playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ (Netflix) ดูสดใหม่แหวกแนวแค่ครึ่งแรก จากนั้นบทก็เริ่มอ่อนจนเละในตอนจบ

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์

Summary

ซีรีส์สนุกในช่วงแรกด้วยการหยิบเรื่องจริงในอดีตของสังคมไทยมาแต่งเติมเพิ่มเข้าไป โดยเน้นย้ำที่ไปการตอบปัญหาทางเพศที่สนุกได้สาระแปลกใหม่ แม้ในยุคปัจจุบันก็อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ มีฉากหวือหวาเยอะ (โดยเฉพาะฉากโชว์ก้นเต๋อหลายครั้งมาก) แต่พอช่วงหลังเริ่มเล่นประเด็นอื่นยิบย่อยที่ปูไว้ตอนแรก เรื่องค่อยๆ อ่อนลงมากขึ้นเรื่อยๆ เดาเรื่องได้เลยจนขาดความน่าสนใจ แล้วก็เต็มไปด้วยจุดไม่สมเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะตัวตนของดอกเตอร์ไคลแม็กซ์กับหมอนัทที่เขียนให้ขัดแย้งกัน กลายเป็นจุดที่ชวนให้สับสนทางจุดยืนของตัวละครในท้ายเรื่องที่สุดครับ แต่ถ้าใครไม่สนใจอะไรเลย ดูเอาสนุกเรื่องก็ยังพอตอบโจทย์ได้อยู่ครับ แต่อย่าหวังจะหาสาระอะไรได้มากแค่นั้นเองครับ 

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ซีรีส์ดัดแปลงแต่งเติมเรื่องจากคอลัมน์ เสพสมบ่มิสม ในอดีต
  • ได้ความรู้ปัญหาทางเพศแปลกๆ
  • เรื่องตลกแบบแปลกใหม่
  • ฉากติดเรตเยอะ

Cons

  • ช่วงครึ่งหลังหลุดประเด็นตอบปัญหาจนไม่สนุก
  • บทอ่อน พล็อตโฮลเยอะ
  • ตัวละครขัดแย้งทางจุดยืนแบบไม่สมเหตุผล
  • ขายฉากโชว์ก้นเต๋อบ่อยมากจนดูน่าเกลียด

ADBRO

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ซีรีส์ไทย Original Netflix 8 ตอนจบซีซั่น 1 ในช่วงทศวรรษ 1970 หมอสูตินารี ผิวหนังปลุกกระแสความเคลื่อนไหวในเรื่องเพศ ผ่านคอลัมน์ชื่อ “ปุจฉาพาเสียว” ในหนังสือพิมพ์ ภายใต้ฉายา “ดร.ไคลแมกซ์” ซึ่งงานตอบปัญหาของเขาท้าทายขนบธรรมเนียมอันดีงามของสังคมไทยในยุคนั้น 

 

รีวิว ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ (มีสปอยล์นิดหน่อย)

ซีรีส์ไทยของผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่มีผลงานแนวนี้ในอดีตอย่าง สยิว เมื่อปี 2546 เป็นเรื่องแรก แล้วคราวนี้ก็มาทำในแนวเดิม หยิบเอาเรื่องล่อแหลมในสังคมมาเล่นต่อจากเรื่องสาธุ ที่ดังไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว โดยเรื่องแบบนี้มันก็สร้างกระแสได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เนื้อหาภายในก็ต้องรับช่วงต่อและทำมาให้ดีด้วย ซึ่งสาธุทำได้ค่อนข้างดีและก็มีประเด็นลึกๆ ให้ขยายทำต่อได้อีกอย่างน่าติดตาม แต่เรื่องนี้กลับตรงกันข้าม ซีรีส์ยิ่งดำเนินไปเรื่องยิ่งแผ่วลงๆ จนตอนท้ายแทบจะคนละม้วนกับตอนแรกเลย

เรื่องเอาคอลัมน์จริงๆ ที่ชื่อ ”เสพสมบ่มิสม” ในนสพ.เดลินิวส์ เมื่อปี 2521 ของหมอนพพร ซึ่งก็เป็นประเด็นในสมัยนั้นแบบเดียวกัน แต่ด้วยสาระความรู้ของคอลัมน์นี้ก็ทำให้เห็นว่ามีประโยชน์ และก็มีเรื่องแปลกมากมายทางเพศจากผู้อ่านส่งมาให้ผู้คนได้รับรู้กันอีก ซึ่งช่วงแรกของซีรีส์เปิดมาดีด้วยการสร้างเรื่องราวใหม่ต่อยอดจากคอลัมน์ด้วย ด้วยการให้หนังสือพิมพ์ที่ 1 กับที่ 2 แข่งกัน ซึ่งถ้าใครเกิดทันหน่อยก็จะรู้ว่าไทยรัฐเริ่มแย่งผู้อ่านด้วยการลงหน้าหนึ่งเป็นรูปดารานางแบบสวยๆ ใส่ชุดว่ายน้ำเรียกผู้อ่านทุกวันอาทิตย์ จนทำให้ค่ายอื่นต้องก็อปปี้ทำตามมา แต่ว่าในเรื่องนี้คือเปลี่ยนให้ที่ 2 ใช้คอลัมน์ตอบปัญหาทางเพศเข้าสู้ โดยหวังว่าจะเป็นสาระความรู้มีประโยชน์ที่แตกต่างและมีคุณค่ากับสังคม ซึ่งเรื่องก็เน้นไปที่การแข่งขันของหนังสือพิมพ์ใหญ่ 2 เจ้าที่มีเส้นตายกำหนดให้ชนะให้ได้ เรื่องในช่วงแรกจึงสนุกและเต็มไปด้วยสาระตามคอนเซ็ปต์เป๊ะๆ โดยมีเต๋อรับบทหมอนัทที่อยากเป็นนักเขียนนิยาย แต่ต้องมารับบทคอลัมน์ตอบปัญหาแทน มีการให้เต๋อสวมหน้ากากแบบอินทรีแดงสมมุติไปตอบปัญหาให้กับผู้ถามจริงๆ ด้วยคาแรกเตอร์กวนๆ ประจำตัวของเขาจึงเหมาะเจาะกับบทนี้มาก ทำให้เรื่องทั้งดูสนุกและตลกมีความแปลกใหม่มากจริงๆ

แต่ปัญหาของเรื่องเหมือนมาผิดทางเอาช่วงครึ่งหลัง จากปมย่อยๆ ที่วางไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งทำให้เดาเรื่องได้ง่ายๆ เพราะซีรีส์วางไว้แบบจงใจชัดเจนมาก อย่าง หมอนัทเริ่มนอกใจเมียไปหาฝ่ายศิลป์ที่ชื่อลินดา,  ตุ๊กตาเมียหมอนัทก็เริ่มออกนอกลู่นอกทาง, สส.บ้าอนุรักษ์นิยมพยายามตามหาตัวจริงเขาให้ได้ รุ่นพี่ก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นด็อกเตอร์ไคลแม็กซ์, ซีรีส์เอาปมย่อยๆ พวกนี้ไปขยายเพื่อเล่าเรื่องช่วงหลัง โดยแทบทิ้งการตอบปัญหาสนุกๆ แบบช่วงแรกไปเลย เรื่องเริ่มออกแนวเครียดไม่ตลก แต่ก็ไม่จริงจังมากอย่างปัญหาที่ฝ่าย สส.ตามล่าก็ดูเบาๆ กะเอาตลกแค่นั้น แล้วก็วกมาปมเกย์หนักๆ ที่โยงไปถึงปัญหาในครอบครัว แม้จะช่วยเคลียร์ปมจดหมายที่หมอนัทไม่อยากตอบได้ แต่เรื่องก็เริ่มหลุดแนวทางเดิมไปอย่างชัดเจน จนกระทั่งตอนท้ายเรื่องที่เริ่มหาทางจบไม่ได้และสร้างปมใหม่ที่ไม่เมคเซนส์ ขัดกับการเล่าเรื่องที่มีมาทั้งหมดเพื่อไปต่อซีซั่น 2 แบบแป๊กมากจริงๆ

นอกจากนั้นซีรีส์ยังมีปัญหาพล็อตโฮลบทหลุดหลายอย่าง อย่างปีในเรื่องย่อกับปีในเรื่องจริงๆ ไม่ตรงกัน ในเรื่องมีฉากบอกปีจากงานอภิเษกสมรสเจ้าหญิงไดอาน่าปี 1981 แต่เรื่องย่อเขียนช่วงปี 1970 มีฉากที่ลงรูปจิ๋มในคอลัมน์ครั้งแรกโดยที่ บก.ไม่รู้ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในทางงานพิมพ์ และในเรื่องคอลัมน์ก็โด่งดังขนาดระดับประเทศด้วย คนตรวจปรู๊ฟก็กลายเป็นเด็กวิ่งซื้อน้ำก็แทบไม่น่าเชื่อเ พราะงานพิมพ์คนตรวจปรู๊ฟคือสำคัญมากๆ มีฉากรุมกระทืบเกย์กลางที่สาธารณะก็ดูเกินจริงเพราะประเทศไทยไม่ได้มีกระแสเกลียดแบบฝรั่งที่มีกฏหมายเอาผิดเกย์ (ไทยหลุดพ้นตั้งแต่ปี 2500 จากการแก้ฏหมายโดยตรง) ตัวตนของด็อกเตอร์ไคลแม็กซ์เองก็ไม่เหมือนคนตั้งใจซ่อนตัว เพราะเข้าออกสำนักพิมพ์เป็นว่าเล่น แต่ตำรวจไม่รู้ ชาวบ้านแถวนั้นไม่สนใจว่าหมอสูตินารีมาสำนักพิมพ์ทำไม หมอนัทก็เป็นทายาทหมอดังที่ทุกคนรู้จัก แต่ลินดาที่เป็นชู้กลับไม่รู้ว่าหมอมีเมียแล้วทั้งๆ ที่ทำสำนักข่าวร่วมประชุมตลอด 

หรือแม้แต่ปมตัวตนจริงของหมอกับการตอบคำถามก็ย้อนแย้งหลายครั้ง เรื่องนำเสนอชัดเจนว่าหมอนัทเป็นพวกเสรีนิยม ให้อิสระกับผู้คนที่ติดกับดักทางสังคมไทย สู้กับฝ่ายอนุรักษ์ด้วยการให้ความรู้ แต่หมอตัวจริงกลับขี้ขลาดและแก้ปัญหาชีวิตตัวเองไม่ได้  ถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นปมขัดแย้งชีวิตจริงกับการละครที่แสดงออกไปได้ แต่ซีรีส์นำเสนอขัดแย้งกลับไปกลับมาจนตัวละครไม่มีจุดยืนในตัวเองเลย อย่างเช่น เกลียดผับเซ็กส์ที่ช่วยแก้ปัญหานกเขาไม่ขันได้ เชื่อว่าการทำแท้งต้องตกนรกแล้วพอเจอเองก็เครียดหนัก ซึ่งเรื่องเอาจุดนี้มาเป็นประเด็นหนักๆ ไปต่อซีซั่น 2 แบบไม่สมเหตุผลมาก จนทำให้ตัวละครดูแย่ไม่น่าเอาใจช่วยไปเลย

ส่วนฉากเรื่องเพศในเรื่องติดเรตเห็นแน่นอน รวมถึงฉากความชอบแปลกๆ ที่นำเสนอออกมาได้ดี แต่ว่าเรื่องดูจงใจถ่ายให้เห็นแต่ก้นเต๋อซ้ำ ซึ่งฉากแรกๆ ก็ดูมีความกล้า แต่พอเรื่องนำเสนอซ้ำหลายครั้งมาก ทั้งยังเล่นท่ามุมสูงอีก ทำให้ดูเหมือนว่าผู้กำกับจงใจขายอะไรที่ไม่ควรขาย เพราะจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้จำเป็นต้องมีฉากพวกนี้เลยก็ยังได้ครับ


สรุป ซีรีส์สนุกในช่วงแรกด้วยการหยิบเรื่องจริงในอดีตของสังคมไทยมาแต่งเติมเพิ่มเข้าไป โดยเน้นย้ำที่ไปการตอบปัญหาทางเพศที่สนุกได้สาระแปลกใหม่ แม้ในยุคปัจจุบันก็อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ มีฉากหวือหวาเยอะ (โดยเฉพาะฉากโชว์ก้นเต๋อหลายครั้งมาก) แต่พอช่วงหลังเริ่มเล่นประเด็นอื่นยิบย่อยที่ปูไว้ตอนแรก เรื่องค่อยๆ อ่อนลงมากขึ้นเรื่อยๆ เดาเรื่องได้เลยจนขาดความน่าสนใจ แล้วก็เต็มไปด้วยจุดไม่สมเหตุผลหลายอย่าง โดยเฉพาะตัวตนของดอกเตอร์ไคลแม็กซ์กับหมอนัทที่เขียนให้ขัดแย้งกัน กลายเป็นจุดที่ชวนให้สับสนทางจุดยืนของตัวละครในท้ายเรื่องที่สุดครับ แต่ถ้าใครไม่สนใจอะไรเลย ดูเอาสนุกเรื่องก็ยังพอตอบโจทย์ได้อยู่ครับ แต่อย่าหวังจะหาสาระอะไรได้มากแค่นั้นเองครับ  

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!