playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Joker ‘หักดิบ’ ให้กับชีวิตที่ ‘บัดซบ’

รีวิว Joker

สรุป

รีวิวหนัง Joker (โจ๊กเกอร์ 2019) ภาพยนตร์สุดมืดหม่น และเศร้าจับจิต จากค่าย DC (ดีซี) ที่หลายสำนักต่างลงความเห็นกันว่า เป็นภาพยนตร์ที่น่าจับตามองที่สุดในปี 2019 ทั้งในแง่ของเรื่องราว การเล่าเรื่องในหนัง รวมกับการแสดงที่ถือเป็นที่สุด ของ Joaquin Phoenix ที่กลายเป็นตัวเต็งรางวัลต่างๆ มากมาย หนังว่าด้วยเรื่องของอาเธอร์ เฟลค ชายหนุ่มที่จิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้า หมองหม่น ทั้งยังถูกกดขี่จากเพื่อน และสังคมที่เขามองว่ามันช่างไร้ซึ่งความยุติธรรมใดๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย จนในที่สุดสิ่งเหล่านี้ ได้หล่อหลอมให้เขากลายมาเป็นมหาวายร้ายที่เราคุ้นตากันดี และรู้จักกันในนาม ‘Joker’ หรือ โจ๊กเกอร์ ตัวร้ายที่มักจะมาพร้อมชุดตัวตลก และใบหน้าเปื้อนยิ้ม คู่ปรับตลอดกาลของฮีโร่ยามรัตติกาลอย่าง Batman

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • หนังเล่าเรื่องในอีกมุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อนของ Joker ทำให้คนดูได้เข้าใจ และคล้อยตามไปกับการกระทำของตัวละคร
  • การแสดงอันทรงพลังของ Joaquin Pheonix
  • โทนหนัง Dark ตามสไตล์ DC กลับมาให้เราได้เห็นอีกครั้ง
  • การปูพื้นเรื่อง พร้อมแง่มุมต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดไปกับตัวละคร
  • การวางเนื้อเรื่องให้ไม่เว่อร์ และไม่หลุดโลกจนเกินไป ทำให้เราสามารถเข้าถึงได้

Cons

  • มีบางช่วงบางตอนที่ยังไม่เคลียร์ ซึ่งต้องอาศัยการตีความด้วยตัวเอง
  • หนังมาในโทนหม่นๆ ทำให้คนชอบดูหนังที่สนุก อาจจะไม่ตอบโจทย์

ADBRO

คำเตือน: รีวิว Joker นี้มีสปอยล์เนื้อเรื่อหลักตั้งแต่ต้นจนจบ

“ถ้า Joker เวอร์ชั่น Heath Ledger คือผลแอปเปิ้ลที่สุกงอม…

Joker ในเวอร์ชั่น Joaqin Pheonix ก็คือเรื่องราวตั้งแต่การได้มาซึ่งเมล็ดพันธุ์ การเลือกผิวดิน และการรดน้ำใส่ปุ๋ย” 

joker review
รีวิว Joker

ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ เชื่อว่าในเวลานี้คงไม่มีคอหนังคนไหนที่ยังไม่ได้ตีตั๋วเข้าโรงภาพยนตร์เพื่อไปเสพย์สุขจากหนังที่รอคอยมานานหลายปีอย่าง ‘Joker’ อัจฉริยะคู่ปรับตลอดกาลของฮีโร่สายดาร์ค ‘Batman’ (ใครยังไม่ดู ก็ไปดูซะ!!) โดยเวอร์ชั่น 2019 นี้การันตีคุณภาพโดยชื่อของ ‘Todd Phillips’ ผู้กำกับฯ ที่แม้จะมีผลงานในสายคอมเมดี้ซะเป็นส่วนใหญ่ Hang Over Trilogy, War Dogs และอื่นๆ ที่ Mood ของหนังจะแลดูออกมาน่าสนุก ขบขัน แต่ลึกๆ แล้วเขากลับมีความขมขื่นอยู่เบื้องลึกในจิตใจที่อยากจะเอามานำเสนอลงบนแผ่นฟิล์มใจจะขาด จนในที่สุดก็ได้มีโอกาสมาทำหนังที่ทุกคนมองว่า ‘ยาก และท้าทายที่สุด’ อย่างเรื่อง Joker

Joaquin Phoenix’ ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูใครหลายคน แต่ถ้าคุณยังจำสายตาอันแสนเหงาของหนังรักข้ามสปีชี่ส์อย่าง Her ได้ สายตาคู่นั้นแหละครับ ที่จะกลับมาพร้อมกับความ ‘เหงา, เศร้า และเต็มเปี่ยมด้วยความโกรธแค้น’ ที่มีต่อสังคมอันเน่าเฟะของเมือง Gotham ที่มากขึ้น จนหล่อหลอมให้คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง หมดความอดทนกับโลกอันแสนมืดหม่น และในที่สุด ก็ไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดที่ว่าโลกนี้สวยงาม หรือน่าอยู่ไปอย่างสิ้นเชิง

(หลบไป… รีวิว Joker ต่อจากนี้มีสปอยล์) 

ลองจินตนาการดูว่าหากคุณเป็นคนธรรมดาคนนึง ที่ต้องทนทำงานหนัก แลกกับรายได้ที่ไม่พอยาไส้ และได้แต่หวังว่าสักวันจะได้เดินตามความฝันอันเลือนลาง แถมยังต้องทนกับคำดูถูก เหยียดยามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งจากเพื่อน ครอบครัว และสังคม คุณคิดว่าคุณจะสามารถทนกับสภาวะแวดล้อมแบบนั้นไปได้สักกี่วัน?? เช่นเดียวกับ Joker หรือ Arthur Fleck ชายหนุ่มผู้ที่ไร้ซึ่งตัวตนในสังคม รับงานใส่ชุดตัวตลกยืนถือป้ายเซ้งร้านที่ไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะสังเกตเห็น มิหนำซ้ำยังต้องทนอยู่กับโรคประจำตัว ‘Pseudobulbar Affect’ โรคที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์หัวเราะ และร้องไห้ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าอาการนี้มันจะออกมาทำให้เขาอับอายในตอนไหน บวกกับมุมมองต่อโลกด้านลบที่มาจากโรคซึมเศร้าเข้าไปอีก จึงทำให้ตัวละครตัวนี้มีสิ่งที่โดดเด่นเอามากๆ ซึ่งนั่นก็คือ ‘ความเศร้า’ 

ต่อมา หนังได้เล่าให้เรารู้ว่าสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นอันน้อยนิดในชีวิตของอาเธอร์ เป็นเพียง ‘ภาพลวง’ ที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่าตัวเองมีความสุขแฮปปี้ดีกับสาวข้างห้อง ได้ออกไปดินเนอร์ ได้สัมผัสความรู้สึกการตกหลุมรัก หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในแบบของคนรักด้วยกัน กลับกลายเป็นเพียงแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น

รีวิวโจ๊กเกอร์
รีวิว Joker

หนังดำเนินไปอย่างเงียบเหงา กดดัน และหดหู่มากขึ้นในทุกขณะ จนเรื่องเริ่มร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขากำลังกลับบ้านหลังจากเลิกงานตัวตลกรับจ้างด้วยรถไฟใต้ดินตามปกติ ทว่าได้เจอกับพวกกุ๊ยมีตังค์สามคน ที่กำลังพยายามหยอกล้อกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่เล่นด้วย และโรคควบคุมการหัวเราะของอาเธอร์ก็กำเริบ จนท้ายที่สุดเขาก็ปรอทแตก หยิบปืนพกที่หามาไว้ป้องกันตัวจากพวกเด็กเกรียน ออกมายิงเหล่ากุ๊ยตายคารถไฟใต้ดินทั้งสามศพ ซึ่งเหตุการณ์นี้เอง ที่ได้เป็นจุดเริ่มต้นให้ ‘ตัวตลก’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การต่อต้านสังคม’ ของชนชั้นล่างที่กำลังจะเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ

โชคยังดีที่วันนั้นเขาแต่งมาสคอตเป็นตัวตลก และยังไม่มีพยานที่สามารถชี้ตัวเขาได้ ทำให้ชีวิตของอาเธอร์ยังคงสามารถดำเนินต่อไป ถึงแม้จะต้องเจอกับเหตุการณ์สุดรันทดต่างๆ มากมาย และในที่สุด สิ่งที่ทำให้อาเธอร์กลายเป็นคนตายด้าน และรู้สึกไม่ไยดีกับอะไรๆ ก็ตามในชีวิตก็มาถึง เมื่อเขาได้รู้ความจริงว่าแม่ที่เขารัก และคอยดูแล ประคบประหงมมาเป็นอย่างดี นั้นไม่ใช่แม่เขาจริงๆ ! เขาเป็นเพียงแค่เด็กอนาถาไร้ครอบครัวคนนึง ที่ป้าโรคจิตเก็บเอามาเลี้ยงแล้วทำทีว่าเขาเป็นลูกในไส้ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือเขาได้กลายเป็น “สิ่งแปลกปลอม” สำหรับทุกๆ สิ่งที่คุณจะจินตนาการออกแบบ 100%

ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้น ทำให้มนุษย์สามัญคนธรรมดาคนนึงที่ไม่มีแม้กระทั่งคนที่เขาสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “เพื่อน” แม้แต่คนเดียว ฉุกคิดได้ว่าสิ่งเดียวที่เขาจะทำให้กับตัวเองได้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระ รู้สึกมีตัวตนในสังคม ก็คือการ ‘หักดิบ’ หรือ ‘ล้างแค้นสังคมที่ไม่เคยเห็นหัว’ ในที่สุดฟ้าก็มีตา เมื่อคลิปตลกแป๊กๆ (แต่สำหรับเราคือฮา) ของเขาไปเตะตาพิธีกรชื่อดังอย่าง ‘เมอเรย์ แฟรงคลิน’ (รับบทโดยป๋า โรเบิร์ต เดอ นิโร) เข้า และได้รับเชิญไปออกรายการคอมเมดี้ทอล์คโชว์ชื่อดัง และแน่นอนว่าอาเธอร์ ชายหนุ่มไร้ค่าที่จิตใจเต็มไปด้วยความเศร้า ความโกรธเคือง ความเวทนาที่มีทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนั้นได้มาถึงขีดสุด เขาจึงตัดสินใจวางแผนอย่างถี่ถ้วน ศึกษาและเตรียมท่าทางการเปิดตัวจากเหล่าคนดังทั้งหลาย ร่างบทสปีชทั้งหมดไว้หัว และ ‘มุกไม้ตาย’ ก่อนที่จะลงมือทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นก็คือการ ‘ฆาตกรรมไลฟ์โชว์’ ยิงเข้าแสกหน้าพิธีกร ‘เมอเรย์ แฟรงคลิน’ เพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนทุกชนชั้นได้รู้ว่า ‘เวลาของการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว’

ในขณะที่เราคิดว่าโจ๊กเกอร์จะต้องถูกจับกุมตัว และถูกขังลืมอะไรเทือกนั้น กลับกลายเป็นว่าวีรกรรมอันบ้าคลั่งนี้ได้ไปปลุกจิตวิญญาณของชนชั้นล่างให้ออกมาสู้ และร่วมมือไปกับเขา ทั้งยังมองตัวตลกที่มาในชุดสูทราคาถูกนี้ว่าเป็น ‘ตัวแทน’ ของการต่อสู้กับระบบทุนนิยม ระบบสังคมสองหน้า ที่ป่าวประกาศพร็อพพากันด้าออกสื่อ บลาๆ ๆ ว่า ‘เราทุกคนเท่าเทียมกัน’ แต่ความเป็นจริงไม่สนใจห่าเหวอะไรนอกจากผลประโยชน์ของตัวเอง เห็นหัวคนจนหรือคนชนชั้นล่างเป็นแค่เพียงขยะมูลฝอยโสโครก ที่รอเวลาย่อยสลายเท่านั้น 

Joker 2019
รีวิว Joker

แม้ว่าคนดูอย่างเรารู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำของอาเธอร์เหรือโจ๊กเกอร์ป็นเรื่องที่ ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง หรือจะมองว่าเป็นสิ่งที่ต่ำช้าเลวทรามเอามากๆ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป แต่หนังเรื่องนี้กลับทำให้เรารู้สึกว่ามันก็ ‘สมเหตุสมผล’ แล้วนี่นา เพราะหากเราได้ไปยืนอยู่ในจุดนั้น ได้โดนกระทำแบบไม่เห็นค่า โดนดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนที่รู้จักแบบอาเธอร์ เชื่อว่าเราก็อาจจะกลายเป็นอาเธอร์ หรือ ‘Joker’ ในเวอร์ชั่นของเราเองเข้าสักวัน

สิ่งที่คุณจะได้รับจากหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่บทแอคชั่นล้างผลาญ ไม่ใช่ CG สายงามตระการตา แต่จะเป็น ‘มุมมองของตัวละคร Joker แบบเน้นๆ’ ที่ทอดด์ ฟิลิปป์ ตั้งใจเอาไว้แล้ว ที่จะทำให้คนดูเข้าใจว่าทำไม Joker ถึงได้เลวร้ายขนาดนี้ และแน่นอนอีกหนึ่งส่วนที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก ก็คือเรื่องของการแสดงของ Joaqin Pheonix ที่ทุกสำนักเช่น IMDB, Rotten Tomatoes ต่างลงความเห็นเดียวกันว่า ‘เอาออสการ์ให้พี่แกเถอะ!’

รีวิว Joker ‘หักดิบ’ ให้กับชีวิตที่ ‘บัดซบ’

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!