รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน Love Battle
สรุป
บทหนังป่วย + การแสดงแข็งๆ ของพระเอก ทำให้หน้าหนังที่มีพล็อตดีงามกลายเป็นเน่าในไป ยังดีที่มีนางเอกช่วยกู้ชีพไว้ได้บ้าง
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- นางเอกคือดีงาม
- พล็อตเจ๋งสุดๆ
- คำคมความรักเยอะ
Cons
- บทหนังป่วยเฟคมาก
- ปั่นจั่นเล่นได้ไม่เข้ากับบทเลย
- หนังย้อนแย้งในตัวหลายอย่าง
รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน รีวิว Love Battle หนังไทยสุดดราม่าแห่งปี!
“แทน” นักคณิตศาสตร์ประกันภัย ผู้หาค่าสถิติประกันภัย ที่คำนวณแม้กระทั่งความสัมพันธ์ของคู่รัก หลังจากถูกแฟนสาวของเขาหักหลังอย่างเจ็บปวด ก็เกิดปิ๊งไอเดียประกันภัยรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Love Insurance” หรือ กรรมธรรม์ประกันรักแท้ 2 ปีทวีทรัพย์ ซึ่งเป็นแบบประกันที่รับประกันเงินคืน 100% พร้อมดอกเบี้ยอีก 30% สำหรับคู่รักผู้ถือกรมธรรม์ หากพวกเขาไม่เลิกกันภายในเวลา 2 ปี หลังจากเซ็นสัญญา โดยมี “จี๊ด” อดีตพนักงานบริษัทจัดหาคู่ ที่ถูกย้ายมาอยู่ในทีมของ “แทน” คอยช่วยดูแลลูกค้ากรรมธรรม์ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เชื่อว่าความรักไม่สามารถคำนวณหรือวัดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อของ “แทน” ทั้งคู่ได้เดิมพันกันว่าภายใน 1 ปี ลูกค้าของเขาจะเลิกหรือจะรักกันได้ตามเป้าบริษัทวางไว้ไหม ซึ่งทั้งคู่จะได้เห็นบททดสอบความรักมากมายในสมการ “ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร” กับ “ความรักคำนวณเป็นตัวเลขไม่ได้” อะไรคือความจริงกันแน่!
พล็อตเจ๋ง ไอเดียกรรมธรรม์ประกันความรักนี่เก๋มาก มากซะจนทำเอาเราคิดว่าน่าจะมีบริษัทประกันเอาแนวคิดแบบนี้ไปใช้ดูบ้าง ส่วนตัวให้พล็อตนี้เต็ม 10 ได้เลย มันคือความครีเอทแปลกใหม่ (แม้จะมีที่มาจากหนังเกาหลี) ให้พระเอกเป็นนักออกแบบประกันภัย ซึ่งอาชีพเก๋ๆ แบบนี้ก็มีจริง และก็หากินอยู่กับตัวเลขความเสี่ยงที่บริษัทประกัน ยังไงก็ได้กำไรแทบจะแน่นอน ตัดกันกับนางเอกดูใสๆ แต่ที่จริงก็ร้ายใช่เล่น ด้วยประสบการณ์อาชีพจัดหาคู่ ซึ่งต้องเชื่อในความรัก แต่ต้องมาทำงานหากินกับการเลิกราของคนที่ทำประกัน ดูเป็นการออกแบบตัวละครที่คอนทราสตัดกันสุดโต่ง นั่นก็ทำให้หนังดูมีประเด็น มีของให้เล่นมากมายได้แน่นอน แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น…
หนังเดินเรื่องเป็นเคสคู่รักทีละคู่ จบทีละคู่ แบบสั้นๆ มาด่วนไปด่วน ไม่ได้มีปูพื้นอะไรมากมายให้รู้สึกอินไปกับทุกคู่ที่นำเสนอมาเลย ผู้กำกับทำความรักแบบเร่งรีบตั้งใจเซ็ทฉากให้ดูเป็นคู่รักแบบขอไปที แถมด้วยไดอะล็อกคำคมความรักจากโซเชียลที่แทรกเข้ามากะว่าเด็ดไวรัลปังแน่ๆ แต่มันกลับดูเฟค+แป๊กเข้าไปอีก ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นหนังที่รวมความเฟค ไม่จริงจังไปกับแก่นความรักในเรื่องได้ลึกซึ้งอะไรเลย คือเข้าใจนะว่านี่เป็นหนังตลก แต่หนังตลกก็ไม่ใช่ว่าซีนนำเสนอดราม่าจริงจัง จะต้องทำให้ดูเฟคอะไรขนาดนี้ ซึ่งนี่กลายมาเป็นข้อเสียอย่างหนักของเรื่อง หนังพอดูสนุกน่ะได้ แต่ถ้าหวังดูแล้วอินไปกับเรื่องราวคงไม่ไหว รู้สึกเสียดายที่หนังได้พล็อตครีเอทมาเจ๋งขนาดนี้ แต่กลับถูกบทที่ยัดเยียดปู้ยี้ปู้ยำแบบหละหลวม มาทำลายความเจ๋งตรงนั้นไปซะหมด
แถมพระเอกของเรื่องการแสดงออกแนวทื่อๆ ก็ดูไม่เข้ากับบท ตั้งแต่เปิดเรื่องก็ดูล้นๆ ดูแอ็กท่าแนวการ์ตูนจนเกินไป ทั้งๆ ที่บทส่งให้พระเอกดูมีอดีตที่เจ็บช้ำมากมายกับความรัก แต่กลับทำนิสัยให้เหมือนเด็กอกหักฝังใจ พาลไปลงกับคนอื่นไปทั่ว มากกว่าการเจ็บปวดซึมลึกกับความรักแบบผู้ใหญ่ที่ควรจะเป็น การที่พระเอกพยายามเกลียดความรัก แต่พอทำออกมาให้ดูตลก เลยดูฝืนๆ ไม่โอไม่อินไปกับการแสดงนี้เลย โอเคผู้กำกับอาจจะไม่ได้ต้องการจริงจังกับดราม่า แต่ถ้าแบบนั้นก็ไม่น่าจะมาปูดราม่าให้รู้สึกว่าหนังมีโทนจริงจังในอดีตอะไรแบบนี้ มันดูกลายเป็นเหมือนการเซ็ตแต่งเรื่องให้ดูเกินจริงไป (คล้ายๆ สไตล์เกาหลี) บทหนังทำให้หลายอย่างดูเฟคจนลามไปถึงการแสดงของพระเอกด้วย
ยังดีที่หนังได้นางเอก (เอสเธอร์) มาช่วยส่งดราม่าในหลายฉากให้ดูดี ซึ่งไม่ใช่เพราะแค่เธอหน้าตาดี แต่เธอทำให้บทนี้ดูเป็นธรรมชาติของหญิงสาวที่เชื่อมั่นในรัก แม้จะมีผิดหวังก็ยังกลับมาแกร่งด้วยมุมมองความรักในแง่บวกไม่เปลี่ยนแปลง สมกับที่ทำอาชีพจัดหาคู่รัก และแม้ในยามที่ต้องร้องไห้แบบสมมุติแทนตัวเองเป็นปลา ที่อ้างอิงกับคำคมนางเอก “อิจฉาปลาที่ร้องไห้ได้แบบไม่มีน้ำตาให้ใครเห็น” เธอก็ทำได้อย่างดีทุกครั้ง การแสดงของนางเอกดูเรียลดูจริงกว่าพระเอกมากมาย ทำให้เวลาเข้าคู่กันด้วยบทดราม่าหนักๆ พระเอกเหมือนกลายเป็นไอ้งั่งที่งงงวยว่าตัวเองทำอะไรผิด ทั้งๆ ที่ความจริงพระเอกก็เคยมีความรัก มีเรื่องแบบนี้มาก่อน ยังไงก็ต้องเข้าใจดีว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ซึ่งไม่เกินเลยถ้าจะบอกว่า “เอสเธอร์ คือนางเอกผู้แบกหนังของจริง” เรียกว่าถ้าไม่มีเธอคนนี้ หนังคงไม่เหลืออะไรที่ดูดีให้พูดถึงได้จริงๆ
เอสเธอร์ คือนางเอกผู้แบกหนังของจริง
แต่ที่ว่าแย่แล้ว ก็ยังแย่ไม่สุด เพราะที่แย่ที่สุดของเรื่องคือ แก่นของหนังที่เปิดด้วยเรื่องโลจิค ความจริงของสถิติ ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร แล้วพยามจิกกัดพวกโลกสวยต่างๆ นาๆ ตลอดเรื่อง แต่พอสุดท้ายคำตอบทั้งหมดกลับดูง่ายดาย ย้อนแย้งทำลายโลจิคกับความจริงที่ใส่มาเป็นเรื่องราวในทุกเคสของคู่รักในเรื่อง ไม่เข้าใจว่าหนังต้องการบอกอะไร สุดท้ายโลกสวยคือ พลังแห่งความรักงั้นหรือ? มันดูไม่มีที่มาที่ไปกับบทสรุปสุดท้ายเอามากๆ ซึ่งที่จริงไม่ต้องมีเลยก็ได้ หนังสามารถตัดจบแล้วลงตัวกว่า (อยากรู้อ่านสปอยด้านล่างครับ) แต่พอใส่มาแบบยัดเยียด มันกลายเป็นว่าที่เราดูมาทั้งหมดคือเรื่องเฟคทั้งเพเข้าไปอีก!
ฉากจบสุดท้ายคือทุกคู่ที่เลิกกันทั้งเรื่อง กลับมาสมหวังลงตัวแฮปปี้กันหมดทุกคน ซึ่งตอนเลิกหลายคนนี่เข้าขั้นทั้งโจร 18 มงกุฎ ปอกลอกผู้หญิง กลายเป็นว่าทั้งเรื่องไม่มีคู่ไหนเลิกกันจริงๆ เลยสักคน ถึงบทสรุปจะบอกว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ทุกนาที ความรักก็เปลี่ยนไปมาได้เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้จะเป็นกันได้แบบในหนังนี้เลยสักนิด
หนังเป็นการร่วมทุนของเกาหลีกับไทย ซีเจ เมเจอร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (ค่ายหนังของเมเจอร์เอง) และผลิตโดยเวิร์คพ้อยท์ ซึ่งก็ดูจะเข้าใจการทำหนังแบบฉาบฉวยจากการทำรายการทีวีมาเป็นสไตล์หลัก โดยตั้งใจปั้นบทหนังให้ดูตลกเจาะตลาดไทยแบบเหมารวมว่าคนไทยคงชอบหนังตลก ทำอะไรก็ต้องให้มันตลกไว้ก่อน แบบนี้มีโอกาสทำเงินชัวร์ แต่ขอโทษนะครับ บทตลกที่ใส่มามันดูไม่เข้าท่าเอาซะเลย ผิดกับหนังตลกไทยที่แจ้งเกิดรุ่นหลังมาก ยกตัวอย่าง ไบค์แมน ที่ผู้เขียนเซอร์ไพรซ์กับเรื่องนี้มาก และต่างกับเรื่องก่อนในค่ายตัวเองอย่าง “20 ใหม่หัวใจรีเทิร์น” ซึ่งดัดแปลงจากเกาหลีได้ดีมาก นั่นก็เป็นหนังตลกดราม่าเช่นกัน แต่หนังได้ทั้งดราม่าและตลกเข้ากับบทและอะไรแบบไทยๆ มากกว่าเรื่องนี้มากมายนัก ทางค่ายซีเจคงต้องเอาบทเรียนครั้งนี้ไปคิดให้หนักๆ สุดท้ายบทที่ดี เป็นตัวพาหนังไปได้ดี มากกว่าการจงใจยัดบทตลกมาให้คนไทยดูแบบตีหัวเข้าบ้านแต่อย่างใดครับ