รีวิว YEH BALLET (Netflix) หนังครอบครัว ศาสนา ความรัก ความฝัน สไตล์ฟีลกู้ด
รีวิว YEH BALLET หนังครอบครัว ศาสนา ความรัก ความฝัน สไตล์ฟิลกู้ด
สรุป
เป็นหนังอินเดียที่เหมือนใส่เครื่องเทศได้ไม่ครบรส แต่ก็ไม่ได้ขาดรสชาติความอร่อย ด้วยเนื้อหาที่ชวนติดตามในแบบหนังครอบครัว วัยรุ่น และศาสนา โดยมีความฝันให้ไล่ล่า ให้ได้ลุ้นได้เอาใจช่วย ถึงแม้จะมีประเด็นความรักวัยรุ่นมาจุดพอให้เห็นควันบางๆ แต่ก็ยังดีที่ไม่ทิ้งให้หายไปเลย ทำให้หนังมีรสชาติที่หลากหลายไม่น่าเบื่อจนเกินไป ถึงแม้จะเป็นเต้นแต่มีเพลงเด่นน้อยไปหน่อยก็ตาม แต่ก็เป็นหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาทีที่คุ้มค่า
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ตัวละครทุกตัวเล่นได้ดีและสมบทบาท
- เนื่องจากเป็นการเต้นบัลเล่ต์ จึงต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว แต่นักแสดงก็ทำออกมาได้ดี
- เนื้อเรื่องชวนติดตาม
- ให้แง่คิดได้ดีเหมาะเป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว
- มีมิติของมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่หลากหลาย
- จบได้ประทับใจ
Cons
- เพลงเด่นๆ น้อยไปหน่อย ไม่สมกับเป็นหนังอินเดีย
- เล่าเรื่องกระชับไป เลยทำให้ขยี้บางประเด็นได้น้อย
- หนังมีประเด็นให้ขยี้อารมณ์ได้หลายเรื่องแต่ทำได้ไม่สุด
BALLET อ่านว่า บัลเล่ต์ (ไม่ออกเสียงตัวที) YEH BALLET หนังอินเดีย Netflix ที่บอกเล่าถึงชีวิตเด็กวัยรุ่น 2 คน ที่รักในการเต้น คนหนึ่งอาศัยพื้นที่ว่างของลานตากปลา เป็นเวทีเต้นบีบอยสนุกไปวันๆ กับกลุ่มเพื่อน ส่วนอีกคนขยันฝึกฝนไล่ตามความฝัน เพื่อดีดตัวเองขึ้นจากความยากจนให้ได้ ในมุมมองของผู้เขียนฐานะที่มักติดตามดูหนังอินเดียมาไม่น้อย เรื่องนี้เป็นหนังอินเดียที่มีกลิ่นไอความเป็นอินเดียไม่มากนัก แต่ออกไปทางอาเซี่ยนซะมากกว่า
ตัวอย่าง YEH BALLET
เรื่องย่อ
คนหนึ่งมีพรสวรรค์ อีกคนมีพรแสวง เมื่อเด็กหนุ่มผู้รักในการเต้นสองคน ได้พบกับปรมจารแห่งวงการบัลเล่ต์เจ้าอารมณ์ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่มีจุดหมายเดียวกันจึงถูกหลอมรวม อาซิฟ เด็กหนุ่มชาวมุสลิม ผู้ชีวิตไม่มีแก่นสารอะไร เอาแต่เที่ยวเล่นสนุกไปวันๆ กับกลุ่มเพื่อน และหารายได้จากการรับเต้นตามงานเทศกาลต่างๆ ที่จัดขึ้น ถูกพี่ชายลากมาส่งที่โรงเรียนสอนเต้น เพราะเห็นว่าน้องชอบจะได้มีอะไรทำเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น
ส่วนนิชู หนุ่มน้อยในวัยเดียวกัน แต่มีความฝันให้ไล่ตาม เค้าเข้าประกวดในรายการ “จั๊มพ์อินเดีย” ซึ่งเป็นรายการประกวดเต้น ถึงแม้ว่านิชูจะโชว์ความสามารถได้อย่างน่าทึ่งจนกรรมการบางคนประทับใจแต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ แต่นั่นก็ยังมีคนเห็นความสามารถของเขาและชวนให้มาเข้าโรงเรียนสอนเต้นเพื่อพัฒนาศักยภาพให้ดียิ่งขึ้น เพราะที่โรงเรียนแห่งนี้กำลังจะมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจากอเมริกามาสอน ซึ่งก็คือ ซอล แอรอน อดีตนักบัลเล่ต์ ผู้โด่งดังและเจ้าอารมณ์ ที่ไม่มีใครจ้างงาน สุดท้ายเลยต้องมาหากินที่อินเดีย
ด้วยความเฮี้ยวอาซิฟ ที่ต้องมาเรียนเต้นอย่างฝืนใจ จึงแกล้งขัดขา ซอล จนล้มลงหัวฟาดจนสลบไป แต่แทนที่ตื่นขึ้นมา ซอล จะตามหาตัวคนที่ขัดขาเค้าเพื่อมาลงโทษ แต่กลายเป็นว่าขาคู่นั้นที่ขัดขาเขา คือขาของผู้มีพรสวรรค์ในการเต้นบัลเล่ต์ และเมื่อซอลรู้ว่า อาซิฟ คือเจ้าของขาคู่นั้น เค้าจึงอยากผลักดันให้ อาซิฟ เป็นสุดยอดนักบัลเล่ต์ ในขณะที่ นิชู ก็อยากได้รับโอกาสนั้นเช่นกัน
YEH BALLET น่าดูไหม
ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าเหมือนกับการหยิบหนังฟิลกู้ดในแบบอาเซี่ยนที่เราคุ้นเคย มาพูดถึงความจน ความเหลื่อมล้ำ ความฝัน ความต่างของศาสนา และความรักในครอบครัว มาเป็นตัวเดินเรื่อง โดยใช้นักแสดงอินเดีย หากมองลึกๆ ลงไปในเนื้อหา อย่างเช่นบทความอาซิฟ เด็กหนุ่มมุสลิม ที่ไม่สนใจเรื่องของหลักศาสนา วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ออกไปเต้นกับเพื่อนๆ และหาเงินโดยการไปรับจ้างเต้นในพิธีกรรมของศาสนาอื่น ซึ่งหากไม่นับสิ่งที่กล่าวมา การที่ชาวมุสลิมออกไปร้องเพลง เต้น เล่นดนตรี ก็ถือว่าขัดกับหลักการของศาสนาแล้ว แต่หนังก็ยังเล่นประเด็นนี้อย่างไม่สุด
ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลาในการเล่าเรื่องของหนังน่าจะมีส่วนสำคัญอยู่พอสมควร เพราะส่วนใหญ่แล้วหนังอินเดียจะใช้เวลาเล่าเรื่องอยู่ที่ราวๆ 2 ชั่วโมงขึ้นไป แต่เรื่องนี้ใช้เวลาเล่าเรื่องเพียง 1 ชั่วโมงห้าสิบนาที การขยี้อารมณ์ในหลายๆ ประเด็นของหนังเรื่องนี้จึงดูแผ่วเบาไป ซึ่งผิดกับหนังอินเดียทั่วไปที่มักจะขยี้ได้สุดแรง โดยเฉพาะกับหนังในแนวนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความน่าติดตามของหนังเรื่องนี้ลงไปสักเท่าไหร่ การได้เห็นการเต้นในสไตล์บัลเล่ต์ในหนังอินเดียก็ไม่ใช่สิ่งที่หาดูได้ง่ายนัก เพราะส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนังเต้นก็มักจะออกไปแนว Step Up ซะมากกว่า ซึ่งก็เป็นสไตล์ที่หาดูได้ดาดดื่นทั่วไป และถึงแม้เรื่องนี้จะมีเพลงน้อยไปหน่อย แต่เนื้อหาเรื่องมิตรภาพและความสัมพันธ์ ในหลากหลายแง่มุมของหนังเรื่องนี้ก็นำเสนอออกมาได้อย่างดี ทั้งความรักของครอบครัว เพื่อน อาจารย์และลูกศิษย์
ถ้ามองในแง่ของหนังที่ได้แรงบัลดาลใจจากเรื่องจริง ก็ถือได้ว่าเล่าเรื่องได้น่าติดตามพอสมควร ซึ่งได้รับแรงบัลดาลใจจากชีวิตของ อมิรุดิน จัลลาลุดดิน ชาห์, มานิช ชอฮัน และ เยฮูดา มาเตอร์ รับรองได้ว่าฉากเต้นบัลเล่ต์ตอนช่วงใกล้จบของหนังเรื่องนี้ดูแล้วไม่ขี้เหร่แน่นอน