รีวิว Captain Marvel No Spoiler เธอผู้แบกอนาคต MCU ทั้งมวลด้วยหนังเพลย์เซฟ
Captain Marvel
สรุป
หนังดูได้เรื่อยๆ หนังอารมณ์ดี แต่อย่าไปหวังมาก
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ธีมย้อนยุค 90 อิ่มเอมดักแก่มาก
- กิมมิคสะกิดเรื่องอื่นๆเยอะพอได้
- หนังอารมณ์ดีตามสไตล์มาร์เวล
- แมวน่ารัก
Cons
- หนังเพลย์เซฟ ไม่หวือหวา ไม่อลังการ
- ดนตรีไม่น่าจดจำ
- เขียนบทพลาดโอกาสปล่อยของในหลายๆจุด
- ฉากแอ๊คชั่นไม่สนุกและน้อย
รีวิว Captain Marvel No Spoiler หนังต้นกำเนิดสาวชาวโลกผู้เป็นฮีโร่หญิงคนแรกแห่งจักรวาล MCU จากฝั่ง Marvel เชื่อว่าหลายๆคนรอดู Captain Marvel มาตั้งแต่หลังจากที่ได้ดู Avengers: Infinity Wars กันไปช่วงต้นปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้ Captain Marvel เข้าโรงแล้วครับ ด้วยความที่ขาดช่วงไปเกือบปี คงไม่แปลกที่ใครหลายๆคนจะตั้งหน้าตั้งตารอกัน
Captain Marvel ว่าด้วยเรื่องราวของ “เวียส” มนุษย์ต่างดาวหญิงชาวครี (Kree) ที่ความจำเสื่อม จำเรื่องราวอะไรในอดีตของตัวเองไม่ได้เลย มีแค่ภาพในฝันลางๆไม่รู้เรื่อง ตัวเธอเองมีพลังลึกลับในตัวที่เพื่อนร่วมหน่วยรบ ยอน-ร็อคค์ อ้างว่าเป็นคนมอบให้เธอไว้หลังจากช่วยชีวิตเธอมาเมื่อหกปีก่อน
เธอกับหน่วยต้องไปปฏิบัติภารกิจเพื่อยุติสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ครีของเธอกับสกรัลล์ (Skrull) เผ่าพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองได้ไปจนถึงระดับ DNA แต่สุดท้ายจับพลัดจับพลู เธอต้องมาทำภารกิจเดี่ยวที่ดาวโลก และพบว่าจริงๆแล้วนี่แหละดาวบ้านเกิดของเธอ เธอไม่ใช่ครี
หนังฮีโร่ทุกเรื่องของ MCU ภาคแรกต้องทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดของฮีโร่หลัก เรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน Captain Marvel นำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของเธอเองว่าได้พลังมายังไง ทำอะไรได้บ้าง เธอเป็นคนยังไง ก้าวข้ามไปสู่ความเป็น “ฮีโร่” ได้ยังไง ได้ชุดประจำตัวมายังไง
ส่วนคุณภาพก็ไม่ต่างไปจากภาคแรกของฮีโร่คนอื่นๆ Captain Marvel เริ่มต้นด้วยความเอื่อยเฉื่อยไม่หวือหวา จนกระทั่งไปถึงช่วงเกือบกลางเรื่องที่มาอยู่บนโลกแล้วถึงค่อยเริ่มสนุกน่าสนใจ แต่ก็นั่นแหละ “เกือบกลางเรื่อง” เข้าไปแล้ว
เมื่อมาถึงบนโลก หนังก็เปิดเผยบทบาทอีกอย่างของ Captain Marvel ว่าไม่ได้เป็นแค่หนังภาคต้นกำเนิดของเธออย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่บอกเราเรื่องราวของ Nick Fury สมัยยังละอ่อน เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยชีลด์ประสบการณ์น้อยนิดในเรื่องยอดมนุษย์ ซึ่งต้องคอยซึมซับถึงการมีอยู่ของภัยจากต่างดาว เล่าว่าเขาเสียตาข้างหนึ่งไปได้ยังไง
ที่สำคัญยังต้องเล่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ว่าเป็นมายังไงถึงขนาด Nick Fury มีเพจเจอร์ส่วนตัวเรียกฮีโร่ระดับอย่างเธอให้มาช่วยได้ในตอนท้ายของ Avengers: Infinity War ซึ่งตรงนี้ทั้งตัวบทหนังและตัวนักแสดงเองทำได้ดีอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะทั้งสองถูกวางไว้เป็นโฟกัสหลักของเรื่องตั้งแต่แรก ก็เลยทำให้หนังมีสกรีนไทม์ให้สองคนนี้มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่ง Samuel L. Jackson นี่ฉีกบท Nick Fury ได้ดีมาก จากจอมเข้มออกมากลายเป็นละอ่อนทาสแมวดีๆนี่เอง
และด้วยเหตุที่สองคนนี้มีสกรีนไทม์เยอะที่สุด ก็เลยเป็นดาบสองคมให้ตัวละครอื่นๆ มีเวลาสร้างความประทับใจสร้างเรื่องราวของตัวเองให้คนดูเห็นน้อยลง (ซึ่งความประทับใจที่ได้มาก็คือเป็นตัวยิงตัวรับมุขตลก) ไม่ใช่ว่าถึงขั้นลืมหน้าลืมตาหรือหมดประโยชน์เปลืองงบถ่ายทำ แต่ด้วยบทที่วางไว้ให้ก่อนถึงช่วงท้ายเรื่องทำให้น้ำหนักไม่เท่ากันอย่างน่าเสียดาย
ขนาดว่า Agent Coulson ที่กลับมาเอาใจแฟนๆยังมีบทโคตรน้อย อีกทั้งบทพูดในฉากซีนอารมณ์ของเธอกับตัวละครอื่นๆก็ไม่ได้ทำให้คล้อยตามได้มากนัก ความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเธอหลายอย่างดูรวบรัดเร็วมากเกินไปทำให้เกิดความไม่หนักแน่น บางฉากไปถึงขั้นว่า “ง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ” ก็มี อาจจะมองข้ามได้บ้าง แต่การมองข้ามไม่ช่วยทำให้อินตามแน่นอน
นอกจากนี้ ด้วยกระแสสังคมในตะวันตก Captain Marvel ก็มีหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่ต้องถ่ายทอดให้คนดูเห็น นั่นก็คือความเป็น Feminism หรือคตินิยมสิทธิสตรีของหนัง เหตุผลง่ายๆก็เพราะเรื่องนี้เป็นฮีโร่หญิง นี่จึงเป็นโอกาสอันดีของทางมาร์เวลเหมือนกันที่จะเรียกกระแสสนับสนุนเอาดีเข้าตัวว่าสนับสนุน Feminism เหมือนกับที่ฝั่ง DC ทำไว้กับ Wonder Woman
แต่โชคร้าย มาร์เวลตีโจทย์ไม่แตกทำให้ความเป็น Feminism โดดเด่นขึ้นมาไม่ได้ ไม่มีอะไรที่สะดุดตาทรงพลังมากไปกว่า “Captain Marvel เป็นผู้หญิงและเพื่อนเธอก็เป็นผู้หญิงผิวสี” แม้หนังจะพยายามเล่นตรงที่เธอเคยเป็นทหารอากาศ เธอเป็นหญิงแกร่งอดทน แต่ก็ดันหยิบจับตรงนั้นมาใช้น้อยเสียเหลือเกิน คือมี แต่น้อยและจังหวะไม่ดี แล้วยังพาลทำให้บทของทั้งเรื่องดูจืดไปด้วยเลย
Brie Larson เจ้าของบท Captain Marvel ได้ทำหน้าที่ของเธออย่างดีแล้ว (แม้ซีนอารมณ์จะไม่ได้ตีบทแตก ซ้ำทั้งบทซีนอารมณ์ก็ไม่ได้ดีเด่อยู่แล้ว) แต่เนื้อเรื่องไม่ได้น่าจดจำหรือโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เท่าไหร่เลย ฉากแอ๊คชั่นฉากบู๊ที่ควรจะเป็นตัวชูโรงพลังชูโรงความเป็นหญิงแกร่งกลับมีน้อย แล้วยังถ่ายทำออกมาได้ฮอลลีวู๊ดฮอลลีวูด มุมกล้องสั่นๆและซูมใกล้ๆดูไม่รู้เรื่อง ตัดไปตัดมา ไม่ได้มีความใส่ใจเลยว่าเธอคนนี้นะที่จะเป็นตัวหลักของ MCU ต่อไปในอนาคต ไม่มีเลย
ในเรื่องนี้ หากจะไม่พูดถึงเจ้าแมวสีส้มในเรื่องก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้า “กู๊ส (Goose)” เองคือตัวขโมยซีนตัวดีประจำเรื่อง บทคนในเรื่องบางคนอาจจะจืด แต่พอเป็นเจ้ากู๊สกลับได้รับความใส่ใจ เขียนบทให้เด่นขึ้นมาทันที (ซึ่งต้องใช้แมวตั้ง 4 ตัว ในการถ่ายทำ) ฉากไหนเจ้ากู๊สโผล่มาคือต้องปล่อยของ ยิ่งถ้าใครเป็นทาสแมวนี่ต้องฟินกับความน่ารักของเจ้าแมวส้มนี่แน่นอน แถมบทน้องใช่ธรรมดาซะที่ไหน ย้ำอีกทีเลย บทคนบางคนยังจืดกว่าซะอีก
สิ่งที่ดูแล้วชอบมากเพราะทำออกมาได้ดีที่สุดคือธีมยุค 90 ที่เป็นช่วงเวลาบนโลกของเหตุการณ์ในเรื่อง ตลอดเรื่องเราจะได้เห็นกิมมิคต่างๆที่มาจากยุคนู้นเยอะแยะ แบบว่าเห็นแล้วเฮ้ยไอ้นั่นรู้จัก เฮ้ยเพลงนี้นี่หว่า เอ้าเมื่อก่อนเราก็เคยใช้ไอ้นั่น รวมไปถึงมุขตลกต่างๆที่เล่นกับความเป็นสมัยก่อน อันนี้ถือว่าทำออกมาได้ดีเต็มที่ ดักแก่ดัก Nostalgia เด็ก 90 ไปเต็มๆ แม้กระทั่งเทคนิค Color Grading ยังรู้สึกเหมือนดูหนังยุคนู้นเลย
หนังสอบผ่านเฉียดฉิวในแง่ของความสนุกโดยรวม ความโดดเด่นนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรประทับใจเลยถ้าไม่ไปนับว่าเธอเป็นฮีโร่หญิงสุดแกร่งคนแรก (เรียงตามไทม์ไลน์ในเรื่อง) ของ MCU พอเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องอื่นแล้วสู้ไม่ได้เลย แม้จะเดินตามสูตรมาร์เวล แม้จะมีมุขตลกแทรกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ตลกหรือสนุกเท่าเรื่องอื่น
ตลอดทั้งเรื่องแทบไม่มีฉากอลังการ ดนตรีประกอบไม่โดดเด่นเท่าที่ควร งาน CGI ถึงจะดีแต่ก็ไม่เท่าเรื่องที่ผ่านมา (มาตรฐานตก ว่าง่ายๆ) เนื้อเรื่องเพลย์เซฟสุดๆ ไม่แหวกแนวเอาเสียเลย ดูแล้วไม่ได้รู้สึกผูกพันกับตัวละครในเรื่องเลย (ยกเว้น Nick Fury ที่รู้จักกันอยู่แล้วกับเจ้ากู๊ส)
หน้าที่ (อีกแล้ว) ของหนังเรื่องนี้หน้าที่สุดท้าย คือการเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆใน MCU โดยเฉพาะ Avengers: Endgame ที่ Captain Marvel อาจจะเป็นตัวละครสำคัญปิดศึกกับธานอส เราจึงได้เห็นกิมมิคต่างๆที่จะคอยสะกิดให้พาลนึกถึงเรื่องอื่นๆ ตัวละครตัวนั้นอาจจะคุ้นหน้า เหตุการณ์ตรงนี้อาจจะดูไปมีความสัมพันธ์กับเรื่องอื่น ไอ้นั่นไอ้นี่มันเป็นมาอย่างนี้นี่เอง
แต่สำคัญสุดคือตัว Captain Marvel เองที่อาจจะเป็นหัวหลักในอนาคตของ MCU ซึ่งโชคร้ายเรื่องนี้กลับดันเธอได้ไม่ดีพอ ไม่มีฉากให้คนดูรู้สึกผูกพันเลย (ยกเว้นอยากเห็นเธอไปอัดกับธานอส) เธอยังไม่มีราศีพอที่จะแบกจักรวาล MCU ไปสู่เฟสต่อๆไปได้ หลังจากนี้ก็คงต้องพึ่ง Avengers: Endgame ว่าเธอจะโดดเด่นแค่ไหน แต่อย่าลืมนะ ว่าเรื่องนั้นมีตัวละครรวมกันอยู่ตั้งกี่ตัว!
ก่อนจบรีวิว Captain Marvel กันไป สิ่งที่ต้องชมมาร์เวลสตูดิโอก็คือการสดุดีไว้อาลัยปู่ Stan Lee แต่จะทำออกมาแบบไหนยังไง อันนี้ก็ขอ No Spoiler เหมือนกัน แต่รับรองว่าซึ้งแน่นอน!
รีวิว Captain Marvel No Spoiler โดย Voot
Captain Marvel Official Website
หาหนังดู อ่านรีวิวเรื่องอื่นๆ คลิกที่นี่