาศาลถึง 320 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยดัดแปลงมาจากนวนิยายภาพชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี 2018 ผลงานของไซมอน สตอเลนฮาก ศิลปินผู้โด่งดังจากการสร้างสรรค์ผลงานแนวไซไฟคลาสสิค
ทางด้านทีมงานสร้าง เน็ตฟลิกซ์ได้ทุ่มทุนดึงตัวพี่น้องรุสโซ่มารับหน้าที่กำกับ พร้อมทีมเขียนบทจาก Avengers: Endgame มาร่วมงาน นอกจากนี้ยังได้นักแสดงชื่อดังอย่างมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ และคริส แพรตต์ มารับบทนำ
ด้วยการรวมตัวของทีมงานระดับแนวหน้าเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุนสร้างพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างสูงของเน็ตฟลิกซ์ต่อโปรเจกต์นี้ แต่น่าเสียดายที่ผลตอบรับกลับตรงกันข้าม เนื่องจากภาพยนตร์ได้รับคะแนนรีวิวรวมจากสื่อต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของเน็ตฟลิกซ์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างโดยทีมงานที่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของศิลปะดิจิทัลแนวเรโทร-ฟิวเจอริสติกที่เป็นเอกลักษณ์ของไซมอน สตอเลนฮาก อย่างแท้จริง ซึ่งเดิมทีงานของสตอเลนฮากมุ่งนำเสนอบรรยากาศชนบทของสวีเดนและอเมริกาในอดีตผสมผสานกับองค์ประกอบไซไฟย้อนยุคได้อย่างลงตัว
ที่ผ่านมาเราได้เห็นตัวอย่างที่ดีจากซีรีส์ “Tales from the Loop” ของ Amazon Prime ที่รักษาธีมดั้งเดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมนำเสนอเรื่องราวไซไฟที่เปี่ยมด้วยความเหงาแต่อบอุ่นในบรรยากาศชนบทลึกลับ แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้สร้างกลับเลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบตลกไซไฟที่ขัดแย้งกับแก่นของงานต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง
ความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดคือการออกแบบหุ่นยนต์ที่มีลักษณะคล้ายคนสวมชุดมาสคอตในสวนสนุก พร้อมใบหน้ายิ้มแป้นแม้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรม ซึ่งแปลกแยกอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับโครงเรื่องที่หุ่นเหล่านี้เคยก่อสงครามโลกในแบบเทอร์มิเนเตอร์ แต่พ่ายแพ้และถูกเนรเทศให้ไปอยู่ในเขตกักกันพิเศษ (คล้ายกับชะตากรรมของอินเดียนแดงชนพื้นเมืองอเมริกัน) ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาช่วยเหลือมนุษย์ที่เคยทำร้ายพวกเขา
ความไม่สอดคล้องระหว่างดีไซน์ตัวละครกับธีมไซไฟคลาสสิคที่เป็นต้นฉบับนั้นเด่นชัดจนน่าแปลกใจว่าทีมสร้างไม่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องเหล่านี้ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโครงเรื่อง การออกแบบตัวละคร และการกำหนดโทนของภาพยนตร์
ในส่วนของตัวละคร ภาพยนตร์มีปัญหาที่ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการนำคริส แพรตต์มาสวมบทบาทชายหนุ่มที่มีทรงผมประหลาดรุงรัง เพียงเพื่อสร้างมุกตลกให้กับฉากที่หุ่นยนต์ตัดผมให้ ซึ่งดูเป็นการเสียศักยภาพของนักแสดงและไม่ส่งเสริมเนื้อเรื่องแต่อย่างใด ทั้งบทที่พยายามสร้างอารมณ์ดราม่าสลับกับมุกตลกระหว่างเขากับหุ่นคู่หูก็ไม่สามารถสร้างความรู้สึกร่วมหรือเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างที่ตั้งใจ ซ้ำร้ายหุ่นยนต์กลับมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่โดดเด่นกว่า จนกลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุดในเรื่อง
ด้านมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ แม้จะเติบโตและได้รับบทเป็นพี่สาวซึ่งอาจถือเป็นการพลิกภาพลักษณ์จากเด็กวัยรุ่นที่เราคุ้นเคย แต่บทบาทที่ได้รับกลับแสนจะจืดชืด ขาดการถ่ายทอดอารมณ์ร่วมกับตัวละครน้องชายที่ปรากฏตัวในฉากเปิดเรื่องเพียงไม่กี่นาทีก่อนจะถูกย้ายไปอยู่ในร่างหุ่นยนต์สีเหลืองที่มีใบหน้ายิ้มไร้ชีวิตชีวา โดยแทบไม่มีฉากปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจนกระทั่งตอนจบที่มีการสร้างดราม่าการเสียสละซึ่งพอกระตุ้นความรู้สึกได้บ้าง แต่ก็เป็นเพียงสูตรสำเร็จที่พบเห็นได้ทั่วไปในภาพยนตร์ประเภทนี้
ส่วนตัวร้ายในเรื่องก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกน่าเกรงขามแต่อย่างใด เนื่องจากโลกในภาพยนตร์กำหนดให้มนุษย์สวมหมวกควบคุมหุ่นยนต์แทนตัวเอง ส่งผลให้นักแสดงมากฝีมืออย่าง สแตนลีย์ ทูชี และเจียนคาร์โล เอสโปซิโต ไม่มีโอกาสแสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เพราะส่วนใหญ่ปรากฏในฉากที่เพียงแค่นั่งสวมหมวกควบคุมเท่านั้น ทำให้ความน่าเกรงขามของตัวร้ายแทบหายไปหมดเลย
ฉากแอ็กชั่นในเรื่องซึ่งควรเป็นจุดขายได้ก็กลับไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นหรือความระทึกใจให้กับผู้ชมได้เลย เนื่องจากภาพยนตร์ถูกวางโทนให้เป็นแนวตลก ส่งผลให้ฉากการต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์กลายเป็นเพียงภาพหุ่นของเล่นสู้กันแบบเปาะแปะขำๆ ไปเท่านั้น
แม้แต่การเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในตอนท้ายเรื่อง ก็มีโอกาสแสดงศักยภาพเพียงช่วงสั้นๆ และไม่สามารถสร้างความรู้สึกว่าเป็นอุปสรรคที่ยากจะเอาชนะ เพราะจุดเน้นของเรื่องถูกเบนไปที่ผู้ควบคุมหุ่นยนต์มากกว่าการปะทะกันโดยตรงของหุ่นยนต์ ทำให้ความเข้มข้นของฉากแอ็กชันแทบไม่มีเลย
สรุป เป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดของพี่น้องรุสโซ่กับทีมงานขาประจำของเขาเอง ทั้งๆ ที่ขนนักแสดงชื่อดังมายัดใส่ทั้งเรื่อง แถมด้วยงบประมาณมหาศาล 320 ล้านเหรียญที่สูงสุดของหนังเน็ตฟลิกซ์ที่เคยทำมา แต่หนังเรื่องนี้กลับล้มเหลวในการนำเสนอในทุกทาง นักแสดงในลุคที่ไม่เข้ากัน บทไร้อารมณ์และไม่ตลก ไม่ซึ้ง ไม่อิน ฉากแอ็กชั่นเหมือนของเด็กเล่นตีกัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทุนสร้างมหาศาลไม่สามารถทดแทนความเข้าใจในงานต้นฉบับและวิสัยทัศน์ทางศิลปะของไซมอน สตอเลนฮากที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว แต่ถูกลดทอนเหลือเพียงภาพยนตร์ไซไฟตลกธรรมดาที่ขาดเอกลักษณ์และไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เลย (แต่ถ้าผู้ชมเน็ตฟลิกซ์ไม่คิดอะไรก็คงดูขำๆ ได้อยู่ครับ)