playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Knives Out ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่ (ไม่สปอยล์)

รีวิว Knives Out ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่

สรุป

หนังเดินตามสูตรนิยายนักสืบของ “อกาธา คริสตี้” แต่ดัดแปลงเพิ่มความร่วมสมัยกับใส่เรื่องตลกเสียดสีสังคมอเมริกันเข้ามา ถ้าใครชอบแนวสืบสวนก็ดูได้เลย แม้จะไม่แปลกใหม่ในส่วนนี้ แต่สิ่งที่หนังทำได้ดีคือมุกตลกเสียดสีทั้งหมดในเรื่อง ที่ขำจริง แต่อาจจะมากน้อยแล้วแต่คนที่ตามทันครับ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
47 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ตลกร้ายตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
  • ประเด็นเสียดสีสังคมร่วมสมัยดี
  • ดารานักแสดงมีชื่อและใช้คุ้ม

Cons

  • หนังยาว 2 ชั่วโมงมีช่วงใส่มาตามสูตรจนยืดไปหน่อย
  • พล็อตหลักเนื้อเรื่องของคดีไม่ได้แปลกใหม่
  • มีความไม่เมคเซนส์ในเรื่องราวบางจุดที่สำคัญ

ADBRO

Knives Out ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่ เรื่องราวของปริศนาฆาตกรรมในครอบครัวมหาเศรษฐีหนึ่งที่ทุกคนมารวมตัวกันพร้อมหน้า เพื่อฉลองวันเกิดครบ 85 ปีของนักเขียนนิยายสืบสวนรุ่นใหญ่ แต่ดันเกิดเหตุไม่คาดฝัน เขาเสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา งานนี้นักสืบมือดีจึงต้องเข้ามาคลี่คลายคดี และแน่นอนว่าทุกคนในบ้านกลายเป็นผู้ต้องสงสัย! ภายใต้ปาร์ตี้อันสนุกสนาน คำโกหกที่ถูกปกปิด ความจริงที่กำลังจะถูกเปิดเผย

ตัวอย่างหนัง Knives Out ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่

หนังวางตัวเองไว้เลยว่าเป็นผลงานที่ได้แรงบันดาลใจจากนิยายฆาตกรรมของ “อกาธา คริสตี้” ล่าสุดที่ทำเป็นหนังคือ Murder on the Orient Express ปี 2017 ที่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก แต่ด้วยความที่ผลงานของอกาธาแทบจะเป็นต้นแบบให้นิยายหรือหนังสืบสวนในยุคต่อมาแทบทั้งหมด ซึ่งโดยทั่วไปก็จะเป็นพล็อต “เปิดพินัยกรรม” ของครอบครัวมหาเศรษฐีที่มักพลิกโผทำให้ลูกหลานในตระกูลต้องช็อค ก่อนที่จะตามมาด้วยคดีฆาตกรรมในที่แห่งนั้น โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องมีแรงจูงใจให้ก่อคดีได้ แต่ก็พร้อมยืนยันช่วงเวลาที่อยู่ของตัวเองว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันทุกคน

ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่
ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่

จะเห็นว่าหนังเรื่องนี้แทบไม่มีอะไรใหม่ถอดด้ามไปจากนิยายสืบสวนแนวๆ นักสืบอัจฉริยะ ซึ่งอกาธาเดินเรื่องโดยมีปัวโรนักสืบจอมขี้เกียจแต่ฉลาดสุดๆ มาเป็นตัวนำทุกตอน ใน Knives Out ก็พยายามถอดแบบมาเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เป็นเรื่องราวใหม่ จึงพยายามโยงให้ตัวละครนักสืบ “บลังค์” ที่เล่นโดย “แดเนียล เครก” พระเอกเจมส์บอนด์คนล่าสุด มีเครดิตที่มาที่ไปอ้อมๆ ว่ามาจากคดีดังของ โอเจ ซิมป์สัน (ปี 1994) ที่เป็นคดีมีคนตาย…แต่ไร้คนทำ และก็กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ปิดไม่ลงในแง่ความรู้สึกของคนที่ติดตามคดี (อ่านรายละเอียดคดีได้ที่นี่) ซึ่งเมื่อนักสืบในเรื่องมีเครดิตว่าปิดคดีใหญ่นี้ได้ ก็เลยกลายเป็นเรื่องตลกร้ายเสียดสีความจริงของอเมริกาไป นอกไปจากนี้แล้วตัวละครบลังค์ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าแนวทางเดิมๆ ที่ต้องซุ่มเงียบ  วิเคราะห์คดีจากคำให้การ หาช่องโหว่ของเวลายืนยันตัวมาจับผิดคนร้ายในตอนท้ายสุด ซึ่งหนังก็ถอดสูตรเดิมๆ มาทุกอย่าง แทบจะเรียกว่าทุกกระเบียดนิ้ว มีต่างออกไปแค่ผู้ชมไม่ต้องมาเดาความจริงหลังคำให้การ เพราะหนังเฉลยทันทีว่าเรื่องจริงเป็นไง ก่อนจะให้บลังค์ใช้สกิลนักสืบปะติดปะต่อเรื่องให้ไปตามความจริงที่หนังเผยบางส่วนให้เราดูก่อน แต่ถ้าใครดูหนังนักสืบแบบนี้มาบ่อยๆ ก็คงออกอาการเบื่อๆ พล็อตกับโครงเรื่องได้เหมือนกัน แถมหนังยืดยาวมากด้วยเวลาถึงสองชั่วโมงเต็มๆ กับการเดินเรื่องตามสูตรแบบเดิมๆ นี้

และถึงจะเดินเรื่องได้ลงละเอียดได้ดีแบบอกาธา แต่ส่วนตัวหนังมีพล็อตไม่เมคเซนส์จุดใหญ่เลยที่หนังเปิดมาให้ดูตอนแรกที่ต้องพูดถึงเหมือนกันครับ ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าหนังตลกไม่ต้องสมจริงไปหมดก็ได้ แต่มันก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกเปลี่ยนไปเหมือนกัน ยิ่งพอมาเฉลยตอนท้ายยิ่งรู้สึกว่าไม่เมคเซนส์มาก ตรงนี้ขออธิบายไว้ในสปอยล์ครับ

หนังวางไว้เราเห็นตั้งแต่แรกๆ เลยว่านางเอกคือคนที่รู้เห็นกับการตายของปู่ เพราะเธอฉีดยาผิด หายากแก้ไม่ได้ ภายในเวลาสิบนาทีปู่ต้องตาย และร่างกายค่อยๆ ออกอาการ ปู่ที่รักนางเอกมากก็เลยวางแผนให้นางเอกรอดจากคดี โดยใช้มีดปาดคอตัวเองตาย ทั้งๆ ที่ไม่ทันได้มีอาการผิดปกติว่าจะตายเพราะยาเลย แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ฉีดยาผิดในตอนเฉลย แต่ปู่ตัดสินใจปาดคอตัวเองตายไปก่อน  

 

แต่สิ่งที่หนังโดดเด่นแตกต่างออกไปจากเรื่องอื่นนั่นก็คือ มุกตลกเสียดสีจริงจังทั้งหลายในเรื่องนี่แหละครับ โดยเฉพาะการเซ็ทให้ตัวละครนางเอกของเรื่อง Marta Cabrera (เล่นโดย Ana de Armas จากบท Joi ใน Blade Runner 2049) พูดโกหกไม่ได้ ร่างกายจะคลื่นไส้จนอ๊วกออกมาในทันที และเธอก็เป็นพยาบาลที่เหมือนคนรับใช้ของคุณปู่ประจำตระกูลมาช้านาน จนเห็นเรื่องราวไม่ชอบมาพากลของคนในตระกูลนี้แทบทั้งหมด ด้วยการวางคาแรคเตอร์ให้เธอดูตลกจากการอ๊วกนี่แหละ หนังเรื่องนี้้จึงเต็มไปด้วยมุกตลก ความจริง vs เรื่องโกหก แล้วใช้นางเอกมาเป็นตัวจับโกหกของเรื่องราวทั้งหมดผ่านการอ๊วกตั้งแต่แรกจนถึงช่วงท้ายของเรื่องราว เรียกว่าเราจะได้เห็นเธออ๊วกแตกอย่างฮาๆ ตลอดทุกมุก ย้ำว่าทุกมุกจริงๆ จนกลายเป็นหนังสืบสวนที่ตัวเด่นจริงๆ คือเธอ มากกว่านักสืบบลังค์ที่แค่มีบทบาทจริงๆ ก็ตอนเฉลยปิดคดีตามสูตรนั่นแหละ

นอกจากนั้นหนังยังเรื่องราวเสียดสีสังคมผ่านมุกตลกร่วมสมัยไว้หลายอย่างไว้ อย่างเรื่องราวของการแบ่งเชื้อชาติ ชนชั้น ฐานะของคนต่างด้าวในอเมริกา ซึ่งดูจะเป็นประเทศที่มีสิทธิเสรีภาพของมนุษย์เท่ากันเต็มที่ แต่เบื้องหลังก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น หนังเอาเรื่องพวกนี้มาเล่นเป็นมุกตลกเนียนๆ ซึ่งบางทีคนดูไทยๆ อาจจะไม่ทันเก็ทว่าเป็นมุกตลกเสียดสีเลยก็ได้ แต่นั่นคือสิ่งที่หนังสอดแทรกไว้ในเรื่องราวอย่างจงใจ อย่างเรื่องประวัติบ้านหลังนี้ที่ลูกหลานทุกคนบอกภูมิใจที่มีประวัติอันยาวนาน แต่ความจริงแค่ซื้อต่อจากคนอื่นเท่านั้น หนังเล่นเรื่องการภูมิใจในเชื้อชาติ แต่ความจริงคนอเมริกันก็ไม่ได้มีรากฐานที่แท้จริงบนผืนดินแห่งนี้ หรือแค่รวยมีตังจ้างทนายดังๆ ก็เป็นทางรอดของคดีทุกอย่าง รวมถึงการใช้ฉากหลังที่มีส่วนคล้าย “บัลลังก์เหล็ก” จากซีรีส์ Game of Thrones มาเป็นแบ็คกราวด์ตลอดแทบทั้งเรื่อง ที่สื่อไปถึงการแย่งชิงมรดกในเรื่องอย่างเอาเป็นเอาตาย และหนังก็หยิบจับเอาตรงนี้มาเป็นชื่อเรื่อง “Knives Out” ที่สื่อถึงความหมายของมีดที่มาเป็นมุกตลกตอนจบได้อย่างลงตัว

มีดพวกนี้เป็นมีดปลอมที่แทงไม่เข้า  

สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างของเรื่องคือ การได้ดารานำมีฝีมือมาร่วมแสดงอย่างคับคั่ง แต่หนังก็ไม่ได้มีบทแจกให้ทุกคนได้เล่นแสดงฝีมือมากมายอะไร มีแค่เฉพาะตอนช่วงต้นที่เปิดมาเป็นการสอบสวนให้การที่ออกเยอะ แต่ก็ไม่ได้มาแบบไม่คุ้ม ถือว่าทุกคนมีบทเหมาะสมลงตัวในแบบตัวละครที่เป็นกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ต้องมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปคนละแบบ แต่ที่เด่นสุดก็คงเป็นคริส อีแวนส์ จากกับตันอเมริกา มาเล่นเป็นบทหนุ่มเจ้าปัญหาที่ไม่ทำงานทำการเอาแต่สูบเงินของตระกูล และก็ดูจะเป็นตัวละครที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยสุดในเรื่องตั้งแต่แรกๆ หนังใช้คริสเล่นได้อย่างกรุ้มกริ่มมีเลศนัย แต่ก็ดูเป็นคนดีในมุมที่หนังเปิดมาให้ดูอีกด้าน ถ้าใครชอบคริส อีแวนส์ก็ดูได้เลย บทของเขายังคงร่ำรวยด้วยเสน่ห์ไม่แตกต่างกัน

Knives Out ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่
ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่

หนังดูจะสนุกกับการดัดแปลงสูตรของ “อกาธา คริสตี้” ที่ใช้กันมานานแล้ว มาทำให้ร่วมสมัยขึ้น ซึ่งถ้าดูจากผลงานของผู้กำกับ Rian Johnson ที่ทำ Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi ออกมาหลุดกรอบใหม่ๆ แตกต่างจนเกิดเสียงแตกแฟนๆ ก่นด่า แต่คนดูทั่วไปชอบ ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าผู้กำกับคงถนัดเลือกแนวทางดัดแปลงของเดิมให้มาเป็นของตัวเอง ซึ่งหนังเรื่องนี้ก่อนฉายไทยได้ประสบความสำเร็จจากเมืองนอกมาทั้งเงินทั้งกล่อง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเราอาจจะได้เห็นเรื่องราวของนักสืบ “บลังค์” ต่อไปอีกก็เป็นได้ครับ

ปล.ถ้าชอบหนังสืบสวนแบบได้แรงบันดาลใจจากอกาธา แต่เป็นแนวขำตลกๆ มีแนะนำเพิ่มอีกเรื่องคือ Murder Mystery ของทาง Netflix ที่ได้อดัมแซนเลอร์กับเจนนิเฟอร์อนิสตันมาเล่น แต่เรื่องนี้จะตลกจริงจังเลย ไม่ใช่ตลกเสียดสีแบบที่ Knives Out ทำครับ

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!