รีวิว HAVOC (Netflix) หนังของผู้กำกับ The Raid ที่ทำแอ็คชั่นแค่เปลือก บทเขียนแค่พอผ่าน
HAVOC
Summary
นี่เป็นผลงานที่น่าผิดหวังอย่างมากจากผู้กำกับชื่อดังของ “The Raid” ที่ได้รับงบประมาณจาก Netflix แล้วกลับสร้างฉากแอ็คชั่นหลักเพียงสองฉากที่ดูธรรมดาและขาดการออกแบบคิวบู๊ที่ดีพอ มุมกล้องโดยรวมสับสนวุ่นวายและคิวบู๊ดูล้าสมัย แค่พอดูสนุกได้ แต่ไม่ได้น่าจดจำอย่างที่หวังไว้เลย ส่วนเนื้อหาดราม่าก็ตื้นเขินจนเหมือนเป็นเพียงการดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ Tom Hardy จะพยายามแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวและสิ้นหวังอย่างเต็มที่ตามคาแรกเตอร์ตำรวจเทาๆ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องที่ขาดความลึกซึ้งเช่นนี้ได้เลยครับ
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- นักแสดง Tom Hardy
- ผู้กำกับ The Raid
- มีพากย์ไทย
Cons
- ฉากแอ็กชั่นไม่ดีพอ
- เล่าเรื่องเชื่องช้าและยืดเยื้อเกินความจำเป็น
- บทกลวงมาก
- ดราม่าตัวเอกไม่ลึก
ADBRO
HAVOC ฝ่าหายนะครองเมือง ภาพยนตร์แอ็กชั่น Original Netflix มีพากย์ไทย เมื่อปฏิบัติการบุกจับยาเสพติดแปรเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์นองเลือด ตำรวจผู้เคยผ่านประสบการณ์โลกโหดต้องเผชิญหน้ากับวงการอาชญากรรมในเมืองที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน เพื่อช่วยเหลือบุตรชายของนักการเมือง
รีวิว HAVOC
ภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องนี้มาพร้อมกับชื่อของผู้กำกับมากฝีมือ Gareth Evans ผู้สร้างชื่อจากผลงาน “The Raid” หนังแอ็กชั่นอันโด่งดังของอินโดนีเซีย และยังได้ดาราคุณภาพอย่าง Tom Hardy มารับบทนำ ทำให้หลายคนเฝ้ารอด้วยความคาดหวังสูง แต่น่าเสียดายที่ผลงานนี้กลับไม่สามารถส่งมอบความโดดเด่นได้อย่างที่ควรจะเป็น แม้จะได้รับงบประมาณสร้างจาก Netflix ในระดับที่น่าจะสูงพอสมควรสำหรับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เช่นนี้
Tom Hardy รับบท Walker ตำรวจที่ทำงานรับใช้นักการเมืองผู้ทุจริตและกำลังพยายามถอนตัวออกมา โดยอาศัยภารกิจช่วยเหลือบุตรชายของนักการเมืองซึ่งตกเป็นเป้าสังหารของแก๊งชาวจีนเป็นข้อต่อรอง เขาได้ตำรวจหญิงเอลลี่ (รับบทโดย Jessie Mei Li) มาเป็นคู่หูใหม่ แม้จะยังไม่ไว้วางใจให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับภารกิจมากนัก ในขณะที่เธอก็กำลังสงสัยและติดตามว่า Walker กำลังพัวพันกับอะไรอยู่
เรื่องราวทั้งหมดดำเนินอยู่ในช่วงเวลาเพียงวันเดียว แต่ภาพยนตร์กลับเล่าเรื่องอย่างเชื่องช้าและยืดเยื้อเกินความจำเป็น เกือบครึ่งชั่วโมงแรกเป็นเพียงการปูเรื่องก่อนจะเริ่มภารกิจตามหาบุตรชายนักการเมือง ตามด้วยฉากที่ตัวเอกไล่สืบหาข้อมูลด้วยวิธีการข่มขู่อาชญากรที่เกี่ยวข้อง โดยแทบไม่มีฉากแอ็คชั่นให้เห็นจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงจึงมีฉากต่อสู้ใหญ่ในผับซึ่งยาวเพียงประมาณ 5 นาที จากนั้นก็รอจนเกือบถึงตอนจบอีกสักพักจึงมีฉากปะทะกันที่กระท่อมอีกหนึ่งฉาก ก่อนจะปิดเรื่องด้วยการให้พระเอกได้ไถ่บาปตามสูตรและจบลงอย่างห้วนๆ
เนื้อเรื่องโดยรวมแทบไม่มีความซับซ้อนหรือน่าสนใจ แม้แต่ปมเรื่องที่พระเอกต้องรีบไปมอบของขวัญให้ลูกสาวทันเวลาซึ่งถูกเน้นย้ำในตอนต้นก็ถูกทิ้งไปอย่างไม่มีความหมาย เป็นเพียงการสร้างดราม่าที่ไร้ประโยชน์ต่อโครงเรื่องโดยรวม เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของตัวละครอย่างผิวเผิน
สำหรับผู้ที่คาดหวังฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้น อาจพอใจได้เพียงบางส่วน ฉากต่อสู้ในผับเป็นการต่อสู้ประชิดตัวแบบดิบๆ กับแก๊งชาวจีนที่ใช้อาวุธมีดอีโต้คล้ายหนังฮ่องกง แต่การถ่ายทำกลับดูวุ่นวายและเหมือนขาดการออกแบบคิวบู๊ที่ดีพอ ส่วนฉากปะทะที่กระท่อมท้ายเรื่องดูดีกว่าเล็กน้อยเพราะเน้นการยิงปะทะด้วยห่ากระสุนมากกว่าลีลาการต่อสู้ แต่ถึงอย่างนั้นหนังกลับให้พวกลูกกระจ๊อกตัวร้ายทุกคนมีปืนกลยิงกราดกระท่อมพรุนได้เป็นพันนัด แต่กลับาแพ้ปืนลูกซองกับปืนพก แถมยังชอบหาทางเข้าไปในกระท่อมให้ถูกยิงง่ายๆ ซึ่งไม่รู้จะเข้ามาทำไม แถมบอสตัวร้ายที่ปูมาแต่แรกว่าเป็นผู้หญิงก็ตัดบทจบลงง่ายๆ แม้แต่ตัวร้ายนักการเมืองก็ตายตามสูตรเพื่อสร้างดราม่าสูตรสำเร็จที่เฟคมาก ซึ่งลุคของนักแสดง Forest Whitaker มันก็ไม่เหมาะมารับบทแบบนี้อยู่แล้วด้วยซ้ำครับ
โดยสรุปแล้ว นี่เป็นผลงานที่น่าผิดหวังอย่างมากจากผู้กำกับชื่อดังของ “The Raid” ที่ได้รับงบประมาณจาก Netflix แล้วกลับสร้างฉากแอ็คชั่นหลักเพียงสองฉากที่ดูธรรมดาและขาดการออกแบบคิวบู๊ที่ดีพอ มุมกล้องโดยรวมสับสนวุ่นวายและคิวบู๊ดูล้าสมัย แค่พอดูสนุกได้ แต่ไม่ได้น่าจดจำอย่างที่หวังไว้เลย ส่วนเนื้อหาดราม่าก็ตื้นเขินจนเหมือนเป็นเพียงการดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ Tom Hardy จะพยายามแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวและสิ้นหวังอย่างเต็มที่ตามคาแรกเตอร์ตำรวจเทาๆ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องที่ขาดความลึกซึ้งเช่นนี้ได้เลยครับ