The Cave นางนอน
สรุป
หนังกึ่งสารคดีตัดภาพฟุตเทจของจริงมาสลับกับถ่ายทำใหม่ โดยมีทีมกู้ดำน้ำกู้ภัยต่างชาติมาร่วมเล่นจริงเกือบทั้งหมด และมีเบื้องหลังการมาช่วยของทีมต่างชาติที่น่าสนใจ กลายเป็นรู้สึกว่าเรื่องราวนอกถ้ำกลับสนุกและน่าสนใจกว่าในถ้ำซะอีก แต่หนังตัดสลับเรื่องราวจำลองกับฟุตเทจจริงไวไปจนทำให้ดูไม่สมูธในแง่ของภาพยนต์เพื่อความบันเทิง
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- ใช้นักดำน้ำในถ้ำตัวจริงจากเหตุการณ์มาเล่น
- ฉากถ่ายทำใหม่ดูลงทุนเหมือนจริง
- มีเบื้องหลังการมาช่วยของทีมต่างชาติที่น่าสนใจ
Cons
- ตัดสลับเรื่องราวไปไวเกิน ยิ่งผสมฟุตเทจของจริงด้วยทำให้รู้สึกไม่สมูธ
- หนังข้ามเรื่องราวช่วงแรกไปแทบทั้งหมด
The Cave นางนอน หนังเด็กติดถ้ำหลวงที่เรารู้จักกันดีทุกคน (ถ้าเป็นคนไทยไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก) ก็คงไม่ต้องสาธยายเรื่องราวที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วครับ ในรีวิวนี้จะเป็นการให้ความเห็นที่เกี่ยวกับเรื่องราวจริงที่หนังพยายามหยิบนำมาใช้ จนกลายเป็นหนังกึ่งสารคดีมากกว่าหนังคนแสดง รวมถึงตัวแสดงจริงที่มาเล่นเป็นตัวเองในเรื่องนี้ด้วยครับ
หนังได้คนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์มาเล่น อย่างเฮียเจ้าของท่อสูบน้ำพญานาคหรือที่เรียกแบบบ้านๆ ว่าท่อซิ่ง หนังหยิบจับเอาเฮียมาเล่นรับบทหลายฉากออกเยอะ แต่ด้วยความที่เฮียก็ไม่ใช่นักแสดง ก็เลยเป็นการท่องบทเล่นแข็งๆ อันนี้หงุดหงิดตอนดู แต่ไม่ว่ากันเข้าใจ แต่ที่จริงไม่ได้มีแต่เฮียคนนี้ในเหตุการณ์ แต่มีหลายคน หลายทีมที่มาช่วย หนังพยายามนำเสนอคนเดียว จนไม่ได้เห็นภาพรวมใจทีมสูบน้ำไทย ผิดกับธีมหนังไปหน่อยทั้งๆ ที่ทีมงานพระเอกผู้ปิดทองหลังพระตรงนี้เป็นจุดเด่นของเรื่องราวที่มีความสำคัญมากไม่แพ้ทีมดำน้ำช่วยเด็กเลย
นอกจากที่ขาดทีมสูบน้ำอื่นๆ แล้วหนังไม่ได้นำเสนอทีมงานอื่นๆ สักเท่าไหร่ด้วย อย่างทีมรังนกจากเกาะลิบง แม้จะไม่ได้เป็นพระเอกหลักในเหตุการณ์ แต่ก็เป็นทีมที่มีเรื่องราวน่าสนใจตรงการพยายามมุดหารูเจาะถ้ำเข้าไปด้วยการโรยเชือกเส้นเดียว หรือเหตุการณ์ช่วงแรกที่ทีมซีลไทยพยายามเข้าไปช่วยก่อนที่อีกหลายวันต่อมาจะมีทีมจากต่างประเทศมาช่วย หนังก็ข้ามสคิปช่วงแรกหลังจากพึ่งติดถ้ำไปเลย เหมือนต้องการตัดตัวละครไทยไม่จำเป็นออกไป ทั้งๆ ที่ถ้าทำแนวกึ่งสารคดีควรจะไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรกจะได้สมบูรณ์ ไม่ใช่ติดถ้ำปุ๊บเปิดมากลายเป็นเกือบอาทิตย์ต่อมาเลย (จำตรงนี้ไม่ได้แม่นครับ แต่รู้สึกว่าจะ 5 วันต่อมา) พอหนังละเลยจุดนี้ไป ทำให้ความรู้สึกการไต่ลำดับเรื่องมันกระโดดข้ามไปมากพอดู เพราะโผล่มาอีกทีทีมจากอเมริกามาประจำที่ไทยแล้ว
หนังข้ามเหตุการณ์ช่วงแรกก่อนจะเป็นข่าวดังระดับโลกไปหมด เพื่อมาเริ่มตรงทีมนาวิกโยธินจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นกำลังหลักในช่วงแรก ก่อนจะมาถึงการมาของทีมดำน้ำแต่ละคน ซึ่งก็เป็นตัวจริงไล่เรียงกันมาหมด ตั้งแต่ เวิร์น อันสเวิร์ธ นักสำรวจและผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำในถ้ำ จาก The Cave Diving Group ผู้ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ทีมงานไทยนำสุดยอดนักดำน้ำในถ้ำระดับโลกที่เหลือตามมา อย่าง จอห์น โวลันเธน และ ริชาร์ด สแตนตัน ซึ่งเป็นสองคนแรกที่เข้าไปพบทีมหมูป่าในคลิปที่เราเห็นกัน ซึ่งทีมนักแสดงจากตัวจริงนี่เล่นได้เหมือนอยู่ในเหตุการณ์อีกครั้ง ไม่รู้สึกติดขัดแบบของไทย ซึ่งฉากในช่วงนี้ไปหนังใช้เซ็ตฉากถ่ายทำเหมือนจริงพร้อมตัดสลับภาพจริงบางส่วนมาประกอบ โดยที่มีเรื่องราวเบื้องหลังการมาของทีมดำน้ำต่างชาติเสริมให้ด้วย ซึ่งไม่มีในข่าวหรือที่ไหน ตรงนี้เป็นข้อดีที่สุดของหนัง ทำให้เรื่องราวที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น เราจะได้เห็นว่าครอบครัวเขายอมให้เอาชีวิตมาเสี่ยงแค่ไหนกับการตัดสินใจมาช่วยครั้งนี้ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีฉากในส่วนนี้มาก แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีสตอรี่มากกว่าจะดูเป็นหนังสารคดีทื่อๆ มากไป
หนังแบ่งพาร์ทเป็นสองส่วนก่อนเจอกับหลังเจอเด็กที่ติดในถ้ำหลวง ซึ่งเอาจริงๆ หนังไม่ได้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นไปกับเหตุการณ์ทั้งสองช่วงนัก ไม่ใช่เพราะเรารู้เรื่องนี้มาก่อน แต่หนังตัดสลับทุกอย่างไวไปหมด เหมือนแค่เอาฟุตเทจกับนักแสดงมาต่อๆ กันให้เป็นเรื่องราวไปจนจบ มีที่สร้างเองหลักๆ ก็คือช่วงท้ายที่ดำน้ำเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากเพราะมุมมองแคบไปหมด เราแทบจะไม่ได้เห็นตัวละครเต็มๆ ตัวในฉากช่วงนี้เลย ดูแล้วอึดอัดกับวิธีการใช้ภาพมุมแคบพอสมควร แต่ก็พอเข้าใจว่าอาจจะเป็นข้อจำกัดของหนังดำน้ำในถ้ำ ซึ่งมันก็คงไม่สามารถถ่ายให้เห็นมุมกว้างว่านักดำน้ำสองคนพาเปลหามเด็กที่ถูกวางยาสลบว่ายด้วยลักษณะไหนยังไงแบบชัดเจน แต่ช่วงท้ายนี้ก็มีส่วนสำคัญเพิ่มคือช่วงการวางยาสลบที่ปกติใช้กับม้าแต่ต้องมาปรับใช้กับคนเพื่อป้องกันอาการตื่นตระหนกกลัวจนคุมตัวเองไม่ได้ (อาการแพนิค) หนังมีรายละเอียดจากตัวจริงมาเล่นสอนวิธีให้นักดำน้ำที่เข้าไปช่วยเด็กฉีดเข้ากล้ามเนื้อขา แล้วก็มีส่วนลุ้นนิดหน่อยตรงนี้กับโค้ชเอกตลอดทาง แต่ไม่รู้ว่าปัญหาในเรื่องนี้จริงไหม เพราะไม่เห็นมีรายงานการให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ในไทย แล้วก็ตัดมาจบด้วยฟุตเตจจากของจริงตอนเอนด์เครดิตอีกที ซึ่งก็เป็นที่เราเคยดูทั่วไปทั้งหมด
ในส่วนของนักแสดงไทยที่มาเล่นแทนตัวจริงอย่าง 13 ทีมหมูป่าหามาได้เหมือนดี เรียกว่าเราดูแล้วพอรู้เลยใครแทนใคร รวมถึงบทโค้ชเอกก็เหมือน และก็มีบทช่วยเด็กเอาตัวรอดพอสมควร ซึ่งก็เป็นตามที่เรารู้กันทั้งหมดอย่างการกินน้ำหยดในถ้ำ การดำน้ำช่วงวันแรกหาทางออก การพาเด็กไปที่สูง การเลือกเด็กคนไหนได้ออกก่อนจากบ้านไกลกว่า พวกนี้ที่ใส่มาเหมือนลำดับจากเรื่องจริงโดยนักแสดงที่ทำได้ดีเลย แม้แต่ฉากการพบเจอกับนักดำน้ำต่างชาติในคลิปก็ทำออกมาเหมือนจริง ส่วนนายกประยุทธ์นี่หาคนหน้าเหมือนมาเล่น แถมเสียงยังเหมือนอีก เอาว่าเป็นฉากที่อดขำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญกับเรื่องอะไรเลย ส่วนผู้ว่าเชียงรายที่รอๆ กันในหนังมีให้เห็นด้านหลังนิดเดียว แล้วรวบรัดไปใช้ฟุตเทจผู้ว่าผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ จากในทีวีซะหมดทุกฉาก ซึ่งดูเป็นการประหยัดงบสร้างชัดๆ ทั้งๆ ที่การตั้งโต๊ะแถลงข่าวทุกครั้งเป็นไคลแม็กซ์ในแต่ละวันได้เลย แต่เสียดายที่หนังขาดตัวละครสำคัญอย่างท่านศรีวราห์ ที่มาเช็คว่า โดรนมีใบอนุญาตหรือไม่ สั่งการ “ให้บินมาจอดตรงหน้า” ด้วยความที่ผู้กำกับ “ทอม วอลเลอร์” ก็เป็นลูกครึ่งไอริช-ไทยด้วย ก็ยังต้องทำงานในไทยอยู่คงอยากใส่ดราม่าส่วนนี้มา แต่กลับเลือกไปใส่ความขัดแย้งของทีมงานทั้งไทย-ต่างชาติกับหน่วยงานราชการที่ต้องขอเอกสารทำให้ถูกต้องทุกอย่างหมดในเวลาคับขันแบบนี้ แต่ก็ใส่มาพอให้คนไทยได้ขำๆ ไม่ได้ถือว่าเป็นปมขัดแย้งอะไรมากครับ
สำหรับจ่าแซมหนังเลือกเล่นพาร์ทของเขาตั้งแต่การกลับมาทำงานในภารกิจนี้ ซึ่งก็ตรงตามจริง ที่เรารู้กันทุกอย่าง แล้วก็ใช้ภาพฟุตเทจความเศร้าโศกเสียใจ พิธีกรรมความเชื่อแก้อาถรรพ์เจ้าแม่นางนอนของไทยใส่เข้าไปมากมายหลังจากจ่าแซมตาย รวมถึงเนื้อหาส่วนของครูบาบุญชุ่มที่ถือว่าเยอะมาก จนรู้สึกว่าทำให้เหมือนคนไทยเน้นความเชื่อมากกว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัยพิกล ซึ่งดูแล้วไม่แน่ใจว่าผู้กำกับต้องการให้ต่างชาติดูหรือคนไทยดูกันแน่
หนังยังไม่ลืมตัวละครเล็กๆ น้อยๆ ตามรายทางอย่างชาวบ้านที่ยอมเป็นที่รับน้ำท่วมนา พระที่มาช่วยกท่อสูบน้ำ และชาวบ้านอื่นๆ อีกหลายคน ซึ่งก็ถือว่าใส่ใจดีในส่วนนี้ที่ช่วยเต็มมิติกับธีมของหนังที่เป็นแนวสร้างพลังใจการร่วมมือของคนทั่วโลก ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์กู้ภัยครั้งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก
โดยรวมหนังมีที่ติมากมายในส่วนของการเล่าเรื่องที่ตัดต่อไวจนดูไม่เหมือนหนัง หรือแม้แต่สารคดีโดยตรงก็ไม่ใช่เพราะหนังไม่มีการเล่าเรื่องอธิบายอะไรมาก ซึ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ดูหรือตามข่าวเรื่องนี้อาจจะมีงงได้ว่าใครเป็นใคร มาทำไม ตรงนี้สำคัญอย่างไรถึงใส่มา แต่ยังดีที่หนังได้ตัวจริงมาเล่นเยอะมากประกอบกับการลงทุนฉากในถ้ำจนทำหนังดูมีความสมจริงในแบบที่เหมือนย้อนรอยภาพข่าวเลยก็ว่าได้ อีกทั้งเป็นการเคารพทีมฮีโร่เหล่านี้จริงๆ อีกด้วย แต่ก็น่าเสียดายว่ายังมีตกหล่นอีกหลายทีมที่สำคัญไม่แพ้กัน (ส่วนใหญ่จะเป็นทีมงานไทยฝั่งนอกถ้ำ) แต่รวมๆ แล้วก็ยังเป็นหนังที่ดูได้ ไม่ได้ถึงกับน่าเบื่ออะไร ถ้าใครคิดว่าอยากดูรายละเอียดยิบย่อยกับเบื้องหลังทีมฮีโร่ต่างชาติก็น่าสนใจ แต่ถ้ามองว่าจะเป็นหนังสนุกๆ ระทึก มีฉากหวาดเสียวระทึกอะไรแบบนี้ก็ข้ามไปเลยดีกว่าครับ หนังไม่ตอบโจทย์คนที่ต้องการดูหนังที่เป็นหนังจริงๆ มากกว่ากึ่งสารคดีแบบนี้ครับ