รีวิวแสงกระสือ สัตว์ประหลาดก็มีหัวใจ ความท้าทายในการทำหนังผีพื้นบ้านไทยให้โกอินเตอร์
แสงกระสือ รีวิว (ลง Netflix 30 มิถุนายน) หนังเรื่องนี้ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นหนังไทยทั่วไป แต่ที่จริงเป็นหนังที่ลงทุนสูง ระดับฟอร์มยักษ์ของไทยจากค่าย Transformation Films ใช้ซีจี ใช้โมชั่นแคปเจอร์ ได้คนเขียนบทแนวหน้าของไทยอย่าง มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (13 เกมสยอง, รักแห่งสยาม, เกรียน ฟิคชั่น ฯลฯ) มาเขียนให้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าบทหนังเรื่องนี้ต้องมีประเด็นที่ไม่ธรรมดา สะท้อนสังคมผ่านมุมมองใหม่ตามสไตล์มะเดี่ยวครับ
“สัตว์ประหลาดมันทั้งน่าเกลียดน่ากลัว แต่พอมาเป็นตัวเองถึงได้รู้ว่า สัตว์ประหลาดมันก็มีหัวใจ”
ประโยคนี้แหละที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้ ส่วนตัวติดใจประโยคนี้มาตั้งแต่ในเทรลเลอร์แล้ว ผู้สร้างเข้าใจตีความให้แตกต่าง จากผีมาเป็นสัตว์ประหลาด (ที่จริงกระสือก็จัดในหมวดอสูรกายไทยอยู่แล้ว แต่เราคุ้นชินกับการเรียกว่าผี) หนังบอกเล่าเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านยังเชื่อถือเรื่องผีสางเป็นหลัก โดยมีเรื่องราวของความรักสามเส้า “สาย” สาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักผู้ฝันอยากเป็นพยาบาล และสองหนุ่ม “เจิด” กับ “น้อย” เพื่อนสมัยเด็กที่แอบรักสายทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ไม่รู้มาก่อนว่าสายเป็นกระสือจากเหตุการณ์ในวัยเด็ก
จุดเด่นของเรื่องนี้คือ การบอกเล่าตีความใหม่ว่า กระสือเป็นเสมือนโรคติดต่อแบบหนึ่ง ไม่ใช่ว่ากระสือจะเป็นสิ่งชั่วร้ายแบบที่เราติดภาพกันมา และก็ไม่ได้พลิกให้กระสือไม่เป็นกระสือ ความเชื่อโบราณทุกอย่างหนังยังคงใส่ไว้หมด (ผมเข้าใจว่าทุกอย่างจริงๆ นะจากที่จำเรื่องเล่าเก่าๆ ได้) หนังเน้นเจาะลึกลงไปในจิตใจคนที่ร่างกายเปลี่ยนไป แต่จิตใจยังคงเดิม ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่ต้องหวาดระแวง กลัวถูกโดดเดี่ยวออกจากคนที่รัก โดนผลักออกจากสังคม โดนรังเกียจต่างๆ นาๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเป็นโรคร้ายหลายอย่างในโลกจริง (ยกตัวอย่างโรคเอดส์) ถ้าคนที่เรารัก ต้องมาเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีสภาพน่าเกลียดน่ากลัว เราเองจะยังคงความรู้สึก และการปฏิบัติตัวเหมือนเดิมได้หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่หนังตั้งโจทย์ไว้ใช้ในการดำเนินเรื่องราวทั้งหมด และสะท้อนกลับมายังเราทุกคนด้วยเช่นกัน
แม้จะตีความใหม่ แต่แสงกระสือก็ยังเป็นหนังผีอยู่ทั้งเรื่องเช่นเดิม กระสือในเรื่องมีความน่ากลัว แต่ผ่านมุมมองใหม่ว่านี่เป็นแค่สัญชาติญาณการออกหากินแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่ด้วยความที่มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ไม่รู้จัก มากกว่าจะทำความรู้จักมัน ก็ทำให้คนกับกระสืออยู่ร่วมกันไม่ได้ ชาวบ้านจึงเริ่มล่ากระสือเหมือนล่าแม่มด (ทั้งที่ในหนังจะมีส่วนที่แสดงให้เห็นว่า จริงๆ คนกับกระสืออยู่ด้วยกันได้) ที่แปลกคือ หนังเรื่องนี้ไม่มีมุกตุ้งแช่ ของหล่น หรือแมวเผ่นแม้แต่ฉากเดียว หนังเน้นใช้มุมมองภาพสวยๆ แต่สยองขวัญ เน้นกลิ่นอายขยะแขยง จากรูปลักษณ์สุดสยองของกระสือ และสัตว์ที่โดนกินเป็นหลัก มีฉากทำร้ายคนอยู่ แต่ก็เป็นการต่อสู้เอาชีวิตรอดซะมากกว่า กระสือในเรื่องไม่ถูกไล่ล่าจนหมดทางสู้ ก็ไม่ได้คิดสู้ใคร (แถมกระสือในเรื่องอย่างไวติดจรวด หลบลูกปืนได้)
หนังให้เวลาไปกับส่วนของความรัก 3 เส้ามากที่สุด ก็คือแก่นของเรื่องที่ดีในมุมมอง “ความรักของคนกับสัตว์ประหลาด” แต่น่าเสียดายที่ปูบทไม่เพียงพอ ส่วนวัยเด็กน้อยมากเกินไป ทำให้ขาดความผูกพันต่อเนื่องมาจนตอนโต รวมถึงตอนโตก็ยังขยี้อารมณ์ในฉากสำคัญๆ ไม่ได้แบบที่ควรจะเป็น หนังขาดการขยายความในหลายฉาก ทำให้ต้องมาตีความว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รวมถึงการตัดต่อที่เหมือนย้ายฉากผิด อย่างฉากในเทรลเลอร์ที่ทั้ง 3 คนนั่งอยู่กลางทุ่งนา เกี่ยวก้อยสัญญากันว่าจะไปพระนคร จริงๆ ฉากนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มเรื่องที่ดีกว่าไปใส่ไว้ตอนหลัง ผมถือว่าผิดพลาดมากๆ เลย ที่ผู้กำกับลำดับเรื่องกลับด้าน ไม่ปูความสัมพันธ์ทั้งสามคนให้แน่นก่อนไปถึงตอนจบแบบนี้
ถ้าตอนท้ายเป็นภาพความทรงจำก่อนสูญสลายของนางเอก ก็ควรจะใส่ปูไว้ให้คนอินกับความสัมพันธ์ทั้งสามคนมาก่อน แล้วปล่อยให้ภาพเหล่านั้นหวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาและแสงที่ดับวูบไปของนางเอก ผมคิดว่ามันจะพีคกว่าการจบแบบลอยๆ ค้างๆ คา ไม่ให้เห็นอะไรแบบนี้ แล้วหนังน่าใช้เพลง “เหลือวิญญาณก็จะรัก” มาประกอบ น่าจะอิมแพ็คขึ้นมาอีก แต่นี่มีของดีกลับไม่ใช้ หรือใช้ผิดที่ผิดทางครับ
ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในการลำดับฉากปูพื้นสร้างอารมณ์ แต่ในส่วนของดารานำทั้ง 3 แสดงได้ดีมาก เข้าถึงบท โดยเฉพาะนางเอกที่นอกจากหน้าตาจะมีเสน่ห์น่ารักแบบสาวชนบท สีหน้า ท่าทาง การแสดงออกก็เป็นธรรมชาติมาก (ไม่แน่ใจว่าตอน CG กระสือที่ต้องแสดงสีหน้า ได้ใช้นางเอกเล่นผ่านโมชั่นแคปเจอร์หรือเปล่า แต่เนียนเลยทีเดียวกับ CG กระสือแบบโคลสอัพ ที่แสดงอารมณ์ออกมาได้ด้วย แม้จะไม่ที่สุด แต่ก็ดีมากแล้วตั้งแต่หนังไทยเคยทำหนังผีเน้น CG แบบนี้มา ส่วน “น้อย” บทพระเอกของเรื่องที่ต้องเก็บความลับนางเอกไว้ ก็ถือว่าแคสมาตรงดี หน้าตาซื่อๆ เก็บกดในเรื่องปัญหาความรักที่เปิดเผยไม่ได้ (มีบทแอบตลกในความสยองไปพร้อมกันด้วย) ส่วนเจิดหนุ่มที่หลงรักข้างเดียวมาตลอด ก็แสดงได้น่าเห็นใจ มีความน้อยใจหมดหวัง หึงหวง แต่น่าเสียดายที่บทของเจิดส่วนนี้ออกมาน้อยไป แล้วไปเน้นให้น้ำหนักในแบบอื่น ที่เป็นความลับของเรื่องแทน (พอเปิดเผยกลับไม่พีคตามด้วยนี่แหละ เพราะขาดการปูมาแน่นๆ ให้มากกว่านี้)
เจิดกลายเป็นกระหังจากการปกป้องความจริงว่าสายเป็นกระสือ แม้ร่างกายจะอัปลักษณ์ แต่ความรู้สึกก็ไม่เปลี่ยนไป แถมกลายเป็นยิ่งรู้สึกพ่ายแพ้ในเรื่องความรัก กลัวคนที่รักจะทิ้งตัวเองไป
หนังมีการหักมุมพอประมาณอยู่เป็นระยะๆ ตรงนี้ถือว่าทำได้ดี หนังเหมือนจะจบ แต่ก็ไม่จบ แถมพลิกจากหนังรัก กลายเป็นหนังสัตว์ประหลาดที่สเกลใหญ่ขึ้นมาได้ ตรงนี้หลายคนอาจจะชอบ ที่หนังเก็บส่วนนี้ไว้อัดตูมเดียวให้คนดู CG คิวบู๊ยาวๆ ที่เนียนพอขายอินเตอร์ได้ด้วย แต่ส่วนตัวผมว่ามันเกินๆ ล้นๆ ไม่ต้องทำแบบนี้ แต่เน้นไปที่แก่นความรักของเรื่องราวต่อ อาจจะซึ้งกว่า มันเหมือนพลิกอารมณ์คนดูไปหน่อยครับ
แสงกระสือมีบทที่อาจจะไม่เมคเซนส์อยู่บ้าง แต่รวมๆ ก็เป็นหนังไทยแนวใหม่ ที่ทำออกมาอย่างตั้งใจ สร้างสรรค์ กล้าฉีก กล้าทุ่มทุนยกระดับ ตำนานหนังผีพื้นบ้านขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ต้องขอชมความตั้งใจตรงนี้จริง และก็หวังว่าจะไปได้ดี อยากเห็นหนังไทยกล้าคิดกล้าทำใหม่แบบนี้เพิ่มขึ้นอีกเยอะๆ ครับ