รีวิว IP Man 4: The Finale ปิดตำนานยิปมันไว้ได้ด้วยมาตรฐานกับสเต็ปเรื่องราวเดิมๆ
IP Man 4
สรุป
IP Man 4: The Finale ยังรักษามาตรฐานภาคหลังๆ ไว้ได้ ทั้งดราม่าที่ช่วยเติมเต็มเรื่องราว ซึ่งคราวนี้มีเยอะกว่าเดิมสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นลึกมาก แค่มีหลายเรื่องเข้ามาในช่วงชีวิตสุดท้ายของยิปมัน ไปพร้อมกับฉากแอ็กชั่นไม่มากแต่พอดี แล้วก็ยิงยาวให้ได้ดูนานๆ ซึ่งก็ยังคงทำได้ตามมาตรฐานความสนุกมันส์แบบที่แฟนยิปมันพอใจ แต่ถ้าถามว่าประทับใจไหมกับภาคสุดท้ายก็ยังต้องบอกว่า “ไม่ครับ” เพราะหนังยังคงสูตรเดิมมากไปตั้งแต่ต้นจนจบ
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ดราม่าหลายเรื่องราวมากกว่าภาคก่อน
- ฉากแอ็กชั่นน้อยแต่มีความยาวมากกว่าเดิม
- บรู๊ซลีได้มีโชว์ท่าเด็ดประจำตัวจนครบ
- เปิดตัว Vanda Margraf ดาราวัยรุ่นสาวลูกครึ่งหน้าตาโดดเด่นจิ้มลิ้มน่ารักมาก
- เสียงพากย์พันธมิตรที่มีความฮาเล็กๆ แทรกไว้ได้ดี
Cons
- เรื่องราวยังเป็นไปตามสเต็บเดิมๆ เกินไป
- บทลูกชายยิปมันไม่ค่อยเข้าถึงหรือทำให้คนดูอินไปกับเรื่องได้
- ยิปมันเป็นมะเร็งตั้งแต่แรก แต่กลับไม่นำมาใช้กับเรื่องราวตอนสู้สักเท่าไหร่เลย
IP Man 4: The Finale ภาคสุดท้ายของหนังกังฟูชื่อดังยิปมันกับมวยหย่งชุน ที่คราวนี้ลัดฟ้าไปอเมริกาหาลูกศิษย์คนดังบรู๊ซลี ที่กลายมาเป็นอาจารย์มวยจีนที่นี่ ซึ่งทำให้ทั้งคู่ต้องเข้ามาขัดแย้งกับทหารอเมริกาที่ไม่ต้องการให้มวยจีนแทรกเข้ามาในแผ่นดินแห่งนี้
ตัวอย่าง IP Man 4: The Finale ยิปมัน 4
ภาคนี้เป็นภาคสุดของยิปมันจริง แบบไม่ต้องมีค้างคาอะไรกันอีก เพราะหนังเล่าช่วงเวลาสุดท้ายของยิปมันในขณะที่เขาได้รับการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งในลำคอที่เป็นผลจากการสูบบุหรี่ ซึ่งในขณะเดียวกันบรู๊ซลีลูกศิษย์คนดังของยิปมัน ได้ไปเปิดสอนมวยจีนในอเมริกาให้กับฝรั่ง และแปลตำราจีนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งนำความไม่พอใจมาสู่สมาคมชาวจีนหัวโบราณในอเมริกาที่ไม่อยากเผยแพร่กังฟูให้กับชาติตะวันตก แต่ยิปมันเลือกที่จะปกป้องเขา จนทำให้บรรดาอาจารย์มวยจีนในไชน่าทาวน์ไม่ยอมรับทั้งคู่
ในขณะเดียวกันลูกศิษย์ของบรู๊ซลีที่เป็นทหารก็กำลังมีปัญหากับการพยายามนำมวยจีนเข้าไปเป็นหนึ่งในหลักสูตรทหาร หลังครูฝึกคาราเต้ไม่ยอมรับจนกลายเป็นฝ่ายทหารตามมามีเรื่องถึงไซน่าทาวน์ ซึ่งยิปมันจำต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะทนเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชาวจีนที่นี่ไม่ได้
ส่วนอีกด้านที่ฮ่องกง ลูกชายของเขาก็เกเรไม่ยอมเรียนหนังสือ ด้วยเหตุผลว่าอยากเดินตามรอยพ่อสอนกังฟู ด้วยความรักความชอบส่วนตัวจริงๆ แต่ยิปมันกลับไม่เห็นด้วยพยายามส่งให้เขามาเรียนที่อเมริกา จนเป็นเหตุให้ทั้งคู่ไม่ลงรอยกัน
จะเห็นได้ว่าหนังภาคนี้เปิดเรื่องราวดราม่าไว้หลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งอาจจะเพราะเปิดเรื่องมาก็เริ่มที่อาการมะเร็งของยิปมันก่อนเลยเพื่อทำให้ผู้ชมรู้ว่าพระเอกของเราไม่เหลือเวลามากอีกแล้วในชีวิต และด้วยความที่ยิปมันเป็นมะเร็งก็เป็นตัวบีบบังคับให้เรื่องราวในภาคนี้มีแอ็กชั่นที่น้อยลงกว่าภาคก่อนๆ ไม่ได้โลดโผนอะไรมากมาย แล้วใช้ดราม่าลากดำเนินเรื่องราวให้น่าติดตามแทน จากการที่อาจารย์มวยจีนคนอื่นที่ไม่ยอมรับในความคิดที่แตกต่างของยิปมันกับบรู๊ซลี ที่เน้นสอนแพร่หลายกังฟูให้กับทุกคนไม่ว่าเชื้อชาติไหน จนทำให้ยิปมันต้องเข้าไปพิสูจน์ว่ากังฟูควรจะเปิดกว้างกว่านี้กับทั้งชาวจีนหัวโบราณและฝ่ายอเมริกัน โดยผสมเรื่องราวจริงในประวัติศาสตร์เข้าไปนิดหน่อยที่ว่าทหารอเมริกามีการนำกังฟูเข้ามาเป็นหลักสูตรฝึกสอนให้กับกองทัพด้วย
อีกจุดเรื่องราวดราม่าคือการที่เขากับลูกมีปัญหาไม่เข้าใจกัน การมาที่อเมริกาในครั้งนี้ก็เป็นความหวังดีของพ่อที่อยากให้ลูกไปได้ดีกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่กลายเป็นว่าลูกชายไม่ยอมรับการกระทำของพ่อที่บีบให้เขาไปเรียนหนังสืออเมริกาโดยที่เขาบอกแล้วว่าไม่ชอบเรียนหนังสือ อยากเรียนกังฟู อยากเป็นอาจารย์มวยอย่างพ่อ ซึ่งกลายเป็นว่าที่อเมริกายิปมันกลับได้มาพบกับลูกสาวของหัวหน้าสมาคมไชน่าทาวน์ ที่ก็มีปัญหาแบบเดียวกันกับพ่อของตัวเองที่อยากให้ลูกสาวฝึกเรียนไทเก๊ก แต่เธอกลับชอบการซ้อมเชียร์ลีดเดอร์มากกว่า ทำให้ยิปมันได้กลับมาหวนคิดว่าสิ่งที่พยายามให้ลูกมาเรียนต่างประเทศเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในความคิดของเขานั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงหรือไม่?
หนังปูเรื่องราวดราม่าสองฝั่งของโลก ผ่านความพยายามโทรกลับไปหาที่บ้านตรงเวลาทุกวันของยิปมัน เพียงเพื่อหวังจะได้คุยกับลูกชาย แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง มีเพียงบ็อบเพื่อนเก่าที่ยิปมันฝากดูแลลูกมารับสายแทนเท่านั้น ซึ่งบทนี้ก็เป็นนักแสดงเจ้าเก่า Kent Cheng ที่หน้าตาเหมือนบิ๊กป้อมอย่างกับฝาแฝด ทางทีมพากย์พันธมิตรก็แอบแซวเรื่องนาฬิกาเพื่อนให้พอขำๆ ไม่ได้มีตลกอะไรนอกเรื่องมาก ทำให้ดูเสียงพากย์ไทยได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเจอพากย์เพี้ยนนอกเรื่องจนเสียอารมณ์ครับ
แม้ว่าหนังจะปูดราม่าเยอะกว่าฉากแอ็กชั่นก็ตาม แต่หนังก็ใส่ฉากต่อสู้ขนาดยาวมาทดแทน ซึ่งทุกฉากก็ยังดูสนุกตื่นเต้นสวยงามด้วยคิวบู๊จากการออกแบบของหยวนวูปิงเจ้าเก่า โดยคราวนี้แบ่งให้คิวบู๊ให้กับลูกศิษย์บรู๊ซลี ที่แสดงโดย “เฉิน กั๋วคุน“ ที่ก่อนนี้ก็ได้แสดงเป็นบรู๊ซลีมาแล้วเพราะหน้าตาเขาเหมือนมากในหนัง “บรู๊ซ ลี ตำนานนักสู้สะท้านโลก” (ดูได้ผ่านเน็ตฟลิกซ์คลิกที่นี่) สำหรับในเรื่องนี้เขาได้มีซีนแสดงฝีมือตามสไตล์บรู๊ซลียาวๆ จนครบอย่างหมัด 1 นิ้ว ท่ากระโดดเตะประจำตัว หรือการใช้กระบองสองท่อนอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ว่าน่าเสียดายที่ทำออกมาแค่ฉากเดียวแล้วจบเเลย หนังใช้ตัวบรู๊ซลีเพื่อมาเปิดเรื่องให้ยิปมันมาอเมริกาเท่านั้น ยังไม่ได้เข้ามาร่วมต่อสู้หลักในเรื่องราวภาคนี้ ซึ่งก่อนดูคาดหวังว่าจะได้เห็นเขากับยิปมันได้แสดงฉากบู๊ร่วมกัน กลายเป็นผิดหวังเหมือนกันที่หนังเปิดหน้ามาด้วยเรื่องบรู๊ซลี แต่กลับกันตัวบรู๊ซลีออกจากเรื่องราวหลักไปทั้งหมด ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าเพื่อให้บทหลักยังคงอยู่ที่ยิปมันกับช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีสักฉากใส่มาให้แฟนๆ ได้สมใจบ้างก็ยังดีครับ แต่นี่ไม่มีเลยจริงๆ
ส่วนฉากการต่อสู้ที่เหลือก็คือของ ยิปมัน vs หัวหน้าสมาคมไชน่าทาวน์ ที่เป็นอาจารย์มวยไทเก๊ก กับยิปมัน vs ครูฝึกคาราเต้ให้ทหารอเมริกา 2 คนที่เป็นเหมือนลูกน้องกับบอสใหญ่ แล้วก็พยายามย้อนกลับไปให้เหมือนฉากการต่อสู้ในภาคแรกที่ดวลกับทหารญี่ปุ่นในค่ายที่ใช้คาราเต้เหมือนกัน แต่คราวนี้เป็นฝรั่ง ซึ่งก็ออกมาดุดันโหดรุนแรงกว่า แต่ฉากไฟนอลสุดท้ายก็ยังไม่ถึงขั้นดุเดือดสวยงามประทับใจแบบที่ควรจะเป็นตามชื่อภาคนี้ แค่ยังคงรักษามาตรฐานเดิมเท่าภาคหลังๆ ได้อยู่เท่านั้นครับ เรียกว่าไม่ผิดหวัง แต่ไม่ได้มากกว่าที่ไม่ได้หวังอะไรไว้กับยิปมันที่ดูเหมือนจะตันๆ มาตลอดในภาคหลังๆ ซึ่งถ้าเทียบกับภาคแยกสปินออฟ Master Z ที่กำกับโดยหยวนวูปิงเอง หนังภาคนั้นทำได้ดุเดือดสวยงามและประทับใจกว่าครับ
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีฉากโชว์ฝีมือของตัวร้ายรองที่ออกโรงบู๊มากว่าตัวบอสซะอีก โดยในบทเป็นผู้ฝึกสอนทหารอเมริกาที่เล่นโดย Chris Collins ที่เป็นทหารเก่าอเมริกาแล้วมาฝึกศิลปะการต่อสู้ก่อนจะมาเป็นดาราอาชีพ ทำให้ฉากต่อสู้ของเขาดูสมจริง แล้วก็ได้ปะทะกับมวยจีนหลายสำนักในไชน่าทาวน์ ก่อนจะมาเจอกับยิปมันอีกที ซึ่งแม้จะดูดุเดือดน้อยกว่าตอนสู้กับบอส แต่ด้วยความที่ฉากนี้ยิงยาวกับการต่อสู้มวยจีนหลายสำนักก่อนถึงยิปมันเป็นตัวปิด ก็ทำให้เป็นฉากที่ดูโชว์ของได้มากกว่าแค่การตัวตัวกับบอสในตอนท้ายครับ