รีวิว Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส หนังแอนิชั่นที่เกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ!
รีวิว Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส หนังแอนิชั่นที่เกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ!
Summary
นี่เป็นหนังแอนิชั่นที่เกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ ควรค่าแก่การบอกต่อแนะนำให้ทุกคนได้ดู ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่หนังแตะเข้ากลางใจของผู้ชมได้อย่างแน่นอน เตือนไว้เลยว่าอาจจะเสียน้ำตาเป็นปี๊บโดยไม่รู้ตัว
Overall
10/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวที่สมจริงในแง่มุมชีวิตจิตใจของมนุษย์
- เพลงประกอบกินใจมีความหมายลึกซึ้งกับเรื่องราวมาก
- ลายเส้นเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์สื่ออารมณ์ออกมาเป็นธรรมชาติ
- เสียงพากย์ไทยเข้ากันได้ดีกับตัวละครไร้ที่ติ
Cons
- หนังไม่มีแบบแผ่นให้เก็บ (ทรงคุณค่าเกินกว่าจะอยู่แค่ในสตรีมมิ่งออนไลน์เพียงอย่างเดียว)
- เรื่องราวลึกซึ้งเต็มไปด้วยปมของชีวิตมากมายอาจจะเกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจหรืออินได้ทั้งหมด
รีวิว Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส (คลิกรับชมผ่าน Netflix ได้ที่นี่) หนังแอนิเมชั่นม้ามืดมาเงียบๆ จากสเปน เรื่องราวมิตรภาพต่างวัยของคน “ไร้ตัวตน” สองคนที่มาพบเจอกันโดยบังเอิญ แต่เหมือนพหรมลิขิตได้เปลี่ยนชีวิตการผจญภัยร่วมกันของทั้งคู่ ให้กลายเป็นเรื่องเล่าซานต้าในแบบมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่จับต้องได้
รีวิว Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส
หมายเหตุ: รีวิวนี้เป็นเชิงวิเคราะห์ปมเรื่องราว มีเปิดเผยสปอยล์เนื้อหาบางส่วน
เรื่องราวเริ่มต้นที่ “เจสเปอร์” หนุ่มวัยรุ่นที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลมหาเศรษฐีที่ทำกิจการไปรษณีย์มาช้านาน เขาเป็นคุณชายที่มีนิสัยแย่ไม่เอาการงานใดๆ จนผู้เป็นพ่อสุดทนจึงวางแผนดัดสันดานลูกชายตัวดีโดยส่งไปยังเมืองหิมะ “สเมียเรนส์เบิร์ก” ที่ตั้งอยู่บนเกาะห่างไกล ให้ทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์คนใหม่ที่นั่น พร้อมตั้งเงื่อนไขให้ว่าต้องส่งจดหมายให้ครบ 6,000 ฉบับในเวลา 1 ปี ถึงจะได้กลับบ้าน และถ้าทำไม่ได้ก็จะโดนตัดออกจากกองมรดกตลอดชีวิตอีกด้วย เจสเปอร์จึงจำยอมเดินทางไปที่เมืองแห่งนี้ด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนจะได้พบกับ “เคล้าส์” ช่างไม้สูงวัยที่มีชีวิตเดียวดายอยู่นอกเมือง การพบกันของทั้งคู่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในเมืองที่ผู้คนแตกแยกเป็น 2 ฝ่ายมาช้านาน และก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวเล่าขานถึงซานต้าในแบบมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่สมจริงอย่างน่าอัศจรรย์!
นี่เป็นหนังแอนิเมชั่นที่มีรายละเอียดลึกซึ้งถึงปมปัญหาชีวิตคนหลายช่วงอายุ จนไม่ใช่ว่าทำมาแค่ให้เด็กดู หรือออกแนวเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีอะไรตามสูตรทั่วไป แต่ Klaus ไปไกลกว่า จริงจังกว่า และมีส่วนผสมของแอนิเมชั่นในแบบการ์ตูนกับชีวิตจริงมารวมกันได้อย่างกลมกลืน หนังลงลึกถึงปมปัญหาในชีวิตจริงของคนเรา ที่หลายคนต้องเคยสะดุดล้มและอาจจะลุกขึ้นมาไม่ได้ ไร้ซึ่งความหวังมายาวนาน จนวันหนึ่งก็มีใครสักคนเข้ามาฉุดลุกขึ้นพาก้าวเดินต่อไป…
OST เพลงประกอบ “Invisible” ร้องโดย Zara Larsson
[Verse 1]
How many nights do you lie awake
In the darkest place? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
How many days do you shed the pain
Of your darker days? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
[Pre-Chorus]
All I know is
If happy lives a mile away
A couple steps is all it takes
If kindness lives in everyone
Then all it takes isn’t enough
[Chorus]
Can’t touch it, see it (Oh-oh-oh)
But you can always feel it (Oh-oh-oh)
The greatest things you’ll ever know
Are invisible (Are invisible)
[Verse 2]
How many words does it really take
To make a change? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
How many fights is it gonna take
To convince what joy could bring? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
[Pre-Chorus]
All I know is
If happy lives a mile away
A couple steps is all it takes
If kindness lives in everyone
Then all it takes isn’t enough
หนังใช้จุดเริ่มต้นธีมหลักเป็นเรื่องราวชีวิตคนที่ดูเหมือน “ไร้ค่า ไร้ตัวตน (Invisible)” ในสังคม ซึ่ง “เจสเปอร์” ก็คือชายหนุ่มที่ไม่เอาไหน เห็นแก่ตัว ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตให้เป็นชิ้นเป็นอัน การเป็นคนแปลกหน้ามาทำงานที่เมืองนี้ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจให้ความสำคัญ จนเมื่อเขาได้พบเจอกับ “เคล้าส์” ชายสูงวัยรูปร่างใหญ่น่ากลัวที่เลือกอาศัยอยู่ห่างไกลจากเมืองตัวคนเดียว ซึ่งเคล้าส์นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานเรื่องเล่าซานต้ามีชีวิตในเรื่องนี้ หลังจากที่ทั้งคู่ได้มาร่วมงานส่งของขวัญให้เด็กๆ ในแบบที่เป็นการทำดีไม่หวังผลกับคำคมประจำเรื่องที่เคล้าส์มักพูดว่า
“การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ”
หนังใช้ประโยคนี้ในการผลักดันเรื่องราวความดีส่งต่อ โดยเริ่มจากการทำดีของทั้งคู่ส่งต่อไปถึงเด็กๆ ที่มีพ่อแม่สั่งสอนให้เกลียดกัน ทำให้เด็กๆ เห็นว่าการทำดีจะได้สิ่งดีๆ ตอบแทนกลับมา แม้ว่าแรงจูงใจจะเป็นเรื่องของขวัญที่เด็กดีเท่านั้นถึงได้รับ ซึ่งเป็นกฎที่เจสเปอร์ตั้งขึ้นมาเองหลังจากหมั่นไส้ไม่ให้ของขวัญเด็กเกเรที่แกล้งเขา แต่นั่นก็กลายเป็นว่า การทำความดีของเด็กๆ ช่วยเปลี่ยนแปลงเมืองและจิตใจของผู้ใหญ่ไปในทางที่ดีขึ้นทีละน้อยๆ
แต่หนังก็ไม่ได้หยิบจับประเด็นมาเล่นแบบง่ายๆ เพราะตัวเจสเปอร์เองต่างหากที่เริ่มทำงานนี้เพื่อหาจดหมายให้ครบ 6 พันฉบับ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปบ้านที่มีความสะดวกสบายกว่าเมืองแห่งนี้ นั่นจึงไม่ใช่ความดีที่แท้จริง และตัวเจสเปอร์เองภายนอกก็ยังเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่ตามวัย นั่นจึงเป็นปมสำคัญที่ทำให้เรื่องราวนี้ไม่ได้จบลงง่ายๆ หนังพาเจสเปอร์เรียนรู้สิ่งดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตหลังร่วมงานกับเคล้าส์ ให้เขาค่อยๆ มีคุณค่ากับคนอื่นแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกถึงความสำคัญของตัวเองก็ตามที แต่ความเป็นจริงที่เปลี่ยนไปในทางบวกของเมืองก็ทำให้เจสเปอร์เห็นคุณค่าของตัวเองจากงานที่ทำ ส่วนอีกด้านปมความผิดในใจที่เขาปิดบังความจริงหลอกให้เคล้าส์เอาของเล่นเด็กมาแจก โดยที่ตัวเองโดยประโยชน์ลับๆ และโกหกมาตลอด หนังมีบทลงโทษที่เหมาะสมกับเรื่องราว พร้อมทั้งการลงมือกระทำแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ผ่าน “การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง” ทำให้เขาเริ่มเติบโตมีวุฒิภาวะความรับผิดชอบมากขึ้น ในแบบหนัง Coming of Age ที่สมบูรณ์ในเรื่องราวอย่างน่าเชื่อถือไม่แพ้หนังคนแสดงดีๆ เลย
ไม่ใช่แค่การเติบโตของเจสเปอร์ ตัวเคล้าส์เองก็มีเรื่องการก้าวข้ามปมบาดแผลในจิตใจที่เวลาไม่อาจเยียวยาได้ จนกลายเป็นคนจมทุกข์อยู่กับตัวเอง ปลีกวิเวกไร้ตัวตนไม่คบหาใครในสังคม แต่แล้วก็ได้เจสเปอร์มากระตุ้น (หรือหลอก) ให้ทำความดีส่งของเล่นให้เด็กๆ จนได้รอยยิ้มของเด็กน้อยมาช่วยสมานแผลใจของเขาทีละน้อยๆ จนกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง เคล้าส์ต่างกับเจสเปอร์ตรงที่เขาเป็นชายสูงวัยที่มีหัวใจบริสุทธิ์ที่เชื่อในคำพูดที่ว่า “การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ” อย่างแรงกล้า (ต่างกับเจสเปอร์ที่เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรไม่หวังผลได้) แม้แต่การส่งของขวัญก็ไม่ได้หวังได้หน้าตาชื่อเสียงอะไร โดยเขาตั้งกฎกับเจสเปอร์ว่าต้องแอบไปส่งตอนกลางคืนไม่ให้ใครเห็น ก็เลยกลายเป็นที่มาเรื่องเล่าข่าวลือทีละนิดหน่อยจากเด็กๆ มารวมกันจนกลายเป็นซานต้าในแบบเรียลไลฟ์สมเหตุผลจากมนุษย์ปุถุชนธรรมไปสู่ตำนานเหนือจริง แม้ว่านี่จะเป็นแค่เรื่องแต่งอีกเรื่องของตำนานซานตาครอสก็ตามที
นอกจากนี้ปมของจิตใจเคล้าส์ยังเชื่อมโยงถึงเรื่องราวเหนือจริงเคียงคู่กับบทเพลง Invisible อีกด้วย ซึ่งก็เป็นการตีความได้ทั้งในแบบความทรงจำที่ยังคงอยู่ หรือจินตนาการเหนือจริงที่ในเรื่องใส่มาเพียงน้อยนิดให้คนดูได้ต่อยอดความคิดปลายเปิดกับเรื่องราวส่วนนี้
เคล้าส์จมอยู่ในความทุกข์เพราะภรรยาที่รักป่วยและจากไปโดยที่พวกเขาวางแผนมีลูกกันหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีได้ เคล้าส์ซึ่งทำของเล่นรอการมาของลูกไว้มากมายจึงรู้สึกเจ็บปวดกับโชคชะตานี้ แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าภรรยายังอยู่ในรูปแบบสายลมที่มองไม่เห็นแต่รู้สึกได้
และไม่ใช่แค่ตัวละครหลักสองคน หนังยังมีตัวละครหญิง “อัลวา” หญิงสาวผู้จบครูมาโดยตรง แต่กลับละทิ้งการสอนเปลี่ยนห้องเรียนเป็นร้านขายปลาสด ชีวิตมีแต่เก็บเงินเพื่อหวังให้หลุดพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ในเมืองโทรมๆ แห่งนี้เท่านั้น อัลวาเป็นตัวละครที่มีฝันในวัยทำงาน แต่กลับไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ เธอยอมแพ้และโทษตัวเองที่พลาดมาติดอยู่ที่นี่ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตจริงที่หนุ่มสาวทุกคนฝันอยากทำงานที่ชอบ แต่ในชีวิตจริงกลับมีโอกาสเป็นไปได้ตามฝันน้อยมาก เชื่อว่าหลายคนต้องเคยผ่านมาจุดนี้มา หรือแม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ รวมถึงคิดว่าหมดหวังแล้วกับการวิ่งไล่ตามความฝัน เรื่องราวของอัลวาแม้จะมีไม่มากนัก แต่เป็นเรื่องราวที่มีชีวิตจับต้องได้เหมือนจริง (แม้จะอยู่ในโลกแอนิเมชั่น) กับไล่ตามฝันของเธออีกครั้งเพื่อสอนหนังสือเด็กที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ การไล่ตามฝันของอัลวาช่วยเติมเต็มเรื่องราวของ Klaus ให้สมบูรณ์มีมิติขึ้นไปอีก และคงทำให้ผู้ชมได้หวนคิดถึงความฝันของตัวเองอีกครั้งไม่มากก็น้อย
นอกจากเรื่องราวในแบบปมชีวิตจริงจังมากๆ แล้ว หนังยังมีส่วนของเรื่องราวสมมุติในแบบการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ทำให้เรื่องราวเมืองนี้ดูเพี้ยนๆ ตลกแบบดาร์คนิดๆ ด้วยการให้เมืองนี้ถูกแบ่งแยกเป็นสองตระกูล ลูกหลานห้ามพูดคุยหรือเล่นด้วยกัน ต่างต้องเป็นศัตรูกันชั่วชีวิต เรื่องราวในส่วนนี้ถูกใส่มาเป็นอุปสรรคให้ทั้ง เจสเปอร์ เคล้าส์ และอัลวา ได้มาแก้ปัญหาฝ่าฟันให้พ้นไป ซึ่งหนังหยอดอุปสรรคจากความแค้นของสองตระกูลได้อย่างลงตัวในแบบ มีลุ้น มีฮา แถมน่ารักในเรื่องราวดาร์คนิดๆ ใสซื่อหน่อยๆ ผ่านความบ๊องของสองตระกูลนี้ (มีแอบหยิกกัดอดัมแฟมิลี่ให้ได้ฮาเพิ่มนิดๆ ด้วย)
ที่ว่ามาทั้งหมดคืองานสร้างที่ร้อยเรียงเรื่องราวมาดีมากแล้ว แต่ Klaus มีสิ่งที่พิเศษมากขึ้นไปอีกด้วยฉากจบที่ไปไกลกว่าคำว่าแฮปปี้เอนดิ้งตามสูตรหนังเด็กหรือแอนิเมชั่นทั่วไป หนังไม่เลือกจบด้วยการคลายปมแฮปปี้เอนดิ้งง่ายๆ ที่แม้จะมีช่วงฉากจบที่ทำได้สมบูรณ์แล้วก็ตาม แต่หนังเลือกที่จะไปไกลกว่านั้น ด้วยฉากจบที่เป็นสัจธรรมความจริงของชีวิตมนุษย์ทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นความกล้าที่ผู้สร้างบรรจงใส่เข้ามา ทำให้หนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้มีจิตวิญญาณของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น มากกว่าแค่จะถูกมองว่าเป็นหนังจินตนาการเรื่องเล่าซานต้าในอีกแบบหนึ่งเท่านั้น
นี่เป็นหนังแอนิชั่นที่เกินกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องราวลึกซึ้งกินใจ ตลกแบบเป็นธรรมชาติน่ารักมากมาย ลายเส้นสวยงามเหมาะกับเรื่องราว เพลงประกอบ Invisible ไพเราะลึกซึ้งมีความนัยแทนความหมายชีวิตของตัวละครในเรื่องได้เป็นอย่างดี รวมถึงแอบมีส่วนของจิตวิญาณแฟนตาซีนิดๆ ที่รับรองว่าดูจบแล้วฟังเข้าใจยิ่งซึ้งเข้าไปอีก นี่จึงเป็นหนังที่ควรค่าแก่การบอกต่อแนะนำให้ทุกคนได้ดู หนังดูแล้วอบอุ่นอิ่มเอมหัวใจ ซาบซึ้งไปกับเรื่องราวมิตรภาพต่างวัย เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังในการดำเนินชีวิต ในแบบที่แตะทัชเข้ากลางใจผู้ชมได้อย่างแน่นอน เตือนไว้เลยว่าระหว่างที่ดูอาจจะเสียน้ำตาเป็นปี๊บโดยไม่รู้ตัว (ผู้เขียนโดนมาแล้ว)
Klaus เป็นหนังมีคุณค่าการรับชมสูง ดูซ้ำก็ยังสนุก แนะนำให้ลองดูทั้งเสียงต้นฉบับและเสียงพากษ์ไทยที่ดีมากแบบไร้ที่ติ ทุกตัวละครได้เสียงที่เหมาะสมลงตัวเข้ากันทั้งกับคาแรกเตอร์และอายุในเรื่องทั้งหมด แม้แต่เสียงตัวประกอบเล็กน้อยก็ทำความแตกต่างทำได้ดี อย่างเด็กมี 3 คนในฉากก็มี 3 เสียงได้ยินพร้อมกัน รวมถึงการไล่ลำดับระยะทางเสียงเบาหนักซ้ายขวาตามภาพที่เกิดขึ้นก็สมจริงทุกจุด เป็นเวอร์ชั่นพากษ์ไทยที่ดีมากจนเหลือเชื่อเหมือนกันว่า Netflix ไทยได้ทีมไหนมารับงานนี้ ทำให้หนังเรื่องนี้ทรงคุณค่าขึ้นไปอีก จนเกินกว่าจะเป็นแค่หนังในระบบสตรีมมิ่งออนไลน์เพียงอย่างเดียว
เนื้อเพลง Invisible ประกอบภาพยนต์แอนิเมชั่น Klaus
[Verse 1]
How many nights do you lie awake
In the darkest place? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
How many days do you shed the pain
Of your darker days? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
[Pre-Chorus]
All I know is
If happy lives a mile away
A couple steps is all it takes
If kindness lives in everyone
Then all it takes isn’t enough
[Chorus]
Can’t touch it, see it (Oh-oh-oh)
But you can always feel it (Oh-oh-oh)
The greatest things you’ll ever know
Are invisible (Are invisible)
[Verse 2]
How many words does it really take
To make a change? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
How many fights is it gonna take
To convince what joy could bring? (Eh-oh-eh-oh, eh-oh)
[Pre-Chorus]
All I know is
If happy lives a mile away
A couple steps is all it takes
If kindness lives in everyone
Then all it takes isn’t enough
รีวิว Marriage Story หนังรักผ่านช่วงเวลาการหย่าร้างที่เรียลสตอรี่มากๆ (ไม่สปอยล์)